อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การบนบานในอิสลาม



การบนบาน หรือ นะซัร (النذر) หมายถึง  การที่บุคคลผู้บรรลุศาสนภาวะมีสติสัมปชัญญะ  สมัครใจ  ได้บังคับตัวเองต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งมิใช่เป็นสิ่งจำเป็นของบทบัญญัติ  โดยการกล่าวด้วยวาจาที่บ่งชี้ถึงเรื่องนั้น


ไม่ส่งเสริมให้มีการบนบาน

อิสลาม ถึงแม้ว่าจะจะได้บัญญัติในเรื่องการบนบานไว้ แต่ก็ไม่ส่งเสริมให้มีการบนบาน

ท่านอิบนุอุมัร (เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุมา) กล่าวว่า

لقـول ابن عمـر رضي الله عنهما: نهى النبي ﷺ عن النــذر وقـال: «إنَّـهُ لا يَـرُدُّ شَيْئاً وَلَكِنَّـهُ يُسْتَـخْـرَجُ بِـهِ مِـنَ البَـخِيــلِ».

ความหมาย  ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ห้ามการบนบาน  โดยกล่าวว่า  “แท้จริงมัน (การบนบาน) ไม่ได้ให้สิ่งใดแต่ทว่ามันถูกเอาออกมาจากผู้ตระหนี่” (บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ หมายเลขหะดีษ 6693  สำนวนหะดีษเป็นของท่าน  และมุสลิม หมายเลขหะดีษ 1639)

การบนบานที่เป็นที่อนุญาต

การบนบานจะใช้ได้ และมีผลบังคับใช้ เมื่อปรากฏว่ามันเป็นเพื่อความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺตะอาลา เช่น  จะทำละหมาด  ถือศีลอด  ฮัจญ์  อุมเราะฮฺ  เอี๊ยะติกาฟ  ฯลฯ แต่จะต้องไม่บนบานในสิ่งที่บัญญัติเป็นวาญิบให้กระทำ เช่น บนบานจะละหมาดฟัรฎู ให้ครบ 5 เวลา จะถือศิลอดในเดือนรอมาฎอนทั้งเดือน หรือจะจ่ายซะกาตเมื่อครบพิกัต ซึ่งจำเป็นสำหรับเขาที่ต้องปฏิบัติอยู่แล้ว และจำเป็นจะต้องปฏิบัติตามคำบนบานให้ครบสมบูรณ์  และไม่อนุญาตให้บนบานต่อสิ่งอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺ  เช่น  กุโบร  มะลาอิกะฮฺ  นบี  หรือวะลียฺ  มิเช่นนั้นถือว่าเขาได้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺเป็นชิริกใหญ่  และการบนบานก็ถือว่าเป็นโมฆะไม่จำเป็นต้องรักษาคำบนบาน และคำบนบานจะต้องไม่เป็นการบนบานว่าจะทำความชั่ว และฝ่าฝืนต่อพระองค์อัลลอฮฺ เช่น บนบานว่าจะฆ่าคน  จะดื่มสุรา  จะทำผิดประเวณี (ซีนา)  จะถือศีลอดในวันอีด
เป็นต้น

จากอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮา จากท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า

«مَنْ نَذَرَ أَنْ يُطِيعَ الله فَلْيُطِعْهُ، وَمَنْ نَذَرَ أَنْ يَـعْصِيَـهُ فَلا يَـعْصِهِ».

 ความว่า :  “ผู้ใดได้บนบานว่าจะภักดีต่ออัลลอฮฺดังนั้นเขาก็จงภักดีต่อพระองค์  ผู้ใดได้บนบานว่าจะฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺดังนั้นเขาอย่าได้ฝ่าฝืนต่อพระองค์”  (บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ หมายเลขหะดีษ 6696)

ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า

«لا نَذْرَ فِي مَعْصِيَةٍ، وَكَفَّارَتُـهُ كَفَّارَةُ يَـمِينٍ»

ความหมาย:  “ไม่มีการบนบานในสิ่งที่เป็นการฝ่าฝืน  และการไถ่ถอนมันก็คือการไถ่ถอนการสาบาน” (บันทึกโดยอบูดาวุด หมายเลขหะดีษ 3290 และอัตติรมิซียฺ หมายเลขหะดีษ 1524)

รายงานจากอิบนุอับบาส (เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุมา) กล่าวว่า

بينا النبي ﷺ يخطب إذا هو برجل قائم، فسأل عنه فقالوا: أبو إسرائيل نذر أن يقوم ولا يقعد، ولا يستظل، ولا يتكلم، ويصوم. فقال النبي ﷺ: «مُرْهُ فَلْيَتَـكَلَّـمْ، وَلْيَسْتَظِلَّ، وَلْيَـقْعُدْ، وَلْيُتِـمَّ صَوْمَهُ».

