สำหรับมัสยิดนั้น มีลักษณะที่ใช้เป็นสถานที่ทำอิบาดะฮฺต่อพระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา เพียงพระองค์เดียว ใช้ทำละหมาดวันละ 5 เวลา อ่านอัลกุรอาน เป็นสถานที่ๆทำให้หัวใจของมนุษย์ผูกพันอยู่กับอัลลอฮฺ ทุกก้าวย้างของการเดินของผู้ที่จะมาสู่มัสยิด จะทำให้เขาได้รับการยกฐานะขึ้นชั้นหนึ่งและความผิดของเขาก็จะถูกลบล้าง
ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า
“มัสยิดนั้นเป็นบ้านของบรรดาผู้ยำเกรง(ตั๊กวา) ทุกคน” (บันทึกหะดิษโดยอัฏฏ็อบนนอนีย์)
อันมัสยิดสถานที่อันประเสริฐเช่นนี้ ผู้ที่จะสร้าง บูรณะจนการดูแลรักษา และกระทำละหมาดในมัสยิดนั้น จะต้องมีคุณสมบัติ ต่อไปนี้
-เขาผู้นั้นมีความศรัทธาในอัลลอฮฺอย่างแท้จริง
-เขาผู้นั้นมีความเชื่อมั่นในการพบอัลลอฮฺในโลกอาคิเราะฮฺ
-เขาผู้นั้นมีการดำรงละหมาดที่เป็นฟัรฎู
-เขาผู้นั้นมีความยำเกรงในอัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา
พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
مَا كَانَ لِلْمُشْرِكِينَ أَن يَعْمُرُوا مَسَاجِدَ اللَّهِ شَاهِدِينَ عَلَىٰ أَنفُسِهِم بِالْكُفْرِ أُولَٰئِكَ حَبِطَتْ أَعْمَالُهُمْ وَفِي النَّارِ هُمْ خَالِدُونَ ( 17 )
“ไม่บังควรแก่มุชริกทั้งหลายที่จะบูรณะ บรรดามัศยิดของอัลลอฮ์ ในฐานะที่พวกเขายืนยันแก่ตัวของพวกเขาเองแล้ว ซึ่งการปฏิเสธศรัทธา ชนเหล่านี้แหละบรรดาการงานของพวกเขาไร้ผล และในนรกนั้นพวกเขาจะอยู่ตลอดกาล”
إِنَّمَا يَعْمُرُ مَسَاجِدَ اللَّهِ مَنْ آمَنَ بِاللَّهِ وَالْيَوْمِ الْآخِرِ وَأَقَامَ الصَّلَاةَ وَآتَى الزَّكَاةَ وَلَمْ يَخْشَ إِلَّا اللَّهَ فَعَسَىٰ أُولَٰئِكَ أَن يَكُونُوا مِنَ الْمُهْتَدِينَ ( 18 )
“แท้จริงที่จะบูรณะบรรดามัศยิดของอัลลอฮ์นั้นคือผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลก และได้ดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และชำระซะกาต และเขามิได้ยำเกรงนอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น ดังนั้นจึงหวังได้ว่า ชนเหล่านี้แหละจะเป็นผู้อยู่ในหมู่ผู้รับคำแนะนำ
أَجَعَلْتُمْ سِقَايَةَ الْحَاجِّ وَعِمَارَةَ الْمَسْجِدِ الْحَرَامِ كَمَنْ آمَنَ بِاللَّهِ وَالْيَوْمِ الْآخِرِ وَجَاهَدَ فِي سَبِيلِ اللَّهِ لَا يَسْتَوُونَ عِندَ اللَّهِ وَاللَّهُ لَا يَهْدِي الْقَوْمَ الظَّالِمِينَ ( 19 )
“พวกเจ้าได้ถือเอาการให้น้ำดื่ม แก่ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ และการบูรณะมัศยิดอัล-ฮะรอม ดั่งผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลก และต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์กระนั้นหรือ ? เขาเหล่านั้นย่อมไม่เท่าเทียมกัน ณ ที่อัลลอฮ์ และอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่เป็นผู้อธรรม
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ 9 อายะที่ 17-19)
ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า
“ถ้าหากพวกท่านทั้งหลายเห็นผู้มามัสยิดเป็นประจำ ย่อมแสดงว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้มีอีมาน อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า “แท้จริงผู้ที่จะบูรณะบรรดามัสยิดของอัลลอฮฺนั้น คือผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก และดำรงไว้ซึ่งการละหมาด” (บันทึกหะดิษโดยอัตติรมีซีย์)
จากหลักฐานข้างต้น จะเห็นได้ว่าผู้ที่จะมาสร้างมัสยิดนั้น คือ ผู้ที่มีความศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ศรัทธาต่อวันอาคีเราะฮฺ ดำรงไว้ซึ่งการละหมาด จ่ายซากาต และไม่เกลงกลัวใครนอกจากพระองค์อัลลอฮฺองเดียวเท่านั้น
