อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ลักษณะของยิว-คริสต์ที่เป็นสาเหตุทำให้พวกเขาเป็นศัตรูอิสลาม




พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา มีคำบัญชาให้ผู้สรัทธาทั้งหลายต่อสู้กับชาวที่ได้รับคัมภีร์ คือพวกยิวและคริสต์ พวกเขามีลักษณะ 4 ประการ ที่เป็นสาเหตุทำให้พวกเขาเป็นศัตรูต่ออิสลาม และจำเป็นจะต้องให้พวกเขาจำนนต่อผู้นำมุสลิม ตราบใดที่พวกเขามีชีวิตอยู่ในดินแดนอิสลาม ถ้าหากว่าจะอนุญาตให้พวกเขาถืออาวุธ แน่นอน การเช่นนั้นจะทำให้พวกเขาสู้รบกับมุสลิม หรือช่วยเหลือมุสลิมที่มุ่งรุกราน หลังจากท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ให้ความคุ้มครองพวกเขา ไม่เพียงเท่านั้น หากแต่ท่านรสูลยังถือว่าพวกเขาเป็นมิตรที่สัญญาผูกพันกับมุสลิม และยังอนุญาตให้พวกเขาใช้บัญญัติทางศาสนาของพวกเขา ในการตัดสินปัญหาที่เกิดขึ้นในหมู่ของพวกเขา และให้ปฏิบัติ ศาสนากิจได้อย่างเสรี ท่านรสูลได้ปฏิบัติต่อพวกคริสต์โรมันที่อยู่ตามชายแดนของอาณาจักรอิสลามเช่นเดียวกัน

และสี่ประการที่เป็นสาเหตุให้อัลลอฮฺทรงกำชับบรรดาผู้ศรัทธาให้ต่อสู้กับชาวคัมภีร์ คือ

1.พวกเขาไม่ศรัทธาในอัลลอฮฺ ในเรื่องนี้อัลกุรอานเป็นพยานว่า พวกยิว(ยะฮูดียฺ) และคริสต์(นัซรอนีย์) ได้ทำลายเตาฮีด การให้ดอกภาพต่ออัลลอฮฺ นับตั้งแต่พวกเขาได้ยึดเอาบรรดานักปราชญ์และบาทหลวงของพวกเขาเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮฺ

2.พวกเขาไม่ศรัทธาในวันสิ้นโลก และยังกล่าวด้วยว่าชีวิตแห่งปรโลกนั้นเป็นชีวิตที่ปราศจากการตอบแทนทางวัตถุ ซึ่งการเชื่อเช่นนั้น เท่ากับเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงแห่งชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกอาคีเราะฮฺหรือวันปรโลก ซึ่งรวมไว้ด้วยความสุขสำราญทั้งด้านวิญญาณและร่างกาย

3.พวกเขาไม่ถือสิ่งที่อัลลอฮฺและรสูลของพระองค์ทรงห้าม ว่าเป็นสิ่งที่ต้องห้าม พวกยิวไม่ปฏิบัติตามบัญญัติศาสนาที่ท่านนบีมูซา(โมเสส) ได้ประกาศไว้ พวกเขาจึงถือว่าการกินทรัพย์สมบัติของผู้อื่นโดยมิชอบไม่เป็นที่ต้องห้าม เช่น การกินดอกเบี้ย ลพวกเขายังดำเนินตามประเพณีของพวกที่ตั้งภาคีในการทำศึกและอื่น สำหรับคริสต์ก็ละเมิดสิ่งที่ต้องห้ามไว้ในคัมภีร์เตาวฺรอฮฺ(ไบเบิลเก่า) โดยที่คัมภีร์อินญีล(ไบเบิลใหม่)ไม่ได้ยกเลิก เช่นการห้ามกินเนื้อสุกร

4.พวกเขาไม่ปฏิบัติตามศาสนาที่แท้จริง กล่าวคือ ศาสนาที่พวกยิวกับคริสต์ดำเนินตามที่อยู่ในทุกวันนี้ เป็นหลักศาสนาที่มีการเปลี่ยนแปลงจากตัวบทเดิม โดยมีบาทหลวงเป้นผู้เปลี่ยนแปลง จึงถือว่าศาสนาที่พวกเขาดำเนินตามอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่บทบัญญัติที่แท้จริงที่อัลลอฮฺประทานให้แก่ท่านนบีมูซาและท่านนบีอีซา(เยซู) อะลัยฮิมัสสะลาม

พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะฮาลาตรัสว่า


قَاتِلُوا الَّذِينَ لَا يُؤْمِنُونَ بِاللَّهِ وَلَا بِالْيَوْمِ الْآخِرِ وَلَا يُحَرِّمُونَ مَا حَرَّمَ اللَّهُ وَرَسُولُهُ وَلَا يَدِينُونَ دِينَ الْحَقِّ مِنَ الَّذِينَ أُوتُوا الْكِتَابَ حَتَّىٰ يُعْطُوا الْجِزْيَةَ عَن يَدٍ وَهُمْ صَاغِرُونَ ( 29 )
“พวกเจ้าจงต่อสู้บรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และต่อวันปรโลก และไม่งดเว้นสิ่งที่อัลลอฮ์และร่อซูล ห้ามไว้ และไม่ปฏิบัติตามศาสนาแห่งความสัจจะ อันได้แก่บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ จนกว่าพวกเขาจะจ่ายอัล-ญิซยะฮ์ จากมือของพวกเขา เอง ในสภาพที่พวกเขาเป็นผู้ต่ำต้อย”
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ 9:29)


وَلَقَدْ أَخَذَ اللَّهُ مِيثَاقَ بَنِي إِسْرَائِيلَ وَبَعَثْنَا مِنْهُمُ اثْنَيْ عَشَرَ نَقِيبًا وَقَالَ اللَّهُ إِنِّي مَعَكُمْ لَئِنْ أَقَمْتُمُ الصَّلَاةَ وَآتَيْتُمُ الزَّكَاةَ وَآمَنتُم بِرُسُلِي وَعَزَّرْتُمُوهُمْ وَأَقْرَضْتُمُ اللَّهَ قَرْضًا حَسَنًا لَّأُكَفِّرَنَّ عَنكُمْ سَيِّئَاتِكُمْ وَلَأُدْخِلَنَّكُمْ جَنَّاتٍ تَجْرِي مِن تَحْتِهَا الْأَنْهَارُ فَمَن كَفَرَ بَعْدَ ذَٰلِكَ مِنكُمْ فَقَدْ ضَلَّ سَوَاءَ السَّبِيلِ ( 12 )
และแท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงเอาสัญญาแก่วงศ์วานอิสรออีล และเราได้แต่งตั้งผู้ดูแลจากหมู่พวกเขาขึ้นสิบสองคน และอัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า แท้จริงข้านั้นร่วมอยู่ด้วยกับพวกเจ้า ถ้าหากพวกเจ้าดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และชำระซะกาต และศรัทธาต่อบรรดาร่อซูลของข้า และสนับสนุนพวกเขา และให้อัลลอฮฺยืมหนี้ที่ดี แล้วแน่นอนข้าจะลบล้างให้พ้นจากพวกเจ้า ซึ่งความชั่วทั้งหลายของพวกเจ้า และแน่นอนข้าจะให้พวกเจ้าเข้าบรรดาสวนสวรรค์ ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องล่างของสวนสวรรค์เหล่านั้น แล้วผู้ใดในหมู่พวกเจ้าปฏิเสธ หลังจากนั้นแล้ว แน่นอนเขาก็หลงทางอันเที่ยงตรง


