ในบันทึกคำเทศน์ในภาษาซีรีแอค โดยยาโคบแห่งซารูกนักบวชคริสเตียนชาวซีเรีย (เกิดใน ค.ศ.452) หลังจากการเสียชีวิตของบรรดาชาวถ่ำ
เขาเขียนคำเทสน์ที่อธิบายรายละเอียดของเรื่องนี้ไว้ในราว ค.ศ.474 ในด้านหนึ้ง คำเทศน์ในภาษาซีรเีแอคนี้ได้ตกมาอยู่ในมือของนักอรรถาธิบายกุรอานยุคต้น
และอิบนุ ญะรีรฺ เฏาะบะรี ก็ได้นำมาอ้างอิงไว้ในคำอรรถาธิบายของเขาพร้อมกับหลักฐานต่างๆ
บันทึกเทศน์นี้ได้ไปถึงยุโรปได้ตีพิมพ์ในภาษากรีกและละติน ในหัวข้อเรื่อง "The Seven Sleepers" (ผู้นิทราทั้งเจ็ด)
สาวกของพระเยซูถูกกดขีข่มเหงอย่างทารุณนั้น เด็กหนุ่มชาวคริสเตียน 7 คนได้ไปหลบซ่อนอยู่ในถ่ำและได้หลับไป หลังจากนั้นในปีที่ 38 แห่งการปกครองของจักรพรรดิธีโอโดสิอุสที่ 2 (ประมาณ ค.ศ.445-446)พวกเขาตื่นขึ้นมา เมื่อตอนอาณาจักรโรมันได้ยอมรับศาสนาคริสต์แล้ว
เมืองเอฟิซุส ที่เหตุการณ์ผู้นิทราทั้งเจ็ดเกิดขึ้นนั้นถูกสร้างขึ้นประมาณศควรรษที่ 11 ก่อนคริสตกาล และได้เป็นศูนย์กลางอันยิ่งใหญ่ของการเคารพบูชารูปปั้น เทวรูปที่สำคัญของเมืองนี้ก็คือไดน่า (Diama) ซึ่งเป็นเทพเจ้าดวงจันทร์ซึ่งเป็นวิหารที่ถูกถือว่าเป็นสิ่งมหัสจรรย์อย่างหนึ่งของโลกโบราณ
หลังจากสมัยของพระเยซู เมื่อคำสอนของท่านได้เริ่มไปถึงส่วนต่างๆของอาณาจักรโรมัน ปรากฏว่ามีเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งจำนวน 7 คนของเมืองเอฟิซุสได้เลิกเคารพบูชารูปปั้นเทวรูป และหันมายอมรับว่าพระเจ้าที่แท้จริงนั้นมีองค์เดียว
เมื่อจักรพรรดิเดซิอุส (นักอรรถาธิบายกุรอานเรียกจักรพรรดิองค์นี้ว่า "เดคานุส" หรือ "เดคาอุส")(จักรพรรดิผู้นี้ปกครองอาณาจักรโรมันระหว่าง ค.ศ.249-251) ได้ยินเรื่องการเปลี่ยนศาสนาของเด็กหนุ่มเหล่านี้ เขาก็เรียกพวกเด็กหนุ่มมาสอบถามเกี่ยวกับศาสนาใหม่ ถึงแม้จะรู้ว่าจักพรรดิต่อต้านสาวกของพระเยซูคริสต์อย่างเอาเป็นเอาเอาตาย แต่พวกเขาก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาต่อหน้าจักรพรรดิว่าพระเจ้าของพวกเขาคือพระเจ้าของโลกและชั้นฟ้าและพวกเขาไม่ยอมรับผู้ใดอื่นเป็นพระเจ้าสูงสุด เพราะถ้าหากพวกเขาทำเช่นนั้น มันก็เท่ากับพวกเขาทำบาปใหญ่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จักรพรรกอก็ให้โอกาสแก่พวกเขาเป็นเวลา 3 วันในการปรึกษาหารือกันเพื่อกลับมานับถือศาสนาเดิม หากมิเช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะถูกประหารชีวิต
