
ต้องให้ความเป็นธรรมกับมนุษย์ แม้กระทั่งกาฟิรฺ เราก็ยังสามารถแยกแยะได้ว่า สิ่งใดผิดสิ่งใดถูก สามารถปกป้องเขาจากการถูกอธรรมได้ ฉะนั้นยิ่งแล้วกับพี่น้องมุสลิมของเรา ก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องยากที่จะให้ความเป็นธรรม หรือให้เครคิตในเรื่องชอบธรรม แก่บุคคลที่มีข้อหลงผิด หรือถึงขั้นเป็นบุคคลแนวทางหลงผิด
ท่านอิบนุ ตัยมียะฮฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า
“เมื่อในตัวของบุคคลหนึ่งๆนั้น มีทั้งความดีและความชั่ว มีทั้งการฝ่าฝืนและการเชื่อฟังต่ออัลลอฮ มีทั้งสิ่งที่เป็นซุนนะฮฺและบิดอะฮฺ เขาก็จะสมควรได้รับความรัก และผลตอบแทนตามขนาดปริมาณความดีที่เขามีอยู่ แล้วเขาสมควรที่จะได้รับการเกลียดชัง ความโกรธกริ้ว และการลงโทษ โดยขึ้นอยู่กับความชั่วที่เขามีอยู่ แล้วในเมื่อบุคคลนั้นมีสิ่งที่ทำให้เขาต้องได้รับการให้เกียรติและการถูกตำหนิ บุคคลนั้นก็สมควรที่จะได้รับดังกล่าวนั้น ตามสิ่งดังกล่าวที่เขามีอยู่” (หนังสือ มัจญมูอฺ อัลฟะตาวา เล่ม 28 หน้า 209)
สิ่งนี้เป็นสัจธรรมอันเที่ยงแท้ล่ะพี่น้อง หากคนๆหนึ่งมีทั้งสิ่งที่ถูกและสิ่งที่หลงในทัศนะของเรา เขาต้องถูกยกย่องให้เกียรติในเรื่องที่เป็นความถูกต้องดีงามของเขา และเขาจะถูกต่อต้านจากเราในเรื่องที่เป็นความผิด ตามน้ำหนักของความผิดนั้นๆ อย่าไปทำเหมือนคนบางกลุ่มบางพวก ที่เห็นข้อหลงผิดหรือบิดอะฮฺในตัวใครแล้ว เขาจะต่อต้านคนๆนั้นประหนึ่งไม่มีเกียรติใดๆให้ยกย่องเลย
การให้น้ำหนักความรักเป็น จัดน้ำหนักความโกรธ เกลียดเป็น ลำดับใหญ่เล็กเป็น คือสัญลักษณ์หนึ่งของผู้ที่อยู่บนแนวทางที่ถูกต้อง ส่วนการจัดน้ำหนักความรู้สึกเหล่านี้ไม่เป็น คือลักษณะของกลุ่มคนที่ตามอารมณ์
ทั้งนี้ มันไม่ได้ขัดกับการมีจุดยืนของเราต่ออะหฺลุลบิดอะฮฺที่พึ่งรักษาขอบเขต เช่นไม่รักใคร่ปรองดองเกินเลยว่าหน้าที่ (คือหน้าที่การให้ความรักพี่น้องมุสลิม, เครือญาติ, เพื่อนบ้าน, สถานะความเป็นมนุษย์ที่เราต้องดะอฺวะฮฺและเชื่อมสัมพันธ์) ไม่เผลอใจกับตำรับตำราของเขา (พยามไม่มอง) เป็นต้น
*ซึ่งทั้งนี้อะหฺลุลบิดอะฮฺ ไม่ได้หมายถึงคณะเก่า หรือคนที่มีการกระทำหรือความเชื่อบางข้อที่เป็นบิดอะฮฺ แต่หมายถึงคนที่ความเชื่ออันเป็นอุศูลหรือการปฏิบัติจำนวนมากของเขาที่เป็นบิดอะฮฺ และเขายังต่อต่านการเผยแพร่ซุนนะฮฺ*
ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ ยังกล่าวไว้อีกว่า ใน ไว้ว่า
“ฉันนั้นจะมีความใจกว้างกับบุคคลที่เห็นต่างกับฉัน แม้ว่าเขาได้ละเมิดสิทธิที่อัลลอฮฺทรงมอบให้ฉัน ด้วยกับการกล่าวหาว่าฉันเป็นการฟิร เป็นฟาสิกคนชั่ว ใส่ร้ายต่อฉัน หรือมีการตะอัศศุบแบบญาฮีลียะฮฺ แต่ทว่าฉันนั้นจะไม่ละเมิดสิทธิที่อัลลอฮทรงมอบให้แก่เขา แต่ฉันจะมีความรอบคอบต่อสิ่งใดก็ตามที่ฉันจะพูดและปฏิบัติออกมา และฉันจะให้มันอยู่ในความเที่ยงธรรม อีกทั้งฉันจะให้สิ่งเหล่านั้นเป็นไปตามแนวทางของอัลกุรอานที่อัลลอฮได้ประทานลงมา เพื่อให้เป็นทางนำแก่มนุษยชาติ เป็นสิ่งที่จะมาตัดสินในเรื่องใดก็ตามที่ผู้คนได้มีการพิพาทกัน” (หนังสือ มัจญมูอัลฟะตาวา เล่ม 3 หน้า 245)
นี่คือหลักการให้ความเป็นธรรมที่ต้องตระหนัก ไม่ใช่ว่าหากเห็นคนๆหนึ่งเป็นผู้อยู่แนวทางหลงแล้ว ก็จะเล่นงานเขาหรืออธรรมต่อเขา ทำให้เขาเกิดความเสียหายอย่างไรก็ได้
………………………….
“พวกเขา (บรรดาผู้ศรัทธา) ถูกสั่งใช้ให้ดำรงศาสนาไว้ให้มั่นและอย่าแตกแยกกันในเรื่องศาสนาดังเช่นที่ บรรดารอซูลถูกสั่งใช้ให้ปฏิบัติเช่นนี้เหมือนกัน และเหล่าผู้ศรัทธายังถูกสั่งใช้ว่าอย่าสร้างความแตกแยกแก่ประชาชาติอิสลาม ทว่าประชาชาตินี้คือประชาชาติเดียวกันเช่นที่บรรดาเราะซูลถูกสั่งใช้ให้ ปฏิบัติในเรื่องดังกล่าวนี้” (มัจญมูอฺ อัรเราะซาอิล อัลมุนีรียะฮ์ (3/141), สาร “กออิดะฮฺ ฟี ตะวะฮฺฮุดิลมิลละฮฺ วะตะอัดดุดิชชะรออิอ์” เป็นสารฉบับที่ 8)
อุมมะฮฺวาฮิดะฮฺ ตักเตือนกัน ห้ามปรามกัน แต่ไม่แตกแยกกัน ผู้ที่ริเริ่มก่อความแตกแยกหรือแตกความเชื่อทางศาสนา ถือเป็นผู้ที่ทำให้ประชาชาติไม่เป็นหนึ่งเดียว และผู้ที่ยึดหลักความเป็นหนึ่งเดียว แต่ตกอยู่บนความขัดแย้งอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นก็ไม่ถือเป็นความผิด ..การรู้ลำดับของความผิด หรือรู้ข้ออนุโลมว่าสิ่งใดศาสนาอนุญาตให้แตกต่างได้ และสิ่งใดไม่อนุญาตให้แตกต่าง ข้อนี้ถือเป็นจุดยืนของอะหฺลุซซุนนะฮฺ
............................
*จับหัว จูบหัวผู้ใหญ่ คือการแสดงความรักและให้เกียรติ ของชาวอาหรับ*
.................
อ้ซซาบิกูน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น