อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เจตนาเหนือกว่าการกระทำ




การทำงานเพื่ออัลลอฮฺ และพูดเพื่ออัลลอฮฺเพียงองค์เดียว ด้วยใจอิคลาศ หรือบริสุทธิ์ใจ ก็ย่อมได้การตอบแทนรางวัลอันยิ่งใหญ่จากพระองค์อัลลอฮฺ

แต่ถ้าการกระทำที่ไม่ใช่เพื่ออัลลอฮฺ ก็ย่อมเป็นโมฆะ ไร้ผลทั้งในดุนยาและอาคีเราะฮฺ เพราะการงานทั้งหลายนั้น ขึ้นอยู่กับอันนียะฮฺหรือเจตนาเท่านั้น

عَنْ أَمِيرِ الْمُؤْمِنِينَ أَبِي حَفْصٍ عُمَرَ بْنِ الْخَطَّابِ رضي الله عنه قَالَ: سَمِعْت رَسُولَ اللهِ صلى الله عليه وسلم يَقُولُ: " إنَّمَا الأَعْمَالُ بِالنِّيَّاتِ، وَإِنَّمَا لِكُلِّ امْرِئٍ مَا نَوَى، فَمَنْ كَانَتْ هِجْرَتُهُ إلَى اللهِ وَرَسُولِهِ فَهِجْرَتُهُ إلَى اللهِ وَرَسُولِهِ، وَمَنْ كَانَتْ هِجْرَتُهُ لِدُنْيَا يُصِيبُهَا أَوْ امْرَأَةٍ يَنْكِحُهَا فَهِجْرَتُهُ إلَى مَا هَاجَرَ إلَيْهِ" .
รายงานจากอะมีรุลมุอฺมินีน อบูหัฟศฺ อุมัร บิน อัลค็อตฏอบ เราะฎิยัลลอฮุอะนฮุ ท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า

“แท้จริงทุกๆการงานจะขึ้นอยู่กับการตั้งเจตนา และแท้จริงทุกๆคนจะได้รับ (การตอบแทน) ตามที่เขาได้เจตนาไว้ ดังนั้นผู้ใดที่การอพยพของเขามีเจตนาเพื่อ (แสวงหาความโปรดปรานจาก) อัลลอฮฺและรสูลของพระองค์ การอพยพของเขาก็จะกลับไปสู่ (ความโปรดปรานของ) อัลลอฮฺและรสูลของพระองค์ และผู้ใดที่การอพยพของเขามีเจตนาเพื่อ (ผลประโยชน์) ทางโลกที่เขาจะได้รับ หรือเพื่อหญิงนางหนึ่งที่เขาหวังจะแต่งงานด้วย การอพยพของเขาก็จะกลับคืนสู่สิ่งที่เขาได้อพยพไป (จะถูกพิจารณาตามที่เขาได้ตั้งเจตนาไว้)”
[ บันทึกโดย อัลบุคอรีย์, เลขที่ 1, มุสลิม, เลขที่ 1907 ]

เจตนานั้น บรรดาอุละมาอฺ หมายถึง 2 ประการดังนี้

ประการแรก

คือ การจำแนกแยกแยะสิ่งที่เป็นการเคารพสักการะ(อิบาด๊าต) ออกจากขนบประเพณี (อาด๊าต) เสมือนการแยกแยะระหว่างการอาบน้ำญะนาบะฮฺ กับการอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดทั่วๆไป และการจำแนกแยกแยะอิบาด๊าตต่างๆ ออกจากกัน เช่น แยกระหว่างละหมาดมักริบ กับละหมาดอีชา , การจำแนกระหว่างการถือศิลอดในเดือนรอมฎอนกับการถือสิลอดอื่นๆ

ประการที่สอง

การตั้งเจตนา ก็คือ การจำแนกแยกแยะให้เห็นชัดว่าจุดมุ่งหมายของการกระทำนั้น ทำเพื่ออัลลอฮฺองค์เดียว หรือทำเพื่ออัลลอฮฺและเพื่อผู้อื่นด้วย และนี้คือ สิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญ เพราะจะมีผลต่อความสุข ความทุกข์ และรางวัล หรือการลงโทษต่อตัวเราเอง

คนสองคนทำงานชนิดเดียวกัน ในรูปแบบเดียวกัน และก็เหนื่อยเท่าๆกัน แต่คนหนึ่งได้รับผลการตอบแทน แต่อีกคนหนึ่งกลับไม่ได้รับ แถมยังถูกลงโทษอีกด้วย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเจตนามุ่งหวังในการทำงานในแต่ละคนนั้นต่างกัน คนหนึ่งกระทำด้วยใจบริสุทธิ์เพื่ออัลลอฮฺ ศุบอานะฮูวะตะอาลา เพียงองค์เดียว แต่อีกคนหนึ่ง กระทำไปเพื่ออื่นจากอัลลอฮฺ เพื่อโลกดุนยา เพื่อความโอ้อวด ให้ได้รับการยกย่องเยินย่อ เป็นต้น

พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

مَن كَانَ يُرِيدُ الْحَيَاةَ الدُّنْيَا وَزِينَتَهَا نُوَفِّ إِلَيْهِمْ أَعْمَالَهُمْ فِيهَا وَهُمْ فِيهَا لَا يُبْخَسُونَ ( 15 )

ผู้ใดปรารถนาการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้และความเพริศแพร้วของมัน เราก็จะตอบแทนให้พวกเขาอย่างครบถ้วน ซึ่งการงานของพวกเขาในโลกนี้เท่านั้น และพวกเขาจะไม่ถูกริดรอนในการงานนั้นแต่อย่างใด

أُولَٰئِكَ الَّذِينَ لَيْسَ لَهُمْ فِي الْآخِرَةِ إِلَّا النَّارُ وَحَبِطَ مَا صَنَعُوا فِيهَا وَبَاطِلٌ مَّا كَانُوا يَعْمَلُونَ ( 16 )

ชนเหล่านั้น พวกเขาจะไม่ได้รับการตอบแทนอันใดในโลกอาคิเราะฮ์ นอกจากไฟนรกและสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้ในโลกดุนยาก็จะไร้ผลและสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้ก็จะสูญเสียไป
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺฮู๊ด 11 อายะฮฺที่ 15-16)

บรรดาอุละมาอฺกล่าวว่า เจตนานั้นเหนือกว่าการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการละหมาด การถือศิลอด การบริจาค การญิฮาด หรือการอพยพจากประเทศกุฟรฺไปสู่ประเทศอิสลาม ซึงถือเป็นการงานที่ประเสริฐที่สุด ก็ยังสู้การมีเจตนาที่ดี หรือบริสุทธิ์ไม่ได้ หากการการอพยพนั้นเป็นไปเพื่อผลประโยชน์แห่งดุนยา

รายงานจากอบูฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎียัลลอฮุอันฮ์ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า

“แท้จริง มนุษย์คนแรกที่จะถูกตัดสินในวันกิยามะฮฺ คือผู้ที่ตายชะฮีด เขาจะถูกนำตัวมา และแจ้งให้รู้ถึงเนี๊ยะอฺมะฮฺที่เขาได้รับ แล้วเขาก็รับรู้ และกล่าวว่า : ข้าพระองค์สู้รบเพื่อพระองค์ จนกระทั้งได้ตายชะฮีด อัลลอฮฺตรัสว่า : เจ้าโกหก ที่เจ้าสู้รบก็เพียงเพื่อให้ผู้คนกล่าวขวัญถึงเท่านั้น แล้วเขาก็ถูกกระชากใบหน้า โยนเข้าสู่ไฟนรก

ชายอีกคนหนึ่งที่ศึกษาวิชาความรู้ และสอน และก็อ่านอัลกุรอาน ถูกนำตัวมา และแจ้งให้รู้ถึงเนี๊ยมะฮฺที่เขาได้รับ แล้วเขาก็รับรู้ และกล่าวว่า : ข้าพระองค์ศึกษาหาวิชาความรู้ และอ่านอัลกุรอานเพื่อพระองค์ อัลลอฮฺตรัสว่า : เจ้าโกหก ที่เจ้าศึกษาหาวิชาความรู้ก้เพียงให้ผู้คนพูดถึงเจ้าว่า เจ้าเป็นผู้รู้ (อาลิม) และเจ้าอ่านอัลกุรอานก็เพื่อให้คนพูดว่า เป็นนักอ่าน(กอรีย์) ดังนั้น จึงมีบัญชาให้กระชากลากใบหน้าเขาโยนเข้าไปในไฟนรก

ชายอีกคนหนึ่ง อัลลอฮฺประทานความกว้างขวางให้เขาได้มีทรัพย์สินมากมาย เขาถูกนำตัวมา และถูกถามถึงเนี๊ยะอฺมะฮฺที่เขาได้รับ แล้วเขาก็รับนิเนี๊ยะอฺมะฮฺดังกล่าว อัลลอฮฺตรัสว่าถามว่า ; เจ้าทำอะไรกับเนี๊ยะอฺมะฮฺดังกล่าว เขาตอบว่า : ข้าพระองค์มิได้ละทิ้งสิ่งใดในหนทางที่พระองค์ทรงชอบเลย นั่นคือ การบริจาคเพื่อพระองค์ อัลลอฮฺตรัสว่า : เจ้าโกหก ที่เจ้าทำไปก็เพื่อให้ผู้คนพูดว่า เขาเป็นคนใจบุญ ว่าแล้วจึงมีบัญชาให้กระชากลากใบหน้าของเขา แล้วโยนลงสู่ไฟนรก” 
(บันทึกหะดิษโดยอิมามมุสลิม)

ดังนั้น ให้เราเกรงกลัวอัลลอฮฺ จงทำงานของเราด้วยใจบริสุทธิ์ เพื่ออัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา เพียงองค์เดียว ห่างไกลการโอ้อวด มีเป้าหมาย และเจตนาที่ดี ที่ทำให้ได้อยู่ภายใต้ร่มเงาของอัลลอฮฺ ในวันกิยามะฮฺ ซึ่งไม่มีร่มเงาใดๆ นอกจากร่มเงาของพระองค์เท่านั้น


والله أعلم بالصواب

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น