เด็กหนุ่มทั้งเจ็ด ได้อาศัยช่วงเวลาดังกล่าวหลบหนีออกจากเมืองไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งในภูเขา ในระหว่างทางได้มีสุนัขตัวหนึ่งตามพวกเขามาด้วย ถึงแม้พวกเขาพยายามจะขับไล่สุนัขตัวนั้น แต่มันก็ไม่ยอมไปจากพวกเขา ในที่สุด พวกเขาก็พบถ้ำแห่งหนึ่งที่เหมาะจะหลบภัย จึงได้เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในนั้น โดยมีสุนัขนั่งเฝ้าอยู่หน้าปากถ้ำ
หลังจากนั้น พวกเขาก็นอนหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า เหตุการณ์ตอนนี้เกิดขึ้นประมาณปี ค.ศ. 250 หลังจากนั้นประมาณ 197 ปี ค.ศ. 447 ระหว่างสมัยการปกครองของจักรพรรดิธีโอโดสิอุสที่ 2 พวกเขาก็ตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาที่อาณาจักรโรมันทั้งหมดได้ยอมรับนับถือศาสนาคริสต์แล้ว และจักรพรรดิของเมืองเอฟิซุสก็เลิกเคารพบูชารูปปั้นแล้วด้วย
ในช่วงเวลานั้น พวกโรมันมีความขัดแย้งกันอย่างหนักทางด้านความคิดเกี่ยวกับเรื่องชีวิตหลังความตายและการฟื้นคืนชีพ จักรพรรดิเองก็ต้องการที่จะทำลายการปฎิเสธความเชื่อในชีวิตหลังความตายออกไปจากความคิดของประชาชนจนถึงกับวิงวอนขอความเมตตาต่อพระเจ้าให้ทรงประทานสัญญาณที่จะช่วยทำให้ประชาชนมีความเชื่อที่ถูกต้อง ในวันเดียวกันนี้เองที่ผู้นิทราทั้งเจ็ดได้ตืนขึ้นมาในถ้ำ
หลังจากเด็กหนุ่มทั้งเจ็ดตื่นขึ้นมา พวกเขาก็เริ่มถามซึ่งกันและกันว่าพวกตนนอนหลับกันไปเป็นเวลานานแค่ไหน บางคนก็บบอกว่าอาจจะเป็น 1 วัน บางคนก็บอกว่าไม่ถึงวัน เมื่อหาข้อสรุปไม่ได้ พวกเขาก็หยุดเถียงกันแล้วปล่อยให้เรื่องความรู้ในเรื่องระยะเวลาเป็นเรื่องของพระเจ้า
หลักจากนั้นพวกเขาก็ส่งยีน ซึ่งเป็นเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มออกไปยังเมืองพร้อมเหรียญเงิน เพื่อซื้ออาหาร และได้เตือนเขาให้ระวังตัวเองมิให้คนอื่นจำได้ เพราะพวกเขากลัวว่าถ้าหากพวกเขาถูบพบได้ จักพรรดิก็จะบังคับพวกเขาให้โค้งคารวะต่อเทพไดน่า
แต่เมื่อยีนได้มาถึงเมือง เขาก็แปลกใจที่เห็นว่าโลกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยสิ้นเชิง เพราะผู้คนทั้งหมดได้รับถือศาสนาคริสต์แล้ว และไม่มีใครในเมืองเคารพสักการะไดน่าอีก
