อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เมืออิหม่ามอัชอะรีย์มีอะกีดะฮต่างจากอาชาอีเราะฮ




คำพูดของอิหมามอบู หะสัน อัลอัชอะรีย์ ต่อไปนี้ แสดงให้เห็นว่า ความเชื่อของกลุ่มที่เรียกว่า อัล-อะชาอีเราะฮ มีความเชื่อ ต่างกับผู้ที่เขาอ้างว่าเป็นเจ้ามัซฮับของพวกเขา

الباب الخامس ذكر الاستواء على العرش
إن قال قائل: ما تقولون في الاستواء ؟
قيل له: نقول: إن الله عز وجل يستوي على عرشه استواء يليق به من غير طول استقرار، كما قال: (الرحمن على العرش استوى) (5 /20) ، وقد قال تعالى: (إليه يصعد الكلم الطيب والعمل الصالح يرفعه) من الآية (10 /35) ، وقال تعالى: (بل رفعه الله إليه) من الآية (158 /4) ، (2/ 106) وقال تعالى: (يدبر الأمر من السماء إلى الأرض ثم يعرج إليه) من الآية (5 /32) ، وقال تعالى حاكيا عن فرعون لعنه الله: (يا هامان ابن لي صرحا لعلي أبلغ الأسباب أسباب السماوات فأطلع إلى إله موسى وإني لأظنه كاذبا) من الآيتين (36 - 37 /40) ، كذب موسى عليه السلام في قوله: إن الله سبحانه فوق السماوات .
وقال تعالى: (أأمنتم من في السماء أن يخسف بكم الأرض) من الآية (16 /67
فالسماوات فوقها العرش، فلما كان العرش فوق السماوات قال: (أأمنتم من في السماء) من الآية (14 /67) ... لأنه مستو على العرش (2/ 107) الذي فوق السماوات، وكل ما علا فهو سماء، والعرش أعلى السماوات، وليس إذا قال: (أأمنتم من في السماء) من الآية (16 /67) يعني جميع السماوات، وإنما أراد العرش الذي هو أعلى السماوات، ألا ترى الله تعالى ذكر السماوات، فقال تعالى: (وجعل القمر فيهن نورا) من الآية (16 /7) ، ولم يرد أن القمر يملأهن جميعا، وأنه فيهن جميعا، ورأينا المسلمين جميعا يرفعون أيديهم إذا دعوا نحو السماء؛ لأن الله تعالى مستو على العرش الذي هو فوق السماوات، فلولا أن الله عز وجل على العرش لم يرفعوا أيديهم نحو العرش، كما لا يحطّونها إذا دعوا إلى الأرض 1 (2/ 108

บาบที่ 5
ซิกรฺ อัลอิสติวาอ์ อะลา อัลอัรชฺ
(กล่าวถึงการอยู่เหนืออะรัชของอัลลอฮฺ)
ถ้าหากเขากล่าวว่า “พวกท่านจะกล่าวอย่างไรในเรื่องของอิสติวาอ์ ?”
ให้กล่าวแก่เขาว่า “เราขอกล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮฺผู้ทรงเกียรติและสูงส่งทรงอยู่เหนืออะรัชของพระองค์ (ด้วยความเหนือที่เหมาะสมกับพระองค์ โดยปราศจากการสถิตอยู่เป็นเวลานาน ดังคำตรัสของพระองค์
(الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى)
“ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงอยู่เหนือบัลลังก์” (ฏอฮา/5)

(إِلَيْهِ يَصْعَدُ الْكَلِمُ الطَّيِّبُ وَالْعَمَلُ الصَّالِحُ يَرْفَعُهُ)
“คำกล่าวที่ดีจะ (ถูกพา) ขึ้นสู่พระองค์ และการงานที่ดีก็จะ (ถูก) ยกขึ้นสู่พระองค์เช่นกัน” (ฟาฏิร/10)

(بَل رَّفَعَهُ اللّهُ إِلَيْهِ)
“หามิได้ อัลลอฮฺได้ทรงยกท่านนบีอีซาขึ้นไปยังพระองค์ต่างหาก” (อันนิสาอ์/158)