ความหมาย:  ขณะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม กำลังกล่าวเทศนาอยู่นั้น บังเอิญมีชายคนหนึ่งยืนขึ้น  ท่านนบีถามว่าเขาคือใคร  พวกเขาตอบว่า เขาคืออบูอิสรออีลผู้ได้บนบานว่าจะยืนโดยจะไม่นั่ง จะไม่อยู่ในที่ร่ม จะไม่พูดจา และจะถือศีลอด ดังนั้นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า  “จงใช้ให้เขาพูดและให้เข้ามาที่ร่ม ให้นั่งและในถือศีลอดต่อให้สมบูรณ์”  (บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ หมายเลขหะดีษ 6704)

รายงานจากซิยาด บิน ญุบัยรฺ กล่าวว่า

كُنْتُ مَعَ ابْنِ عُمَـرَ، فَسَألَـهُ رَجُلٌ فَقَالَ: نَذَرْتُ أنْ أصُومَ كُلَّ يَوْمِ ثُلاثَاءَ أوْ أرْبِعَاءَ مَا عِشْتُ، فَوَافَقْتُ هَذَا اليَوْمَ يَوْمَ النَّحْرِ، فَقَالَ: أمَـرَ الله بِوَفَاءِ النَّذْرِ، وَنُـهِينَا أنْ نَصُومَ يَوْمَ النَّحْرِ، فَأعَادَ عَلَيْـهِ، فَقَالَ مِثْلَـهُ، لا يَزِيدُ عَلَيْـهِ.

ความหมาย ฉันเคยอยู่พร้อมกับอิบนุ อุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา แล้วชายคนหนึ่งได้ถามเขาว่า  ฉันได้บนบานว่าจะถือศีลอดทุกวันอังคารและวันพุธตราบใดที่ฉันมีชีวิตอยู่  และแล้ววันนั้นตรงกับวันอีดิลอัฎฮา ดังนั้นเขากล่าวว่า อัลลอฮฺได้ใช้ให้ทำสิ่งที่บนบานให้สมบรูณ์ และพวกเราถูกห้ามการถือศีลอดในวันอีดิลอัฎฮา แล้วก็กล่าวเช่นนั้นอีกทีโดยไม่เพิ่มเติมเรื่องใด” (บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ หมายเลขหะดีษ 6706  สำนวนหะดีษเป็นของท่าน  และมุสลิม หมายเลขหะดีษ 1139)

ส่วนการบนบานในสิ่งที่น่ารังเกียจ (มักรูฮฺ)  ได้แก่ การบนบานเกี่ยวกับการหย่าร้าง


  ลักษณะของการบนบาน

1. การบนบานที่มีเงื่อนไข

เป็นการบนบาน ที่จำเป็นที่จะต้องเข้าใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ เมื่อเกิดความดีขึ้น หรือรอดพ้นจากความไม่ดีต่างๆ

เช่น ผู้บนบานกล่าวว่า "ถ้าอัลลอฮฺให้ฉันหายป่วย ฉันจะถือศิลอดติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน"

2.การบนบานที่ไม่มีเงื่อนไข

คือ การให้เกิดความจำเป็นที่จะเริ่มโดยมิได้มีเหตุผล หรือเงื่อนไขแต่ประการใด

เช่นผู้บนบานกล่าาว่า "จำเป็นแก่ฉันที่จะละหมาด 2 ร็อกอะฮฺ เพื่ออัลลอฮฺ หรือสัตว์ตัวนี้ฉันเชือดพลีเพื่ออัลลอฮฺ เช่นนี้ ก็จำเป็นที่ผู้บนบานจะต้องปฏิบัติตาม

