อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เหตุการณ์ของผู้ที่จะลอบสังหารท่านนบีในสมรภูมิฮุนัยฺ




ในระหว่างการสู้รบที่สมรภูมิฮุนัยนฺ ได้มีผู้ที่จะทำการลอบสังหารท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ดังนี้

เหตุการณ์แรก

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้หยุดพักที่ใต้ต้นไม้ โดยท่านได้แขวนดาบและคันธนูไว้กับต้นไม้นั้น ได้มีชายคนหนึ่งมุ่งหน้ามาหาขณะที่ท่านกำลังนอนหลับอยู่ ชายคนนั้นชักดาบออกมา เขายืนอยู่ทางศีรษะของท่านรสูล เขาปลุกท่านรสูลพร้อมกับกล่าวว่า

“โอ้ มุหัมมัด มีใครเล่าที่จะคุ้มครองท่านให้พ้นจากเงื้อมมือของฉันได้?” 

ท่านนบีก็กล่าวว่า

“อัลลอฮ”

ทันใดนั้น ท่านอบูบุรดะฮฺ อิบนินิยาร ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ ได้มายังชายคนนั้น ตั้งใจจะฆ่าเขา แต่ท่านรสูลได้ห้ามไว้ และกล่าวว่า
“โอ้อบูบุรดะฮฺ แท้จริง อัลลอฮฺทรงป้องกันฉันจนกว่าจะให้ศาสนาของพระองค์เป็นประจักษ์ขึ้นมา”

เหตุการณ์ที่สอง

ในบรรดาบุคคลที่ออกไปร่วมรบพร้อมกับท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ในสมรภูมิฮุนัยนฺ นั้น มีท่านชัยบะฮฺบินอุสมาน บิน อบีฏอลฮะฮฺ ท่านผู้นี้สืบเชื้อสายจากเผ่าบนี อับดิรดารฺ ซึ่งเป็นเผาที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ในฐานะที่พวกเขาเป็นผู้เก็บรักษากุญแจอัลกะบะฮฺอยู่ เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม พิชิตนครมักกะฮฺในเดือนรอมฎอน ฮ.ศ. ปีที่ 8 ท่านได้อภัยโทษแก่ชาวมักกะฮฺที่เคยแสดงตนเป็นศัตรูต่ออิสลามเป้นจำนวนมาก หนึ่งในจำนวนนั้น ก็มีชัยบะฮฺรวมอยู่ด้วย และในคราวที่ท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ออกไปเพื่อรบกับข้าศึกในสมรภูมิฮุนัยนฺ นั้น ชัยบะฮฺก็ออกไปพร้อมกับท่านรสูลด้วย ทั้งๆที่ยังไม่ได้เข้ารับอิสลาม นักประวัติศาสตร์กล่าวว่า การออกไปของชัยบะฮฺครั้งนี้ มีเจตนาที่จะฆ่าท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ในระหว่างการประจัญบาน ตามแผนที่ได้ตั้งไว้
(หนังสือ “ซิยัรฺ อะอฺลามิลนุบะลาอฺ” ของอิมามอัซซะฮะบียฺ เล่ม 3 หน้า13)

แต่แผนร้ายของเขาล้มเหลว จึงทำให้เขามั่นใจว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ไม่ใช่เป็นบุคคลธรรมดา หากแต่เป็นผู้ประกาศศาสนาของอัลลอฮฺอย่างแท้จริง ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ชัยบะฮฺเข้ารับอิสลามด้วยความศรัทธา และยังคงอยู่ร่วมรบกับท่านรสูลโดยไม่หนีทัพ

ท่านชัยบะฮฺ ได้กล่าวว่า
“ฉันตั้งใจสังหารท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ในขณะที่ฉันยืนอยู่เบื้องหน้าท่าน ปรากฏว่ามีสิ่งหนึ่งทับหน้าอกของฉัน จนทำให้หมดกำลังและอ่อนเพลีย ฉันจึงรู้ทันที่ว่า ต้องมีผู้คุ้มครองท่านรสูลให้พ้นภัยอันตรายอย่างแน่นอน”

อีกรายงานหนึ่งท่านชัยบะฮฺกล่าวว่า
“ในช่วงที่ฉันตั้งใจลงมือสังหารท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม นั้น มีความมืดมิดเข้ามาปกคลุมจนกระทั่งทำให้ฉันมองอะไรไม่เห็นเลย ฉันจึงรู้ในทันทีว่าต้องมีผู้คุ้มครองท่านรสูลอย่างแน่นอน จึงทำให้ท่านรอดพ้นจากภัยอันตราย ในทันใดนั้นฉันก็เกิดความศรัทธาในอิสลาม”