فَبِمَا نَقْضِهِم مِّيثَاقَهُمْ لَعَنَّاهُمْ وَجَعَلْنَا قُلُوبَهُمْ قَاسِيَةً يُحَرِّفُونَ الْكَلِمَ عَن مَّوَاضِعِهِ وَنَسُوا حَظًّا مِّمَّا ذُكِّرُوا بِهِ وَلَا تَزَالُ تَطَّلِعُ عَلَىٰ خَائِنَةٍ مِّنْهُمْ إِلَّا قَلِيلًا مِّنْهُمْ فَاعْفُ عَنْهُمْ وَاصْفَحْ إِنَّ اللَّهَ يُحِبُّ الْمُحْسِنِينَ ( 13 )
แต่เนื่องจากการที่พวกเขาทำลายสัญญาของพวกเขา เราจึงได้ให้พวกเขาห่างไกลจากความกรุณาเมตตาของเราและให้หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง พวกเขากระทำการบิดเบือน บรรดาถ้อยคำให้เฉออกจากตำแหน่งของมัน และลืมส่วนหนึ่งจากสิ่งที่พวกเขาถูกเตือนไว้ และเจ้า ก็ยังคงมองเห็นอยู่ในการคดโกงจากพวกเขานอกจากเพียงเล็กน้อยในหมู่พวกเขาเท่านั้น จงอภัยให้แก่พวกเขาเถิด และเมินหน้าเสีย แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงชอบผู้ทำดีทั้งหลาย


وَمِنَ الَّذِينَ قَالُوا إِنَّا نَصَارَىٰ أَخَذْنَا مِيثَاقَهُمْ فَنَسُوا حَظًّا مِّمَّا ذُكِّرُوا بِهِ فَأَغْرَيْنَا بَيْنَهُمُ الْعَدَاوَةَ وَالْبَغْضَاءَ إِلَىٰ يَوْمِ الْقِيَامَةِ وَسَوْفَ يُنَبِّئُهُمُ اللَّهُ بِمَا كَانُوا يَصْنَعُونَ ( 14 )
และจากบรรดาผู้ที่กล่าวว่า พวกเราเป็นคริสต์นั้น เราได้เอาสัญญาจากพวกเขา แต่แล้วพวกเขาก็ลืมส่วนหนึ่งจากสิ่งที่พวกเขาถูกเตือนไว้ เราจึงได้ให้เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาซึ่งการเป็นศัตรูและการเกลียดชังกันจนกระทั่งวันกิยามะฮ์ และอัลลอฮ์จะทรงบอกเขาเหล่านั้นถึงสิ่งที่เขาเหล่านั้นได้กระทำมาก่อน


يَا أَهْلَ الْكِتَابِ قَدْ جَاءَكُمْ رَسُولُنَا يُبَيِّنُ لَكُمْ كَثِيرًا مِّمَّا كُنتُمْ تُخْفُونَ مِنَ الْكِتَابِ وَيَعْفُو عَن كَثِيرٍ قَدْ جَاءَكُم مِّنَ اللَّهِ نُورٌ وَكِتَابٌ مُّبِينٌ ( 15 )
บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย ! แท้จริงร่อซูลของเรา ได้มายังพวกเจ้าแล้ว โดยที่เขาจะแจกแจงแก่พวกเจ้า ซึ่งมากมายจากสิ่งที่พวกเจ้าปกปิดไว้จากคัมภีร์ และเขาจะระงับไว้มากมาย แท้จริงแสงสว่างจากอัลลอฮ์ และคัมภีร์อันชัดแจ้งนั้นได้มายังพวกเจ้าแล้ว


يَهْدِي بِهِ اللَّهُ مَنِ اتَّبَعَ رِضْوَانَهُ سُبُلَ السَّلَامِ وَيُخْرِجُهُم مِّنَ الظُّلُمَاتِ إِلَى النُّورِ بِإِذْنِهِ وَيَهْدِيهِمْ إِلَىٰ صِرَاطٍ مُّسْتَقِيمٍ ( 16 )
ด้วยคัมภีร์นั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงแนะนำผู้ที่ปฏิบัติตามความพึงพระทัยของพระองค์ ซึ่งบรรดาทางแห่งความปลอดภัย และจะทรงให้พวกเขาออกจากความมืดไปสู่แสงสว่างด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ และจะทรงแนะนำพวกเขาสู่ทางอันเที่ยงตรง
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-มาอิดะฮฺ 5:12-16)

พวกยิวและคริสต์ได้ลืมส่วนหนึ่งที่พวกเขาถูกตักเตือนไว้ และพวกเขาไม่ปฏิบัติตามอีกบางส่วน การปฏิบัติของพวกเขาส่วนมากอาศัยบทที่นักปราชญ์และบาทหลวงของพวกเขาบัญญัติขึ้นมาเอง


والله أعلم بالصواب

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น