(يُدَبِّرُ الْأَمْرَ مِنَ السَّمَاءِ إِلَى الْأَرْضِ ثُمَّ يَعْرُجُ إِلَيْهِ)
“พระองค์ทรงบริหารกิจการจากชั้นฟ้าสู่แผ่นดิน แล้วมันจะขึ้นไปสู่พระองค์” (อัสสัจญ์ดะฮฺ/5)

และพระองค์ทรงตรัสเล่าเรื่องเกี่ยวกับฟิรเอาน์ (ขออัลลอฮฺทรงสาปแช่ง-ว่า
(يَا هَامَانُ ابْنِ لِي صَرْحاً لَّعَلِّي أَبْلُغُ الْأَسْبَابَ أَسْبَابَ السَّمَاوَاتِ فَأَطَّلِعَ إِلَى إِلَهِ مُوسَى وَإِنِّي لأَظُنُّهُ كَاذِباً)
“โอ้ฮามานเอ๋ย! จงสร้างหอสูงให้ฉันเพื่อฉันจะได้บรรลุถึงทางที่จะขึ้นไป ทางที่จะขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าทั้งหลาย เพื่อฉันจะได้เห็นพระเจ้าของมูซา และแท้จริงฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก” (ฆอฟิร/36-37)
ฟิรเอาน์กล่าวหาว่ามูซาพูดโกหกในคำพูดของท่านที่ว่า “แท้จริงอัลลอฮฺผู้ทรงมหาบริสุทธิ์อยู่เหนือชั้นฟ้าทั้งหลาย”

พระองค์ทรงตรัสว่า
(أَأَمِنتُم مَّن فِي السَّمَاء أَن يَخْسِفَ بِكُمُ الأَرْضَ)
“พวกเจ้าคิดว่าจะวางใจจากผู้ที่อยู่บนฟากฟ้า (อัลลอฮฺ) ว่าจะไม่ทำให้แผ่นดินสูบพวกเจ้ากระนั้นหรือ” (อัลมุลก์/16)

ดังนั้น ชั้นฟ้าทั้งหลายเหนือมันมีอะรัชอยู่ ในเมื่ออะรัชอยู่เหนือชั้นฟ้าทั้งหลาย พระองค์จึงตรัสว่า “พวกเจ้าคิดว่าจะวางใจจากผู้ที่อยู่บนฟากฟ้า (อัลลอฮฺ) กระนั้นหรือ” เพราะพระองค์ทรงอยู่เหนืออะรัชที่อยู่เหนือชั้นฟ้าทั้งหลาย และทุกๆสิ่งที่อยู่สูง (ด้านบน) มันก็คือฟ้า และอะรัชอยู่เหนือสุดของชั้นฟ้าทั้งหลาย...และเราเห็นชาวมุสลิมทั้งหลายต่างยกมือของพวกเขาขึ้นสู่ฟ้ายามที่พวกเขาขอดุอาอ์ เพราะอัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่งอยู่เหนืออะรัชที่อยู่เหนือชั้นฟ้าทั้งหลาย ถ้าหากว่าอัลลอฮฺไม่ได้อยู่เหนืออะรัช แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ยกมือของพวกเขาขึ้นไปยังอะรัช เช่นเดียวกับที่พวกเขาไม่ได้ชี้มือลงไปยังพื้นดินยามที่พวกเขาขอดุอาอ์
- อัลอิบานะฮ ๓๔ -๓๕

แต่ความเชื่อของอัลอะชาอีเราะฮปัจจุบัน ตีความ คำว่า อิสติวาอ์เหนืออะรัช หมายถึง อำนาจปกครอง หรือ การครอบครอง และพวกเขาปฏิเสธ คำว่า"อัลลอฮอยู่บนฟากฟ้า "ตามที่อัลกุรอ่านและหะดิษระบุ โดยตีความว่า หมายถึงความสูงส่งในด้านฐานะ
...........
والله أعلم بالصواب

