อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

๛จากลัทธิเต๋าสู่อิสลาม๛



ฉวา กิม ซาน ชาวสิงคโปร์เชื้อสายจีน

พ่อแม่ผมนับถือลัทธิเต๋าครับ ผมจึงได้รับการเลี้ยงดูให้นับถือลัทธินี้มาตั้งแต่เกิด ช่วงวัยเด็กผมมีศรัทธา และยอมรับปฏิบัติตาม แม้ว่าผมจะไม่ค่อยรู้อะไรเลย จนย่างเข้าสู่วัยรุ่น ผมจึงรู้ว่าลัทธิเต๋าเป็นศาสนาที่บรรพบุรุษแต่เก่าก่อนเคารพสักการะกัน พ่อแม่ผม รวมทั้งคนอื่น ๆ ที่นับถือลัทธินี้ ต่างก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไป อีกทั้งยังไม่เคยถูกกวนใจถามถึงประวัติความเป็นมา

ผมเองก็ไม่เคยได้รับการอบรมให้รู้ถึงประวัติความเป็นมา ตลอดจนหลักธรรมของลัทธิ ผมก็เป็นเช่นเดียวกับชาวลัทธิเต๋าคนอื่น ๆ ผมยอมรับในสิ่งที่ถูกยื่นมาให้โดยมิได้อึดอัดใจ

เมื่อผมอายุเก้าปี ครูที่โรงเรียนบอกผมและเพื่อน ๆ บางคนว่า เราควรจะต้องเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียน หากเราไม่เป็นคริสเตียนเราจะต้องตายโดยถูกลงโทษ ผมกลัวคำขู่นี้มาก ด้วยเหตุนี้ผมจึงกลายเป็นคนสองศาสนา คือนับถือลัทธิเต๋า (เพราะครอบครัว) และนับถือศาสนาคริสต์ (เพราะคำขู่)

เมื่อผมอายุมากขึ้น ผมไม่อาจตัดสินใจได้ว่าผมควรปฏิบัติตามศาสนาไหน ช่วงที่ผมยังเรียนอยู่ชั้น ม.3 และ ม.4 ในโรงเรียนมัธยม ผมเลือกเรียนพุทธศาสนาในหมวดวิชาศาสนศึกษา เพราะเป็นที่รู้กันว่าเป็นวิชาที่สอบผ่านง่าย ผมได้รับแรงบันดาลใจจากหลักธรรมของพุทธศาสนาเพราะเป็นคำสอนที่มีเหตุผล และปฏิบัติได้จริง แนวความคิดเรื่องความมีเมตตาในพุทธศาสนาตั้งอยู่บนรากฐานของหลักเกณฑ์ที่ดี และการปฏิบัติที่ดี แต่ทว่าพุทธศาสนายังขาดคำสอนในเรื่องการมีอยู่จริงของผู้มีอำนาจสูงสุด – คือพระผู้เป็นเจ้า

เมื่อผมเข้าเรียนในโรงเรียนเซนต์แอนดรูว์จูเนียร์คอลเลจ ซึ่งเป็นโรงเรียนในความอุปถัมภ์ของมิชชันนารี ทางโรงเรียนบังคับนักเรียนทุกคน (ยกเว้นมุสลิม) ให้เข้าร่วมในพิธีสวดประจำสัปดาห์ ระหว่างพิธีเราร้องเพลงสรรเสริญ และสดับฟังคำเทศนา ตอนท้ายพิธีในบางสัปดาห์จะมีคนคอยถามว่ามีใครในหมู่พวกเราอยากเป็นคริสเตียนบ้าง

ผมประทับใจบาดหลวงคนหนึ่งเป็นพิเศษ ผมมองว่าท่านเป็นคน “มีความสามารถ” ผมรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษเมื่อท่านพูดถึงคำพยากรณ์ในใบเบิ้ลเก่าที่เป็นจริงสมบูรณ์ในใบเบิ้ลใหม่ ความสนใจของผมมีมากขึ้นเมื่อท่านพูดถึงวันสิ้นโลก