อีกรายงานหนึ่ง ท่านชัยบะฮฺ กล่าวว่า
“เมื่อฉันเห็นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม สามารถพิชิตมักกะฮฺได้เรียบร้อยแล้ว และเมื่อทราบว่าท่านจะออกไปเผชิญหน้ากับตระกูล “ฮะวาซิน” ในสมรภูมิฮุนัยนฺ ฉันกล่าวแก่ตนเองว่า ฉันจะออกร่วมกับท่านในสมรภูมินี้ บางทีอาจเป็นโอกาสดีแก่ฉันในการล้างแค้น และฉันนึกถึงการที่บิดาและวงศ์ญาติของฉันที่ถูกฆ่าตายในสมรภูมิอุฮูด (ปี ฮ.ศ. ที่ 3) และเมื่อเกิดการท้อถอยและระส่ำระสายในหมู่มุสลิม ฉันก็เข้ามาหาท่านรสูลทางด้านขวา ฉันพบลุงของท่านคือ อัลอับบ๊าสยืนดูแลท่านอยู่ และฉันกล่าวว่า เมื่อลุงของท่านทำหน้าที่เช่นนี้คงจะไม่ปล่อยให้ฉันทำอันตรายต่อหลานของท่านได้เป็นอันขาด ฉันจึงเปลี่ยนเข้ามาหาท่านรสูลทางด้านซ้าย ฉันก็พบ อบูซุฟยาน อิบนิลฮาริษ อิบนิอับดุลมุฏฏอลิบ ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ กำลังยืนเฝ้าให้ความอารักขาท่านอยู่ ฉันนึกทันทีว่า ลูกพี่ลูกน้องของท่านรสูล (หมายถึง อบูซุฟยาน) คงจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดทำอันตรายท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม เป็นอันขาด ฉันจึงเห็นว่าไม่มีทางใดนอกจากจะเข้ามาหาท่านรสูลทางด้านหลัง ฉันพยายามเข้าใกล้ชิดตัวท่านรสูล จนกระทั้งไม่มีสิ่งใดขัดขวาง เพียงแต่จะยกดาบขึ้นตัดศีรษะของท่าน แต่ทันใดนั้นมีเปลวไฟสว่างขึ้นตรงหน้าของฉัน เสมือนว่าเป็นฟ้าแลบที่ร้อนระอุ ฉันตกใจกลัวว่ามันจะเผาไหม้เนื้อหนังของฉัน เสมือนว่าเป็นฟ้าแลบที่ร้อนระอุ ฉันตกใจกลัวว่ามันจะเผาไหม้เนื้อหนังของฉัน ถึงกับผงะถอยหลัง เอามือปิดหน้าไว้และทันใดนั้น ท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้หันหน้ามาเรียกฉันอย่างเป็นมิตรว่า โอ้ชัยบะฮฺ จงเข้ามาใกล้ๆฉันซิ.. ฉันก็เข้าไปใกล้ท่านรสูล แล้วท่านก็วางมือลงบนหน้าอกของฉัน และกล่าวว่า

“อัลลอฮุมมัศฮับอันฮุชชัยฏอน”

“ข้าแต่อัลลอฮฺ ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงให้ชัยฏอนหันเหออกไปจากเขาด้วย”

ภายหลังจากที่ท่านรสูลวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺให้ฉันแล้ว ฉันก็เงยศีรษะขึ้นมองดูท่านในฐานะที่ท่านเป็นที่รักของฉันยิ่งกว่าหูตา และหัวใจของฉันเอง

ต่อจากนั้นท่านรสูลกล่าวอีกว่า

โอ้ชัยบะฮฺ จงสู้รบกับพวกกุฟฟาร”

จึงจึงก้าวออกไปอยู่เบื้องหน้าของท่านเพื่อจะต่อสู้กับพวกกุฟฟารตามคำสั่ง โดยมีใจปรารถนาเช่นนั้นอย่างแรงกล้า พร้อมพลีชีพเพื่อปกป้องท่านให้พ้นจากภยันตรายทุกรูปแบบ”

ภายหลังจากข้าศึกยอมแพ้ และสงครามยุติ ท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ก็กลับบ้าน ขระที่แนเข้าไปหาท่าน ท่านกล่าวว่า

“บรรดาการสรรเสริญทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺที่ทรงให้เธอประสบกับความดีจากสิ่งที่เธอต้องการ” 

และท่านก็ได้บอกให้ฉันได้ทราบถึงเรื่องราวที่ฉันต้องการสังหารท่าน
(หนังสือ “อิมตาอุลอัสมาอฺ” ของ “อัลอัลลามะฮฺ อัลมักรีซีย์” เล่ม 1 หน้า 410-411)
ส่วนมากเป็นรายงานจากบันทึกของอิมามบัยฮะกีย์

จากเหตุการณ์ข้างต้น ถือเป็นการยืนยันการเป็นผู้ประกาศศาสนาของท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้อย่างชัดเจน


والله أعلم بالصواب

................
สายสัมพันธ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น