.......................
อะสัน หมัดอะดัม




อบู หะสัน อัลอัชอะรีย์ (ต.324 ฮ.ศ.) กล่าวว่า
وقد قال قائلون من المعتزلة والجهمية والحرورية إن معنى قول الله تعالى الرحمن على العرش استوى 5 /20
أنه استولى وملك وقهر وأن الله تعالى في كل مكان وجحدوا أن يكون الله عز وجل مستو على عرشه كما قال أهل الحق وذهبوا في الاستواء إلى القدرة
แท้จริง ชาวมุอฺตะซิละฮฺ ญะฮฺมิยะฮฺ และหะรูริยะฮฺ พวกเขากล่าวว่า “ความหมายของคำตรัสของอัลลอฮฺ
(الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى)
“ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงอยู่สูงเหนือบัลลังก์” (ฏอฮา/5)
หมายถึง “ยึดครอง (อิสเตาลา), ครอบครอง (มิลก์) และ เอาชนะ (ก็อฮร์) และอัลลอฮฺนั้นมีอยู่ทุกหนแห่ง พวกเขาปฏิเสธการอยู่สูงเหนืออะรัชของอัลลอฮฺ ดังที่บรรดาผู้สัจจริงได้กล่าวไว้ และพวกเขายึดมั่นว่า อิสติวาอ์นั้นคือกุดเราะฮฺ (มีอำนาจเหนือ)”... (อัลอิบานะฮฺ ฉบับพิมพ์ที่ซาอุดีอาระเบีย- หน้า 98, มุคตะศ้อร อัลอุลูว์ หน้า 239, และดูเพิ่มเติมใน อัรร็อดอะลา อัลญะฮฺมิยะฮฺของอัดดาริมีย์ หน้า 34
.........
จะเห็นได้ว่า อะกีดะฮของอิหม่ามอบูฮาซัน อัลอัซอารีย์ ไม่ได้ตีความคำว่า الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى)
เหมือนกับ พวกอัลอะชาอีเราะฮในปัจจับัน ที่ตีความว่า "อำนาจปกครอง




ท่านอบูหะซัน อัลอัชอารีย์ ได้อ้างหลักฐานอีกว่า
ذينار عن نافع عن جبير عن أبيه رضي الله عنهم أجمعين أن النبي صلى الله عليه وسلم قال ينزل ربنا عز وجل كل ليلة إلى السماء الدنيا فيقول هل من سائل فأعطيه هل من مستغفر فأغفر له حتى يطلع الفجر
روى عبيدالله بن بكر قال ثنا هشام بن أبي عبدالله عن يحيى بن كثير عن أبي جعفر أنه سمع أبا حفص يحدث أنه سمع أبا هريرة رضي الله عنه قال قال رسول الله صلى الله عليه وسلم إذا بقى ثلث الليل ينزل الله تبارك وتعالى فيقول من ذا الذي يدعوني أستجيب له من ذا الذي يستكشف الضر فأكشفه عنه من ذا الذي يسترزقني فأرزقه حتى ينفجر الفجر
อัมริน บุตร ดีนาร จากนาเฟียะ จากญุบัยร์ จากบิดาของเขา (ขออัลลอฮโปรดประทานความโปรดปรานให้แก่พวกเขาทั้งหมดด้วยเถิด) ว่า แท้จริงท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า "พระเจ้าของเราผู้ทรงเกรียงไกร ผู้ทรงสูงส่ง ได้เสด็จลงมายังฟากฟ้าดุนยา ในทุกๆคืน แล้วตรัสว่า มีผู้ใดจะขอไหม เราจะมอบให้แก่เขา ,มีผู้ใดขออภัยโทษไหม เราก็จะอภัยโทษให้แก่เขา จนกระทั่งรุ่งอรุณขึ้น
รายงานโดยอุบัยดุลลอฮ บุตร บะกัร กล่าวว่า ฮิชาม บุตร อบีอับดิลละฮ ได้เล่าแก่เรา จากยะห์ยา บุตร กะษีร จากอบียะอฺฟัร ว่า เขาได้ยิน อบูหัฟศิน เล่าว่า เขาได้ยิน อบูฮุรัยเราะฮ (ร.ฎ) กล่าวว่า ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า "เมื่อเหลือหนึ่งในสามของกลางคืน อัลลอฮ ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงสูงส่ง เสด็จลงมา แล้วตรัสว่า "ผู้ใดเล่า เป็นผู้ที่วิงวอนขอต่อข้า ข้าก็จะตอบรับให้แก่เขา,ผู้ใดเล่า เป็นผู้ที่ขอให้ปลดเปลื้องความเดือดร้อน ข้าก็จะปลดเปลื้องมันให้พ้นจากเขา ,ผู้ใดเล่า เป็นผู้ที่ขอปัจจัยยังชีพต่อข้า ข้าก็จะประทานปัจจัยยังชีพให้แก่เขา จนกระทั่งรุ่งอรุณขึ้น" - ดู อัลอิบานะฮ เล่ม 1 หน้า 111 ..........
..........
จะเห็นได้ว่า ท่านอบูหะซัน อัลอัชอารีย์ ไม่ได้ตีความ คำว่า "ينزل الله تبارك وتعالى ตามที่พวกอัลอะชาอีเราะฮ ปัจจุบันตีความว่า "ความเมตตาของอัลลอฮ"ได้ล่งมา