นอกจากนี้ท่านยังเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ต่าง ๆ ที่คริสเตียนบางคนเคยประสบ ตัวอย่างหนึ่งก็คือ มีคริสเตียนคนหนึ่งได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่าตาย ในการ ”ตาย” ของเธอนั้นเธอต้องประสบความยุ่งยากอย่างแสนสาหัส เธอถูกฉุดกระชากขาลงไปในนรก ต่อมาเธอได้รับการปล่อยออกมาและฟื้นขึ้นอึก เธอยืนยันว่าพระเจ้ามีจริง รวมทั้งชีวิตหลังความตายและนรกก็มีจริง ดังที่มีบอกไว้ในใบเบิ้ล นั่นคือเหตุผลในตอนแรกที่ผมเอนเอียงเข้าหานิกายโปรแตสแตนท์แบบแองกลิกัน ตอนนั้นผมอายุ 17 ปี แต่อย่างไรก็ตามผมไม่อาจยึดมั่นในนิกายเดียวได้ตลอดไป ผมเปลี่ยนจากคริสตจักรหนึ่งไปอีกคริสตจักรหนึ่ง ผมยังคงแสวงหาความสุขทางใจ และยังไม่อาจตัดสินใจได้ว่าคริสตจักรไหนที่ผมควรเข้าไปร่วมด้วย

เมื่อผมอยู่ในช่วงปีสุดท้ายของการรับราชการทหารในกองทัพ ผมรู้จักเพื่อนคนหนึ่งเขาพาผมไปโบสถ์ที่เขาสังกัดอยู่ ชื่อโบสถ์เซนต์จอห์นเซนต์มากาเร็ต ในที่สุดผมก็รู้สึกอบอุ่นที่โบสถ์แห่งนี้

ผมจริงจังกับกิจกรรมของโบสถ์ ผมเป็นหัวหน้างานบริการถึงสองอย่าง อย่างหนึ่งคือหน้าที่ที่ต้องเกี่ยวกับเด็ก ๆ อีกหน้าที่หนึ่งคือให้บริการด้านกีฬา

ผมรับผิดชอบโครงการสอนพิเศษให้แก่เด็ก ๆ ทางโบสถ์จัดให้มีการสอนพิเศษแก่เด็ก ๆ ขณะเดียวกันก็ค่อย ๆ เผยแพร่เนื้อหาของคริสตศาสนาอย่างแยบยล เด็กที่เรียนพิเศษเป็นเด็กระดับประถมหนึ่งขึ้นไป

ผมได้รับมอบหมายให้ดูแลเอาใจใส่นักเรียนสองคนเป็นพิเศษ ก่อนเริ่มสอนพิเศษจะมีการร่วมสวดรำลึก เราจะร่วมร้องเพลงสรรเสริญและรับฟังเรื่องราวต่าง ๆ ผมจะเล่าเรื่องราวจากใบเบิ้ลให้เด็ก ๆ ฟัง

นอกจากนี้ผมยังขะมักเขม้นให้บริการด้านกีฬา เราทำงานเผยแพร่ศาสนาโดยชักจูงผู้คนให้มาร่วมเล่นกีฬา ผมรับหน้าที่ด้านทีมบาสเก็ตบอล ทุกๆ สัปดาห์เราจะเช่าคอร์ทและเล่นเกมส์การละเล่นกัน

เราชักชวนบุคคลภายนอกให้มาเข้าร่วมกิจกรรม และชักนำพวกเขามาสู่คริสตศาสนา เราเน้นจิตสำนึกในการดูแลเอาใจใส่และเป็นห่วงเป็นใย และแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ระหว่างและภายหลังการฝึกซ้อม เราพยายามปลูกฝังความเชื่อในคริสตศาสนาแก่เยาวชนเหล่านั้น ส่วนใหญ่พวกเขาเป็นวัยรุ่นและคนหนุ่มสาว

การให้บริการด้านกีฬาเป็นแนวความคิดให้ผลดี ไม่เฉพาะในสิงคโปร์เท่านั้น แต่ในประเทศอื่น ๆ ก็ได้ผลดีเช่นกัน คริสตจักรของผมนับเป็นแห่งแรกในสิงคโปร์ที่เสนอความคิดในเรื่องการดูแลเอาใจใส่และเป็นห่วงเป็นใย

ระหว่างที่ผมยังเอาการเอางานกับกิจกรรมของโบสถ์ ผมก็ได้รู้จักสตรีมุสลิมคนหนึ่ง ผมพยายามพูดคุยกับเธอเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ เธอดูมั่นใจในความถูกต้องแท้จริงของศาสนาที่เธอนับถืออยู่ แต่เธอไม่รู้ว่าจะอธิบายความจริงนี้ให้ผมฟังได้อย่างไร ไม่มีทางใดเลยที่จะทำให้เธอเชื่อมั่นศรัทธาในคริสตศาสนาได้ ทำให้ผมแปลกใจ เพราะมุสลิมมากมายแม้กระทั่งพวกติดยาเสพติดเป็นพวก “เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าอิสลามเป็นศาสนาที่เที่ยงแท้”