ส่วนผู้ปฏิเสธ(กาเฟร) อัลกุรอานได้แจ้งไว้ชัดเจนแล้วว่า ไม่เป็นการสมควรที่พวกเขาเหล่านั้นจะมาสร้างมัสยิด เพราะพวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา และตั้งภาคีให้กับอัลลอฮฺ (ชิรกฺ) อัลกุรอานยังแจ้งให้ทราบอีกว่า การงานและคุณงามความดีต่างๆ ที่เขากระทำนั้นไร้ผล และขณะเดียวกันนั้นเขาก็จะอยู่ในนรกตลอดกาล เพราะว่าเขาไม่ได้กระทำเพื่ออัลลอฮฺ
และถึงแม้ผู้จะสร้างมัสยิดเป็นมุสลิมเอง ถ้าหากไม่มีความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮฺ การงานของเขาก็ไร้ผล เว้นแต่มุสลิมผู้นั้นจะทำด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮฺจริงๆ
รายงานจากท่านอุสมาน บิน อัฟฟาน ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ฉันได้ยินท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า
“ผู้ใดสร้างมัสยิดหลังหนึ่งเพื่ออัลลอฮฺแล้ว อัลลอฮฺก็จะสร้างให้แก่เขาเยี่ยงมัสยิดนั้นในสวรรค์” (บันทึกหะดิษโดยอิมามบุคอรีย์ และมุสลิม)
และทรัพย์สินที่จะสร้างมัสยิด หรือบูรณะมัสยิดนั้น ก็ต้องเป็นทรัพย์ที่ได้มาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ หากนำทรัพย์สินที่ได้มาด้วยการลักขโมย ยักยอกเขามา หรือนำทรัพย์สินที่ไม่บริสุทธิ์มาช่วยสร้างมัสยิดสักร้อยหลัง หรือช่วยซ่อมแซม จะด้วยเจตนาดีสักเพียงใดก็ตาม อัลลอฮฺก็จะไม่ทรงรับกางานของเขา
ผู้ปฏิเสธศรัทธา(กาฟิรฺ) ที่เขาช่วยสร้างมัสยิดนั้น เขาไม่ได้คิดสร้างมัสยิดเพื่ออัลลอฮฺ เขาไม่เคยคิดจะมีบ้านหลังหนึ่งในสวนสวรรค์เลย เขากลับหัวเราะเยาะเย้ยเสียด้วยซ้ำเมื่อเรากล่าวว่ามีอัลลอฮฺ
บรรดาศอหะบะฮฺเคยขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮฺ อย่าให้เป็นหนี้บุญคุณคนชั่ว ดังคำกล่าวที่ว่า
“ข้าแต่อัลลอฮฺ โปรดอย่าให้ผู้กระทำชั่วมีบุญคุณแก่เราเลย”
การที่ไม่ยอมให้มุชริก(ผู้ตั้งภาคี) ช่วยมุสลิมสร้างมัสยิดนั้น ก็เพื่อมิให้เป็นหนี้บุญคุณพวกเขานั้น เพราะเมื่อเวลาพวกเขาสร้างวัด โบสถ์หรือวิหาร ฯลฯ พวกเขาก็จะเอาเป็นข้ออ้างให้มุสลิมไปช่วยบ้าง ดังนั้นเพื่อตัดปัญหา เลยห้ามไม่ให้ช่วย
อัลกุรอานจึงเน้นหนักว่ามุอฺมินเท่านั้นสมควรที่จะเป็นผู้สร้างมัสยิด ไม่ใช่ไปอาสัยขอให้ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมช่วยสร้าง ไม่ว่าคนกาฟิรคนใดจะเอาเงินมาช่วยสร้าง มาช่วยซ่อมแซมมัสยิดของอัลลอฮฺมากมายเพียงใดก็ตาม ก็ให้กล่าวปฏิเสธ และหากมีการเรี่ยไรให้สร้างวัด โบสถ์ วิหาร หรืออื่นๆเกี่ยวกับศาสนาของเขา เราก็ต้องปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเช่นกัน เพราะบัญญัติศาสนาไม่เปิดช่องว่างไว้ให้เลย
ส่วนมัสยิดที่สร้างขึ้นโดยรัฐบาลที่เป็นกาฟิร นั้น ใช้ได้ เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องทำนุบำรุงและให้ความดูแลความสะดวกแก่ประชาชน และประชาชนก็มีหน้าที่จ่ายภาษีให้รัฐอยู่แล้ว ทั้งทางตรงและทางอ้อม ฉะนั้นเงินก้อนนี้ประชาชนจึงมีสิทธิที่จะได้รับคืนจากรัฐบาล แต่ในกรณีที่รัฐไม่ให้ก็ไม่ต้องไปขอ
ส่วนช่างก่อสร้างหรือคนงานที่ไม่ใช่มุสลิม ที่ทำงานก่อสร้างอาคารมัสยิดนั้น ไม่ถือเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะถือเป็นการจ่ายค่าจ้าง ซึ่งเขามีสิทธิ์ที่จะได้รับเป็นค่าตอบแทนจากแรงงานของเขา
และถึงแม้ว่ามัสยิดจะถูกสร้างขึ้นด้วยเงินที่หะรอมก็ตาม ก็เป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนจะต้องไปละหมาดฟัรฎูทั้ง 5 เวลา ณ มัสยิด อย่าได้ถือว่าเงินที่นำมาสร้างมัสยิดเป็นเงินของคนกาฟิร เป็นเงินที่ได้มาจากสิ่งหะรอม เพื่อมาเป็นข้ออ้างในการที่จะไม่ไปละหมาดญะมาอะฮฺที่มัสยิด
والله أعلم بالصواب
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น