ท่านอบูหะซัน อัลอัชอารีย์ ได้อ้างหลักฐานอีกว่า
ذينار عن نافع عن جبير عن أبيه رضي الله عنهم أجمعين أن النبي صلى الله عليه وسلم قال ينزل ربنا عز وجل كل ليلة إلى السماء الدنيا فيقول هل من سائل فأعطيه هل من مستغفر فأغفر له حتى يطلع الفجر
روى عبيدالله بن بكر قال ثنا هشام بن أبي عبدالله عن يحيى بن كثير عن أبي جعفر أنه سمع أبا حفص يحدث أنه سمع أبا هريرة رضي الله عنه قال قال رسول الله صلى الله عليه وسلم إذا بقى ثلث الليل ينزل الله تبارك وتعالى فيقول من ذا الذي يدعوني أستجيب له من ذا الذي يستكشف الضر فأكشفه عنه من ذا الذي يسترزقني فأرزقه حتى ينفجر الفجر
อัมริน บุตร ดีนาร จากนาเฟียะ จากญุบัยร์ จากบิดาของเขา (ขออัลลอฮโปรดประทานความโปรดปรานให้แก่พวกเขาทั้งหมดด้วยเถิด) ว่า แท้จริงท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า "พระเจ้าของเราผู้ทรงเกรียงไกร ผู้ทรงสูงส่ง ได้เสด็จลงมายังฟากฟ้าดุนยา ในทุกๆคืน แล้วตรัสว่า มีผู้ใดจะขอไหม เราจะมอบให้แก่เขา ,มีผู้ใดขออภัยโทษไหม เราก็จะอภัยโทษให้แก่เขา จนกระทั่งรุ่งอรุณขึ้น
รายงานโดยอุบัยดุลลอฮ บุตร บะกัร กล่าวว่า ฮิชาม บุตร อบีอับดิลละฮ ได้เล่าแก่เรา จากยะห์ยา บุตร กะษีร จากอบียะอฺฟัร ว่า เขาได้ยิน อบูหัฟศิน เล่าว่า เขาได้ยิน อบูฮุรัยเราะฮ (ร.ฎ) กล่าวว่า ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า "เมื่อเหลือหนึ่งในสามของกลางคืน อัลลอฮ ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงสูงส่ง เสด็จลงมา แล้วตรัสว่า "ผู้ใดเล่า เป็นผู้ที่วิงวอนขอต่อข้า ข้าก็จะตอบรับให้แก่เขา,ผู้ใดเล่า เป็นผู้ที่ขอให้ปลดเปลื้องความเดือดร้อน ข้าก็จะปลดเปลื้องมันให้พ้นจากเขา ,ผู้ใดเล่า เป็นผู้ที่ขอปัจจัยยังชีพต่อข้า ข้าก็จะประทานปัจจัยยังชีพให้แก่เขา จนกระทั่งรุ่งอรุณขึ้น" - ดู อัลอิบานะฮ เล่ม 1 หน้า 111 ..........
..........
จะเห็นได้ว่า ท่านอบูหะซัน อัลอัชอารีย์ ไม่ได้ตีความ คำว่า "ينزل الله تبارك وتعالى ตามที่พวกอัลอะชาอีเราะฮ ปัจจุบันตีความว่า "ความเมตตาของอัลลอฮ"ได้ล่ง




ใครอ้างว่า มีอะกีดะฮตรงกับอบูหะซันอัลอัชอะรีย์ ได้โปรดนำหลักฐานมาแสดง

قُلْ هَاتُوا بُرْهَانَكُمْ إِنْ كُنْتُمْ صَادِقِينَ
จงประกาศเถิด พวกเจ้าจงนำหลักฐานของพวกเจ้ามา หากพวกเจ้า เป็นบรรดาผู้ที่สัจจริง












ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น