เขาได้มายังร้านแห่งหนึ่งและต้องการที่จะซื้อขนมปัง แต่เมื่อเขานำเหรียญเงินที่มีภาพของจักรพรรดิซิอุสมาจ่ายเป็นค่าขนมของเขาเอง ก็เกิดมีการโต้แย้งกันจนมีคนมามุงดูกันแน่น และเรื่องนี้ได้รู้ไปถึงเจ้าเมือง เจ้าเมืองเองก็ประหลาดใจมาก และต้องการจะรู้ว่าแหล่งสมบัติที่เด็กหนุ่มคนนี้ได้เหรียญเงินมานั้นอยู่ที่ไหน แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงยืนยันว่ามันเป็นของเขา เจ้าเมืองไม่เชื่อเพราะเขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่เด็กหนุ่มคนนั้นจะเป็นเจ้าของเหรียญโบราณนานนับศตวรรษที่แม้แต่คนเฒ่าในเมืองนี้ก็ยังไม่เคยเห็น
เมื่อยีนรู้ว่าจักรพรรดิเดวิอุสเสียชีวิตแล้ว เขาก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงได้บอกฝูงชนไปว่าเขากับเพื่อนอีก 6 คนได้ออกมาจากเมืองเมื่อวานซืน เพื่อหลบหนีการถูกประหารชีวิตโดยจักรพรรดิเดซิอุส
เจ้าเมืองจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากและได้ตามเขาไปยังถ้ำที่เขาและเพื่อนๆหลบซ่อนอยู่โดยมีผู้คนมากมายตามไปดูด้วย
เมื่อผู้คนมาถึงถ้ำแห่งนั้น ทุกคนก็เห็นว่าเด็กหนุ่มเหล่านั้นเป็นคนในยุคของจักพรรดิเดซิอุส เมื่อจักรพรรดิธีโอโดสิอุสรู้เรื่องนี้เข้าก็ได้มาดูถ้ำแห่งนี้ด้วยความยินดี
หลังจากเด็กหนุ่มทั้งเจ็ดกลับเข้าไปในถ้ำอีกครั้งหนึ่งและทุกคนก็นอนตายอยู่ในนั้น
เมื่อเห็นสัญญาณอันชัดเจนเช่นนี้ ผู้คนก็หันกลับมามีความเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตายอีกครั้งหนึ่ง และจักรพรรดิได้สั่งให้สร้างอนุสาวรีย์ไว้เหนือถ้ำนั้นเพื่อเป็นการระลึกถึงเหคุการณ์ดังกล่าว
เรื่องราวของผู้นิทราแห่งถ้ำนั้น มีความใกล้เคียงกับเรื่องที่กล่าวไว้ในคัมภีร์กุรอาน จนเด็กหนุ่มทั้งเจ็ดนั้นอาจถือได้ว่าเป็น "อัศฮาบุล กะฮฺฟิ่" (สหายแห่งถ้ำ)
พระองค์อัลลอฮฺ (ศุบอานะฮูวะตะอาลา) ได้เล่าถึงอัศฮาบุล กะฮฺฟิ่ หรือสหายแห่งถ้ำไว้ในอัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-กะฮฺฟิ่ ดังนี้
أَمْ حَسِبْتَ أَنَّ أَصْحَابَ الْكَهْفِ وَالرَّقِيمِ كَانُوا مِنْ آيَاتِنَا عَجَبًا ( 9 )
เจ้าคิดหรือว่า ชาวถ้ำและแผ่นจารึก เป็นส่วนหนึ่งจากสัญญาณมหัศจรรย์ของเรากระนั้นหรือ ?