การปฏิบัติตามบนบาน

เมื่อมีเงื่อนไขครบตามที่ได้บนบานไว้ก็จำเป็นสำหรับเขาที่ต้องปฏิบัติให้สมบูรณ์ตามที่บนบานไว้กับพระองค์อัลลอฮฺ   เพราะการปฏิบัติตามคำบนบานให้สมบูรณ์ถือว่าเป็นอิบาดะฮฺจำเป็นที่ต้องปฏิบัติ  และอัลลอฮฺได้ยกย่องสรรเสริญบรรดาผู้ศรัทธาที่พวกเขารักษาการบนบานให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เช่น เมื่อเขาหายจากการป่วย ก็ให้เขาปฏิบัติตามจำนวนที่เขาบานไว้ เช่น จะถือศิลอดหนึ่งเดือนติดต่อกัน จะละหมาด 20 ร็อกอะฮฺ จะบริจาคเงินจำนวน 2 แสนบาท เป็นต้น เช่นนี้ก็ให้เขาปฏิบัติตามนั้นจนครบถ้วน เพราะการปฏิบัติอิบาดะฮฺที่ได้บนบานนั้นเป็นวาญิบสำหรับเขาแล้ว หากมิได้กล่าวถึงจำนวนไว้ หากเป็นการถือศิลอด ก็ให้เขาถือศิลอดหนึ่งวัน หากเป็นละหมาด ให้เขาละหมาด 2 ร็อกอะฮฺ หรือหากการบริจาคทรัพย์ ให้บริจาคจากทรัพย์หนึ่งที่มีคุณค่าราคา



กรณีผู้บนบานไม่สามารถปฏิบัติตามที่บนบาน

หากผู้บนบานได้บนบานว่าจะถือศิลอดแต่ไม่สามารถจะปฏิบัติได้ อันเนื่องจากมีอายุมาก หรือมีโรคประจำตัวที่ไม่มีหวังที่จะหายป่วยได้ ก็ให้เขาไม่ต้องถือศิลอด แต่ให้เสียค่าชดเชย(กัฟฟาเราะฮฺ) ในการบนบาน หรือให้อาหารแก่คนยากจนวันละ 1 มื้อ

สำหรับการบนบานว่าจะบริจาคทรัพย์ทั้งหมด หรือกล่าวว่าทรัพย์ของฉันนี้อยู่ในหนทางของอัลลอฮฺ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติตาม ก็ต้องเสียค่าชดเชยสาบาน

อิมามชาฟิอีย์ และอิมามมาลิก กล่าวว่า จะต้องบริจาคทรัพย์ของเขาไป 1 ใน 3

อิมามอบูหะนีฟะฮฺ ได้กล่าวว่า ทรัพย์ดังกล่าวนั้นจะกลับไปสู่ทรัพย์ที่จำเป็นต้องจ่ายซากาต ไม่รวมทรัพย์ที่ไม่ต้องจ่ายซะกาต เช่น อสังหาริมทรัพย์ สัตว์ หรืออื่นๆ

และสำหรับการบนบานในสิ่งที่เป็นความลำบากแก่ปวงบ่าวไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติหรือการเคารพภักดีถือว่าเป็นมักรูฮฺ (น่ารังเกียจ)  ฉะนั้นผู้ใดได้บนบานในสิ่งที่เขาไม่มีความสามารถหรือจะติดตามมันซึ่งเป็นความลำบากอย่างมาก  เช่น  บนบานว่าจะละหมาดทั้งคืน  หรือถือศีลอดทุกวัน  หรือบริจาคทรัพย์ทั้งหมด  หรือจะไปทำหัจญ์ อุมเราะฮฺโดยการเดินเท้า  ไม่จำเป็นที่เขาต้องทำตามการบนบานอันนี้ให้สมบรูณ์  และให้เขาจ่ายกัฟฟาเราะฮฺ


รายงานจากอิกบะฮฺ อิบนุ อามิร ว่าแท้จริง ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
"กัฟฟาเราะฮฺ การบนบานนั้น เมื่อไม่ได้ถูกเรียกว่า กัฟฟาเราะฮฺสาบาน" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอิบนุมาญะฮฺ และอัตติรมีซีย์ เป็นหะดิษหะซัน เศาะเฮียะฮฺ ฆ่ารีบ)



الله أعلم بالصواب





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น