ผมตัดสินใจถามเธอว่าอะไรคือความเป็นจริงเกี่ยวกับศาสนาของเธอ ที่ทำให้ผู้ศรัทธาในศาสนานี้ ไม่มีวันที่จะละทิ้งศาสนาเดิมของเขา เธอเองไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ผมฟังอย่างไรดีแต่แนะให้ผมไปติดต่อที่ ดารุ้ลอัรกอม ซึ่งเป็นสมาคมของผู้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามในสิงคโปร์

ผมตกลงทำตามที่เธอแนะนำ แม้ว่าตอนนั้นผมยังมองอิสลามว่าเป็นศาสนาที่ชอบสร้างความวุ่นวายยุ่งเหยิง และเป็นศาสนาที่ฝืนกับสติปัญญา เหตุผลของผมก็คือ ถ้าศาสนาอิสลามดีจริงคนที่นับถือศาสนาก็ต้องดีด้วย

ผมรู้จักมุสลิมไม่กี่คน แต่คนที่ผมรู้จักเป็นมุสลิมที่แย่ ๆทั้งนั้น ผมรู้จักมุสลิมที่ดีอยู่คนเดียวตอนศึกษาอยู่ในระดับมัธยม แต่เธอก็ไม่เคยถ่ายทอดเนื้อหาของอิสลามให้ผม ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นมีมุสลิมที่พยายามจะเผยแพร่คำสอนของศาสนาอิสลามให้ผมอยู่บ้าง

ครอบครัวของผมไม่ค่อยชอบศาสนาอิสลามนัก เพราะเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ ในตะวันออกกลาง อีกทั้งคนงานชาวมาเลย์ที่คุณพ่อผมจ้างมามักจะขี้เกียจ และประพฤติตัวไม่ดี

เมื่อผมตกลงใจที่จะไปดารุ้ลอัรกอมผมก็มุ่งไปที่นั่นทันที ผมเข้าร่วมชั้นเรียนแนะนำ มีคุณเรมมี่เป็นผู้สอน ผมรู้สึกทึ่งและประทับใจอยู่สองเรื่อง อย่างแรกคือเขาชี้ให้เห็นว่าอิสลามไม่ได้มีรากฐานมากจากอารมณ์ความรู้สึกเหมือนคริสตศาสนา ผมพยายามคิดใคร่ครวญคำพูดดังกล่าวและรู้สึกแปลกใจในปฏิกริยาของผมที่มีต่อถ้อยคำเหล่านั้น

ประการที่สอง ผู้สอนบอกว่า “อย่าเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม จนกว่าคุณจะตั้งคำถามให้มากที่สุด จนไม่มีคำถามจะถามอีกแล้ว นั่นแหละจึงค่อยเปลี่ยนมาเข้ารับอิสลาม” แต่ในศาสนาคริสต์ คุณจะถามมากไม่ได้ เพราะยิ่งถามมากเท่าไหร่คุณก็จะยิ่งสับสนมากขึ้นเท่านั้น

หลังจากเน้นที่สองประเด็นดังกล่าว คุณเรมมี่ผู้สอนก็แนะนำหนังสือ “ISLAM IN FOCUS” ผมรู้สึกตกตะลึงในสิ่งที่ผมอ่านพบในหนังสือ บางเรื่องที่ผมรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผลในคริสตศาสนาและไม่มีทางที่จะให้ข้อสรุปได้ ผมก็พบว่ามีคำตอบอยู่ในหนังสือเล่มนี้ นอกจากนี้ผมยังรู้สึกช็อคที่อ่านพบในหนังสือว่า สิ่งที่ผมเคยมีศรัทธาและชื่นชอบในพุทธศาสนา ก็เป็นหลักศรัทธาในศาสนาอิสลามเช่นเดียวกัน มีความคล้ายคลึงกันหลายอย่างในหลักคำสอนของพุทธศาสนากับอิสลาม

สัปดาห์ต่อมาผมกลับไปที่ดารุ้ลอัรกอมอีก เพื่อไปเข้าขั้นเรียนสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ชั้นเรียนได้สอนเรื่องหลักการอิสลามไปได้ครึ่งทางแล้ว ผมจึงรู้สึกเบื่อและอยู่เรียนอีกหนึ่งหรือสองบทก็หมดเวลา ผมซื้อหนังสือเพิ่มอีกสองเล่มคือ “THE CHOICE, ISLAM AND CHRISTIANITY” เขียนโดย อะห์มัด ดีด๊าต และ “THE BASIS OF MUSLIM BELIEF” เขียนโดย แกรี่ มิลเลอร์ ผมรู้สึกประทับใจหนังสือสองเล่มนี้มาก

ผมเจอคุณเรมมี่อีกครั้ง เขาแนะนำผมให้รู้จักอุสตาซ ซุลกิฟลิ ผมได้คุยกับเขาเกี่ยวกับศาสนาอิสลามอยู่หลายอาทิตย์