إِذْ أَوَى الْفِتْيَةُ إِلَى الْكَهْفِ فَقَالُوا رَبَّنَا آتِنَا مِن لَّدُنكَ رَحْمَةً وَهَيِّئْ لَنَا مِنْ أَمْرِنَا رَشَدًا ( 10 )
จงรำลึกขณะที่พวกชายหนุ่มหลบเข้าไปในถ้ำแล้วพวกเขากล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของเรา ขอพระองค์ทรงโปรดประทานความเมตตาจากพระองค์แก่เรา และทรงทำให้การงานของเราอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง”
فَضَرَبْنَا عَلَىٰ آذَانِهِمْ فِي الْكَهْفِ سِنِينَ عَدَدًا ( 11 )
แล้วเราได้อุดหูพวกเขา (ให้นอนหลับ) ในถ้ำ เป็นเวลาหลายปี
ثُمَّ بَعَثْنَاهُمْ لِنَعْلَمَ أَيُّ الْحِزْبَيْنِ أَحْصَىٰ لِمَا لَبِثُوا أَمَدًا ( 12 )
แล้วเราได้ให้พวกเขาลุกขึ้น เพื่อเราจะได้รู้ว่าผู้ใดในสองพวกนั้น นับเวลาที่พวกเขาพำนักอยู่ได้ถูกต้องกว่า
نَّحْنُ نَقُصُّ عَلَيْكَ نَبَأَهُم بِالْحَقِّ إِنَّهُمْ فِتْيَةٌ آمَنُوا بِرَبِّهِمْ وَزِدْنَاهُمْ هُدًى ( 13 )
เราจะเล่าเรื่องราวของพวกเขาแก่เจ้าตามความเป็นจริง แท้จริงพวกเขาเป็นชายหนุ่มที่ศรัทธาต่อพระเจ้าของพวกเขา และเราได้เพิ่มแนวทางที่ถูกต้องให้แก่พวกเขา
وَرَبَطْنَا عَلَىٰ قُلُوبِهِمْ إِذْ قَامُوا فَقَالُوا رَبُّنَا رَبُّ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِ لَن نَّدْعُوَ مِن دُونِهِ إِلَٰهًا لَّقَدْ قُلْنَا إِذًا شَطَطًا ( 14 )
และเราได้ให้ความเข้มแข็งแก่หัวใจของพวกเขา ขณะที่พวกเขายืนขึ้นประกาศว่า “พระเจ้าของเราคือพระเจ้าแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเราจะไม่วิงวอนพระเจ้าอื่น จากพระองค์ มิเช่นนั้นเราก็กล่าวเกินความจริงอย่างแน่นอน
هَٰؤُلَاءِ قَوْمُنَا اتَّخَذُوا مِن دُونِهِ آلِهَةً لَّوْلَا يَأْتُونَ عَلَيْهِم بِسُلْطَانٍ بَيِّنٍ فَمَنْ أَظْلَمُ مِمَّنِ افْتَرَىٰ عَلَى اللَّهِ كَذِبًا ( 15 )
กลุ่มชนของเราเหล่านั้นได้ยึดเอาพระเจ้าต่างๆ อื่นจากพระองค์ ทำไมพวกเขาจึงไม่นำหลักฐานอันชัดแจ้งมายืนยันเล่า ดังนั้นจะมีผู้ใดอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่กล่าวเท็จต่ออัลลอฮ
وَإِذِ اعْتَزَلْتُمُوهُمْ وَمَا يَعْبُدُونَ إِلَّا اللَّهَ فَأْوُوا إِلَى الْكَهْفِ يَنشُرْ لَكُمْ رَبُّكُم مِّن رَّحْمَتِهِ وَيُهَيِّئْ لَكُم مِّنْ أَمْرِكُم مِّرْفَقًا ( 16 )
และเมื่อพวกเจ้าปลีกตัวออกห่างจากพวกเขา และสิ่งที่พวกเขาเคารพบูชาอื่นจากอัลลอฮแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าก็จงหลบเข้าไปในถ้ำ พระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้าจะทรงแผ่ความเมตตาของพระองค์แก่พวกเจ้า และจะทรงทำให้กิจการของพวกเจ้าดำเนินไปอย่างสะดวกสบาย
