อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อิสลามห้ามใช้เครื่องรางของขลังรักษาอาการป่วย



                อิสลามนั้นห้ามผู้ป่วยกระทำการรักษาอาการป่วยด้วยสิ่งของประเภทตะกรุด เครื่องรางของขลัง และอะซีมัตที่ผูกตามคอ ข้อมือ หรือเอว เพราะสิ่งเหล่านี้ ถือเป็นการทำชีริก และเป็นบาปในทัศนะของอิสลาม

รายงานจากท่านอุกบะฮฺ บินอามิร ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยอฺ วะซัลลัม กล่าวว่า
“บุคคลใดแขวนเครื่องราง ขออัลลอฮฺจงอย่าให้เขาแคล้วคลาด และใครแขวนเปลือกหอย (เป็นเครื่องราง) ขออัลลอฮฺจงอย่าให้เขาสงบสุข” (บันทึกหะดิษโดยอิมามอะหฺมัด และอัลฮากิม โดยกล่าวว่า สายสืบศอเฮียะฮฺ)

ตะมีมะฮฺ (เครื่องราง) หมายถึง ลูกประคำที่ชาวอาหรับแขวนให้กับเด็กๆเพื่อป้องกันอันตรายจากดวงวิญญาณปีศาจ ตามความเชื่อของพวกเขา ต่อมาอิสลามได้ทำลาย และห้ามใช้มัน ท่านรสูลได้สาปแช่งผู้แขวนเครื่องรางไม่ให้เขาแคล้วคลาดจากอันตรายต่างๆตามที่เขาตั้งใจ

ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยอฺ วะซัลลัม กล่าวว่า
"ผู้ใดแขวนเครื่องรางของขลัง/อะซีมัต(ตามร่างกายของตัวเอง ลูกๆ หรือในบ้าน) แท้จริงเขาได้ทำชิริกกับอัลลอฮฺแล้ว" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอะหฺมัด หะดิษเลขที่ 17422)

รายงานจากอิมรอน บิน ฮุศ็อย ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า
" ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยอฺ วะซัลลัม ได้เห็นห่วงวงกลม โผล่ออกมาที่กล้ามแขนของชายคนหนึ่ง เขาบอกว่าทำมาจากทองคำท่านรสูลกล่าวว่า 
“โออนิจจา อะไรกันนี่?!!!  
เขาตอบว่า “เพราะโรคเพลีย” 
ท่านจึงตอบกลับไปว่า “พึงทราบเถิดนะว่า มันไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากการเพลียอยู่เช่นนั้น โยนมันทิ้งไปเสีย เพราะหากเจ้าตายในสภาพนี้ เจ้าจะไม่ได้รับความสำเร็จตลอดกาล” (บนันทึกหะดิษโดยอิมามอะหฺมัด)

โรคเพลีย เป็นอาการที่เกิดจากเส้นเลือดที่มีปฏิกิริยาที่ไหล่ แขน 

รายงานจากท่านอีซา บิน ฮัมซะฮฺ เล่าว่า
“ข้าพเจ้าได้เขามาที่อับดุลลอฮฺ บินฮะกีม ซึ่งเป็นโรคลามทุ่ง ข้าพเจ้าถามว่า “ทำไมไม่แขวนเครื่องราง”เขาตอบว่า “ด้วยอัลลอฮฺ เราขอป้องกันจากมัน” เพราะท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยอฺ วะซัลลัม ได้กล่าวไว้ว่า“ใครแขวนสิ่งใด เขาย่อมถูกมอบหมายไว้กับสิ่งนั้น” (บันทึกหะดิษโดยอบูดาวูด)

รายงานจากท่านอิบนุ มัสอูด เล่าว่า "
ขาเข้ามาหาภรรยาของเขา และคอของนางมีตะกรุดแขวนอยู่  เขาจึงกระชากมันจนมันขาด และอุทานออกมาว่า 
“แท้จริงวงวานศ์ของอับดุลลอฮฺนั้น ไม่ต้องการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺกับสิ่งที่พระองค์มิได้ทรงประทานหลักฐานมา”และเขากล่าวอีกว่า 
“ฉันเคยได้ยิน  ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: อันเวทมนต์คาถา เครื่องรางของขลัง และติวะละฮฺเป็นชีริก”พวกเขา(เหล่าสาวก) ถามว่า 
“โอ้ท่านอบูอับดุลลอฮฺ (นามแฝงของอิบนุ มัสอูด) เครื่องรางและคาถานั้นพวกเรารู้แล้ว แต่ติวะละฮฺนั้นละคืออะไร?” 
ท่านตอบว่า“เสน่ห์(ยาแฝด) สิ่งที่พวกผู้หญิงทำขึ้นเพื่อให้สามีหลงรัก” (บันทึกหะดิษโดยอัลฮากิม และอิบนิฮิบบาน โดยทั้งสองว่าเป็นหะดิษเศาะเฮียะฮฺ)


