อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

มนุษย์ต้องจำนน


"ซูเราะฮฺ อัล-บากอเราะฮฺ อายะฮฺที่ 30 ***


30. จงรำลึกถึงเวลา (1) ที่พระผู้อภิบาลของเจ้าได้กล่าวกับมลาอิกะฮฺ (2) ว่า "ฉันจะแต่งตั้งตัวแทน (3) คนหนึ่งขึ้นบนหน้าแผ่นดิน" บรรดามลาอิกะฮฺ พูดว่า "พระองค์จะทรงตั้งผู้ที่จะก่อการเสียหายและหลั่งเลือดกันในแผ่นดินกระนั้นหรือ ? (4) ทั้ง ๆ ที่เรากล่าวสดุดีด้วยการแซ่ซ้องสรรเสริญพระองค์ (และปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์) และเทิดทูนความบริสุทธิ์ของพระองค์ (5) พระองค์ได้ทรงตอบว่า "แท้จริง ฉัรู้ในสิ่งที่สูเจ้าไม่รู้ื (6)
..........................................
(1) ในอายะฮฺก่อนหน้านี้ มนุษย์ได้ถูกขอให้ยอมจำนนต่ออัลลอฮฺเพราะว่าพระองค์เป็นผู้ทรงให้การเลี่้ยงดูและทรงมีอำนาจเหนือชีวิตและความตาย และเพราะพระองค์ทรงเป็นนายและเป็นผู้ปกครองจักรวาลที่มนุษย์อาศัยอยู่ ในอายะฮฺเหล่านี้ มนุษย์ได้ถูกแนะนำให้ยอมจำนนต่อพระองค์ เพราะเขาเป็นตัวแทนของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน ดังนั้น เขาจึงถูกได้เตือนให้ยอมจำนนต่อพระองค์และปฏิบัติตามทางนำของพระองค์ และจะต้องไม่ถูกล่อลวงให้หลงทางโดยมารร้ายที่เป็นศัตรูที่ถาวรของเขาและมักจะคอยจ้องหลอกลวงเขาอยู่เสมอ ถ้าหากเขาหลงไปตามคำล่อลวงของมารร้าย เขาก็จะมีความผิดในฐานดื้อดึงตอ่อัลลอฮฺและจะต้องพบกับผลที่จะติดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในโอกาสเดียวกันนี้ กุรอานก็ได้ให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์มนุษยชาติ นั่นคือการสร้างมนุษยชาติซึ่งไม่อาจจะค้นคว้าหาจากที่ไหนได้ไว้ด้วย แน่นอนโดยมิต้องสงสัยเลยว่าความรู้ที่เชือ่ถือได้ที่สุดนี้มีความสำคัญยิ่งกว่าสิ่งที่เรียกว่า "ความรู้" ซึ่งอาศัยการเดาเอาจากกระดูกที่ขุดมาจากใต้พื้นดิน เหนืออื่นใดความรู้นี้ยกสถานภาพของมนุษยชาติจากสัตว์ชั้นต่ำที่ต้องอาศัยการวิวัฒนาการให้สูงขึ้น เป็นสิ่งที่ถูกสร้างที่ประเสริฐที่สุดของอัลลอฮฺ เป็นตัวแทนของพระองค์บนหน้าแผ่นดินที่มลาอิกาะฮฺและทุกสิ่งยังถูกสั่งให้คำนับ
(2) "มลัก" โดยทางภาษาแล้ว หมายถึงผู้นำสาส์นของอัลลอฮฺโดยเฉพาะ พหูพจน์ของคำนี้คือ "มลาอิกะฮฺ" มลาอิกะฮฺมิใช่เป็นเพียงจำนวนที่มองไม่เห็นเท่านั้น หากแต่ยังมีคุณสมบัติเฉพาะตนอีกด้วยหากจะกล่าวไปแล้ว มลักก็คือตัวแทนของอัลลอฮฺซึ่งพระองค์ใช้บริหารอาณาจักรของพระองค์ จากคัมภีร์กุรอาน เป็นที่กระจต่างชัดว่าทั้งพวกวัตถุนิยมที่สงสัยถึงการมีอยู่ของมลาอิกะฮฺ และพวกคนโง่ที่ตั้งมลาอิกะฮฺเป้นพระเจ้า หรือเคารพสักการะว่ามลาอิกะฮฺเป็นญาติของอัลลอฮฺนั้นล้วนแต่ผิดเหมือนกันหมด