وَتَرَى الشَّمْسَ إِذَا طَلَعَت تَّزَاوَرُ عَن كَهْفِهِمْ ذَاتَ الْيَمِينِ وَإِذَا غَرَبَت تَّقْرِضُهُمْ ذَاتَ الشِّمَالِ وَهُمْ فِي فَجْوَةٍ مِّنْهُ ذَٰلِكَ مِنْ آيَاتِ اللَّهِ مَن يَهْدِ اللَّهُ فَهُوَ الْمُهْتَدِ وَمَن يُضْلِلْ فَلَن تَجِدَ لَهُ وَلِيًّا مُّرْشِدًا ( 17 )
และเจ้าจะเห็นดวงอาทิตย์ เมื่อมันขึ้น มันจะคล้อยจากถ้ำของพวกเขาไปทางขวา และเมื่อมันตก มันจะเบนออกไปทางซ้าย โดยพวกเขาอยู่ในที่โล่งกว้างของมัน นั่นคือส่วนหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของอัลลอฮฺ ผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงแนะทางที่ถูกต้องแก่เขา เขาก็คือผู้ที่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง และผู้ใดที่พระองค์ทรงให้เขาหลง เขาจะไม่พบ
وَتَحْسَبُهُمْ أَيْقَاظًا وَهُمْ رُقُودٌ وَنُقَلِّبُهُمْ ذَاتَ الْيَمِينِ وَذَاتَ الشِّمَالِ وَكَلْبُهُم بَاسِطٌ ذِرَاعَيْهِ بِالْوَصِيدِ لَوِ اطَّلَعْتَ عَلَيْهِمْ لَوَلَّيْتَ مِنْهُمْ فِرَارًا وَلَمُلِئْتَ مِنْهُمْ رُعْبًا ( 18 )
และเจ้าคิดว่าพวกเขาตื่นทั้งๆ ที่พวกเขาหลับ และเราพลิกพวกเขาไปทางขวาและทางซ้ายและสุนัขของพวกเขาเหยียดขาหน้าทั้งสองของมันไปทางปากถ้ำ หากเจ้าจ้องมองพวกเขา แน่นอนเจ้าจะหันหลังเตลิดหนีจากพวกเขา และเจ้าจะเต็มไปด้วยความตกใจเพราะพวกเขา
وَكَذَٰلِكَ بَعَثْنَاهُمْ لِيَتَسَاءَلُوا بَيْنَهُمْ قَالَ قَائِلٌ مِّنْهُمْ كَمْ لَبِثْتُمْ قَالُوا لَبِثْنَا يَوْمًا أَوْ بَعْضَ يَوْمٍ قَالُوا رَبُّكُمْ أَعْلَمُ بِمَا لَبِثْتُمْ فَابْعَثُوا أَحَدَكُم بِوَرِقِكُمْ هَٰذِهِ إِلَى الْمَدِينَةِ فَلْيَنظُرْ أَيُّهَا أَزْكَىٰ طَعَامًا فَلْيَأْتِكُم بِرِزْقٍ مِّنْهُ وَلْيَتَلَطَّفْ وَلَا يُشْعِرَنَّ بِكُمْ أَحَدًا ( 19 )
และในทำนองนั้นเราได้ให้พวกเขาลุกขึ้นเพื่อพวกเขาจะถามซึ่งกันและกัน คนหนึ่งในพวกเขากล่าวว่า “พวกท่านพำนักอยู่นานเท่าใด ?” พวกเขากล่าวว่า “เราพักอยู่วันหนึ่งหรือส่วนหนึ่งของวัน” พวกเขากล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านทรงทราบดีว่า พวกท่านพำนักอยู่นานเท่าใด ดังนั้นจงส่งคนหนึ่งในหมู่พวกท่านไปในเมือง พร้อมด้วยเหรียญเงินนี้ของพวกท่าน เพื่อเลือกดูอาหารที่ดียิ่ง และให้เขาซื้อมาให้แก่พวกท่าน และให้เขาประพฤติอย่างสุภาพ และอย่าให้ผู้ใดรู้เรื่องของพวกท่าน”
إِنَّهُمْ إِن يَظْهَرُوا عَلَيْكُمْ يَرْجُمُوكُمْ أَوْ يُعِيدُوكُمْ فِي مِلَّتِهِمْ وَلَن تُفْلِحُوا إِذًا أَبَدًا ( 20 )
แท้จริงพวกเขานั้น หากพวกเขารู้เรื่องของพวกท่าน พวกเขาจะเอาก้อนหินขว้างพวกท่านหรือนำพวกท่านกลับไปนับถือศาสนาของพวกเขา และเมื่อนั้นพวกท่านจะไม่บรรลุความสำเร็จเลย”
وَكَذَٰلِكَ أَعْثَرْنَا عَلَيْهِمْ لِيَعْلَمُوا أَنَّ وَعْدَ اللَّهِ حَقٌّ وَأَنَّ الس�ู้