ส่วนการแขวนอายะฮฺอัลกุรอาน นั้นส่วนมากของฝ่ายชาฟีอีย์ และบันทึกหนึ่งจากอะหฺมัดก็ให้แขวนได้ ส่วนอิบนิอับบาส อิบนิมัสอูด หุซัยฟะฮฺ และสายชาฟีอีส่วนหนึ่ง รวมถึงบันทึกหนึ่งจากอะหฺมัด ถือว่าไม่อนุญาตแขวนอันใดจากที่กล่าวมา เพราะในหะดิษที่กล่าวมานั้น ได้แสดงการห้ามทั่วไปทั้งหมดไม่มีข้อยกเว้นไว้แต่อย่างใด


และเราต้องแยกมันให้ออก ระหว่างสิ่งที่อัลลอฮฺได้ให้สรรพคุณที่เป็นยาในตัวของมันเอง สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ กับสิ่งที่เกิดจากความเชื่อ โดยไม่สามารถพิสูจน์มันได้ทางวิทยาศาตร์

เช่น ยาพารา มนุษย์ได้ผสมส่วนประกอบของสารต่างๆที่อัลลอฮ์ได้ให้สรรพคุณของมันมา และสามารถรักษาอาการป่วยไข้ได้ หรือต้นตะไคร้ ที่อัลลอฮฺให้สรรพคุณมันสามารถไล่ยุงได้ เป็นต้น เราเชื่อว่ามันสามารถช่วยรักษาอาการป่วย และมันก็เป็นเช่นนั้น เพราะอัลลอฮฺได้ให้สรรพคุณมันแล้ว แต่หากพระองค์อัลลอฮฺไม่ประสงค์ให้หายแม้ยาจะตรงกับอาการป่วยก็ตาม นั้นก็เป็นสิทธิของพระองค์

 สำหรับสิ่งที่อัลลอฮฺไม่ได้ให้มันมีสรรพคุณเป็นยาโดยธรรมชาติ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ได้ อย่างนี้โปรดระวัง เพราะมันจะนำไปสู่การทำชีริก บางสิ่งอัลลอฮ์ได้ให้มันปรากฏขึ้นเพื่อเป็นการทดสอบความอิมานของเรา ว่าเราหลงคล้อยตามสิ่งนั้นหรือไม่

เช่น เราเห็นท่อนไม้ท่อนหนึ่งมีลักษณะกำลังก้มสุญูด เราก็นำมันมาลูบ เพื่อเอาความศิริมงคลหรือความบารอกัตกับไม้ท่อนนี้ โดยนึกคิดไปเองว่ามันจะทำให้เราหายป่วย และอ้างว่าถ้าเราลูบมันอัลลอฮฺจะทำให้หายป่วย

หรือนำเอาสูเราะฮฺยาซีนไว้ในกระเป๋าเสื้อ เมื่อขับรถเกิดไปอุบัติเหตุ แต่เขากลับไม่เป็นอะไร แล้วเชื่อว่าที่เป็นอย่างนี้เพราะเขามีสูเราะฮฺยาซีนติดตัว อัลลอฮฺจึงช่วยเขาไว้

 หรือมีเหล็กไหลติดตัว ไม่สามารถยิงเข้าไปในตัวเขาได้ แล้วเชื่อว่าเพราะอัลลอฮฺทำให้เหล็กไหลนี้ยิงไม่เข้า

หรือหมอไม้เท้าบอกว่า ไม้เท้านี้ช่วยรักษาอาการเจ็บป่วย โดยอัลลอฮฺให้มันรักษาคนได้

 หรือแขวนองค์จตุคาม แล้วเชื่ออัลลอฮฺทำให้มันป้องกันผี ช่วยรักษาอาการป่วยได้

อย่างนี่แหละ ที่นำไปสู่การทำชีริก อย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้บางครั้ง มันอาจมีสรรพคุณ หรือเป็นไปตามที่เขาเชื่อก็ตาม มันเป็นการยัดเยียดให้อัลลอฮฺ เพื่อให้ตรงกับความเชื่อของตัวเอง ทั้งที่ไม่มีหลักฐาน หรือพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้เลย

เว้นแต่สิ่งนั้นได้มีหลักฐานอันชัดแจ้ง เช่น น้ำซัมซัม

ท่านนบี ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า
"แท้จริงน้ำซัมซัมเป็นน้ำที่บารอกะฮฺ เป็นอาหารที่อิม" (บันทึกหะดิษโดยมุสลิม)

والله أعلم بالصواب


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น