อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ผู้ตั้งภาคี(มุชรีกีน)เป็นนะยิส





พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا إِنَّمَا الْمُشْرِكُونَ نَجَسٌ فَلَا يَقْرَبُوا الْمَسْجِدَ الْحَرَامَ ( 28 )

“โอบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย แท้จริงบรรดามุชริก(ผู้ตั้งภาคี)นั้นเป็น “นะยิส”(โสมม) ดังนั้น พวกเขาจงอย่าเข้าใกล้มัสยิดฮะรอม..”
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ 9 อายะฮฺที่ 28)

ความสกปรกโสมมของมุชริกีน(ผู้ตั้งภาคี) ตามอัลกุรอานอายะฮฺข้างต้น นักวิชาการศาสนามีทัศนะที่ต่างกันว่า นะยิส หรือความสกปรกในที่นี้ เป็นรูปธรรมคือความเป็นนะยิสสกปรกของร่างกายที่สามารถสัมผัสจับต้องหรือมองเห็นได้ หรือเป็นเพียงนามธรรม คือความสกปรกของจิตใจ

ทัศนะที่ว่านะยิสในที่นี้เป็นรูปธรรม

รายงานจากท่านอิบนิอับบ๊าส ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า
“ตัวของพวกเขาเป็นนะยิส เหมือนกับนะยิสของสุนัข และสุกร”

ทัศนะนี้ เป็นแนวทางของพวกซอฮีรียะฮฺบางกลุ่ม (ซอฮีรียะฮฺเป็นมัซฮับแนวทางที่ตั้งขึ้นโดยอิมามอบูดาวูด อัซซอฮิรีย์) และบางกลุ่มจากพวกซัยดฺดียะฮฺ

ทัศนะที่ว่านะยิสในที่นี้เป็นนามธรรม

ทัศนะนี้เป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ จากชนรุ่นก่อนๆ และรุ่นหลังๆ รวมทั้งมัซฮับทั้งสี่ อันได้แก่ มัซอับฮะนะฟี มาลีกี ชาฟีอี และฮัมบาลี

ต่างก็ถือว่าพวกมุชริกีนนั้นตัวของพวกเขาไม่เป็นนะยิส หรือสกปรกโสมม ทั้งนี้เพราะอัลลอฮฺให้อาหารของชาวคัมภีร์ซึ่งถือว่าพวกเขาทำชิรกฺด้วย เป็นที่หะลาลตราบใดอาหารนั้นไม่มีสิ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติอิสลาม

และปรากกว่า ท่านรสูล ศ็อลลัลลฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้รับประทานอาหารและดื่มจากภาชนะของพวกเขา และยังเคยใช้ภาชนะของพวกเขาใส่น้ำสำหรับอาบน้ำละหมาด ตลอดจนท่านยังเคยให้พวกเขาพักที่มัสยิดของท่านอีกด้วย

รายงานจากท่านญาบิร อิบนิอับดิลลาฮฺ ร่อฎียัลลอฮุอันฮ์ เล่าว่า
“พวกเราเคยออกร่วมรบกับท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม และได้ยึดเอาภาชนะ เหยือกของพวกมุชรีกีนมาใช้ประโยชน์ ท่านรสูล ศ็อลลัลลฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ก้ไม่ตำหนิอะไร” (บันทึกหะดิษโดยอิมามอะหฺมัด และอบูดาวูด)

และจากบันทึกหะดิษของอิมามติรมีซีย์ระบุว่า มีผู้ถามท่านนบี ศ็อลลัลลฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ถึงภาชนะของพวกบูชาไฟ ท่านตอบว่า
“จงล้างให้ดีแล้วนำมาหุงต้มได้”

จากบรรดาหลักฐานเหล่านี้ นักวิชาการจึงมีทัศนะห้ามใช้ภาชนะของพวกปฏิเสธ จนกว่าจะได้นำมาล้างให้สะอาดอย่างดีเสียก่อน ส่วนชาวคัมภีร์หากพวกเขาไม่ได้ใช้ภาชนะของพวกเขาไปในสิ่งที่ต้องห้าม เช่นไม่ได้นำไปใชเป็นภาชนะใส่หมู ก็อนุญาตนำมาใช้ได้โดยไม่ต้องล้าง

والله أعلم بالصواب

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น