เป็นเจ้าของพวกเขาทรงรู้ดียิ่งขึ้นในเรื่องของพวกเขา ฝ่ายบรรดาผู้มีเสียงข้างมากในเรื่องของพวกเขากล่าวว่า “แน่นอนเราจะสร้างมัสยิดที่ปากถ้ำให้แก่พวกเขา”
سَيَقُولُونَ ثَلَاثَةٌ رَّابِعُهُمْ كَلْبُهُمْ وَيَقُولُونَ خَمْسَةٌ سَادِسُهُمْ كَلْبُهُمْ رَجْمًا بِالْغَيْبِ وَيَقُولُونَ سَبْعَةٌ وَثَامِنُهُمْ كَلْبُهُمْ قُل رَّبِّي أَعْلَمُ بِعِدَّتِهِم مَّا يَعْلَمُهُمْ إِلَّا قَلِيلٌ فَلَا تُمَارِ فِيهِمْ إِلَّا مِرَاءً ظَاهِرًا وَلَا تَسْتَفْتِ فِيهِم مِّنْهُمْ أَحَدًا ( 22 )
พวกเขาจะกล่าวกันว่า ชาวถ้ำนั้นมีสามคน ที่สี่ก็คือสุนัขของพวกเขา และอีกกลุ่มจะกล่าวว่า มีห้าคน ที่หกก็คือสุนัขของพวกเขา ทั้งนี้เป็นการเดาในสิ่งที่ไม่รู้ และอีกกลุ่มหนึ่งจะกล่าวว่ามีเจ็ดคน และที่แปดก็คือสุนัขของพวกเขา จงกล่าวเถิด“พระผู้เป็นเจ้าของฉันทรงรู้ดียิ่งถึงจำนวนของพวกเขา ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องของพวกเขาเว้นแต่ส่วนน้อย” ดังนั้น เจ้าอย่าโต้เถียงกันในเรื่องของพวกเขา นอกจากการโต้เถียงที่ประจักษ์แจ้ง และอย่าสอบถามผู้ใดในเรื่องของพวกเขาเลย
وَلَا تَقُولَنَّ لِشَيْءٍ إِنِّي فَاعِلٌ ذَٰلِكَ غَدًا ( 23 )
และเจ้าอย่ากล่าวเกี่ยวกับสิ่งใดว่า “แท้จริงฉันจะเป็นผู้ทำสิ่งนั้นในวันพรุ่งนี้”
إِلَّا أَن يَشَاءَ اللَّهُ وَاذْكُر رَّبَّكَ إِذَا نَسِيتَ وَقُلْ عَسَىٰ أَن يَهْدِيَنِ رَبِّي لِأَقْرَبَ مِنْ هَٰذَا رَشَدًا ( 24 )
เว้นแต่อัลลอฮ์ทรงประสงค์ จงรำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าเมื่อลืม และจงกล่าวว่า “บางทีพระผู้เป็นเจ้าของฉันจะทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องที่ใกล้กว่านี้แก่ฉัน”
وَلَبِثُوا فِي كَهْفِهِمْ ثَلَاثَ مِائَةٍ سِنِينَ وَازْدَادُوا تِسْعًا ( 25 )
และพวกเขาพำนักอยู่ในถ้ำของพวกเขาสามร้อยปี และเพิ่มอีกเก้าปี
قُلِ اللَّهُ أَعْلَمُ بِمَا لَبِثُوا لَهُ غَيْبُ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِ أَبْصِرْ بِهِ وَأَسْمِعْ مَا لَهُم مِّن دُونِهِ مِن وَلِيٍّ وَلَا يُشْرِكُ فِي حُكْمِهِ أَحَدًا ( 26 )
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “อัลลอฮ์ทรงรู้ดียิ่งว่าพวกเขาพำนักอยู่นานเท่าใด สำหรับพระองค์นั้นทรงรู้สิ่งพ้นญาณวิสัย ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินพระองค์ทรงเห็นชัดและทรงฟังชัดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีผู้คุ้มครองใดสำหรับพวกเขาอื่นจากพระองค์พระองค์ไม่ทรงรับรู้ผู้ใด เข้าร่วมภาคีในการปกครองของพระองค์”(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-กะฮฺฟิ่ 18 :9-26)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น