(3) "เคาลิฟะฮฺ" ซึ่งมีความหมายว่า "ตัวแทน" นั้นคือผู้ที่ใช้อำนาจที่ได้รับมอบหมายมาแทนผู้ที่มีอำนาจสูงสุด ดังนั้น มนุษย์จึงมิใช่นาย แต่เขาเป็นเพียงตัวแทนของพระองค์และตัวเขาเองไม่มีอำนาจใด ๆ นอกจากที่นายที่แท้จริงของเขาได้มอบให้ ดังนั้น เขาจึงไม่มีสิทธิทางศีลธรรมที่จะทำตามความต้องการของตนเอง แต่หน้าที่ของเขาก็คือการทำให้เจตนารมณ์ของผู้ที่มีอำนาจครบถ้วนสมบูรณ์ ถ้าหากเขาคิดจะตั้งตนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดและยอมจำนนตอ่เจตนาคมณ์ของคนผู้นั้น ก็เท่ากับว่าเขาไม่ซ์่อตรงและเป็นกบฏ
(4) คำถามนี้มิได้ถูกยกขึ้นมาเพื่อที่จะคัดค้าน แต่ถูกยกขึ้นมาเป็นการขอร้องที่อยากจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราว มลาอิกะฮฺนั้นไม่กล้าที่จะคัดค้านแผ่นการใด ๆ ของอัลลอฮฺอยู่แล้ว จากคำว่า "เคาะลิฟะฮฺ" บรรดามลาอิกะฮฺได้เข้าใจว่าผู้ที่จะถูกสร้างขึ้นมานั้นกำลังจะได้รับมอบหมายอำนาจบางอย่าง แต่มลาอิกะฮฺไม่เข้าใจว่าสิ่งถูกสร้างที่เป็นอิสระจะเข้ากับระบบของจักรวาลที่อยู่ใต้อำนาจเบ็ดเสร็จของผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวได้อย่างไร นอกจากนั้นแล้ว บรรดามลาอิกะฮฺก็ยังไม่เข้าใจอีกด้วยว่าจักรวาลในส่วนที่มีใครบางคนถูกมอบหมายความเป็นอิสระให้นั้นจะรอดพ้นจากความปั่นป่วนวุ่นวายได้อย่างไร )
(5) ในการกล่าวหาเช่นนี้ บรรดามลาอิกะฮฺไม่ได้หมายความว่า พวกตนควรที่จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนเพราะพวกจนเหมาะสมที่จะได้รับแต่งตั้ง บรรดามลาอิกะฮฺเพียงแต่ต้องการจะพูดว่า "เราปฏิับัติตามคำสั่งของพระองค์ด้วยความเชื่อฟัง และพวกเรายังรักษาจักรวาลทั้งหมดไว้ให้สะอาดและเป็นระเบียบ อีทั้งยังแซ่ซ้่องสดุดีพระองค์อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เราจึงไม่อาจจะเข้าใจว่ามีความจำเป้นอะไรที่จะต้องมีตัวแทนขึ้นมา"
ภาษาอาหรับคำว่า "ตัสบีฮฺ" มีสองความหมายด้วยกัน นั่นคือ "การเฉลิมฉลองเพื่อเป็นเกียรติ" และ "การทำงานอย่างกระตือรือร้นและทำอย่างถึงที่สุด" ในทำนองเดียวกัน คำว่า "ตักดิส" ก็หมายความทั้ง "การเฉลิมฉลองเพี่อให้เกียรติและทำให้เป็นที่บริสุทธิ์"
(6) นี่เป็นคำตอบต่อข้อสงสัยประการที่สองของบรรดามลาอิกะฮฺ : "พวกเจ้าไม่เข้าใจถึงเหตุผลการแต่งตั้งตัวแทน ในทัศนะของฉันแล้ว การรับใฃ้ของพวกเจ้านั้นยังไม่เป็นการเพียงพอสำหรับวัตถุประสงค์ของฉัน ฉันต้องการบางสิ่งที่มากไปกว่าการรับใช้ที่พวกเจ้าเอ่ยถึงนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมฉันจึงจะสร้างสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งขึ้นบนโลกและมอบหมายอำนาจบางอย่างให้แก่เขา"
............................................
(จากหนังสือ : ตัฟฮีมุลกุรอาน ความหมาย คัมภีร์ อัล-กุรอาน เล่ม 1 / อรรถาธิบายโดย เมาลานา ชัยยิด อบุล อะลา เมาดูดี / แปลโดย บรรจง บินกาซัน)

อดทน เพื่อชัยชนะ โพส





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น