คำถามใดก็ตามเกี่ยวกับคริสตศาสนาที่ผมตอบไม่ได้ ผมจะส่งไปให้โบสถ์และวิทยาลัยใบเบิ้ลแห่งสิงคโปร์ตอบ ผมเริ่มตกที่นั่งลำบาก เพราะผมไม่อาจยอมรับคำตอบที่โบสถ์และวิทยาลัยใบเบิ้ลส่งกลับมาได้ หากผมยอมรับเหตุผลจากคำตอบก็เท่ากับผมดูหมิ่นพระผู้เป็นเจ้า เป็นต้นว่า เมื่อผมพยายามถามถึงสิ่งที่ขัดแย้งกันเองในใบเบิ้ล คำตอบที่ได้รับก็คือเป็นการขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือไม่ก็บอกว่าเป็นความผิดพลาดจากการคัดลอก

ผมต้องค้นคว้าด้วยตัวเองอย่างมากมาย เพื่อตอบคำถามที่ดารุ้ลอัรกอมถามผมมา สิ่งที่ผมได้จากการค้นคว้า ซึ่งถือว่าเป็นการทำลายศรัทธาในคริสตศาสนาของผมโดยสิ้นเชิงก็คือประวัติของศาสนจักร

ประวัติศาสนาความเป็นมาของศาสนจักรได้เปิดโปงความจริงออกมาว่า แนวความคิดเรื่องตรีเอกานุภาพ (TRINITY) ถูกนำมาเผยแพร่เป็นครั้งแรกในปี คริสตศักราชที่ 325 ซึ่งก็คือ 325 ปีหลังพระเยซูคริสต์จากไป ก่อนหน้านั้นมีหลักคำสอนที่แตกต่างกันอยู่บ้างแล้ว โดยหลักคำสอนทั้งหมดดังกล่าวหลากหลายไม่เหมือนกัน

เมื่อผมทราบข้อมูลเกี่ยวกับคริสตศาสนาทางแหล่งข้อมูลของศาสนาอิสลามมากขึ้น ผมก็เริ่มไม่ค่อยพอใจ ผมตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับจากเอนไซโคลปิเดียต่าง ๆ รวมทั้งแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ผมพบว่าความรู้ที่ผมได้รับจากแหล่งข้อมูลของศาสนาอิสลามเป็นความจริงที่ถูกต้อง

เมื่อผมพิจารณาดูให้มากยิ่งขึ้น (มากกว่าที่ผมเคยพิจารณามาก่อน) ถึงคำพยากรณ์ที่ว่า “วิญญาณแห่งความจริงจะมา และนำผู้คนไปสู่ความจริง” ผมเข้าใจได้อย่างแจ่มชัดว่าคำพยาการณ์นี้กล่าวถึงท่านนบีมุฮำหมัด และสารของท่าน คำพยากรณ์นี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงพระเยซูคริสต์เพราะชาวคริสเตียนยุคแรก ๆ ไม่สามารถแม้แต่จะระบุรูปพรรณสัณฐานของพระเยซูคริสต์ จนทุกวันนี้พวกเขาก็ยังขัดแย้งกันอยู่ในเรื่องรูปพรรณสัณฐานของท่าน

ระหว่างที่ผมยังเรียนรู้อิสลามอยู่นั้น ผมก็พยายามศึกษาศาสนาอิสลามจากหนังสือของคริสเตียน ผมพบว่าหนังสือเหล่านั้นมีเจตนามุ่งร้าย จากความรู้ในศาสนาอิสลามที่ผมมีอยู่บ้าง ผมสามารถหักล้างคำกล่าวหาผิด ๆ ของชาวคริสต์ ดังตัวอย่างหนึ่งที่พวกเขากล่าวหาว่าพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาอิสลามทรงห่างเหินกับสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง ผมรู้ว่าไม่จริง เพราะว่าในศาสนาอิสลาม พระผู้เป็นเจ้าทรงใกล้ชิดกับสิ่งที่พระองค์สร้าง ใกล้ชิดยิ่งกว่าเส้นเลือดที่หลอดคอเสียอีก

“และโดยแน่นอน เราได้บังเกิดมนุษย์มา และเรารู้ดียิ่งที่จิตใจของเขากระซิบกระซาบแก่เขา และเรานั้นใกล้ชิดเขายิ่งกว่าเส้นเลือดชีวิตของเขาเสียอีก” อัลกุรอาน 50:16

นักเขียนคริสเตียนบางคนยังอ้างว่าอัลลอฮ์ขาดคุณสมบัติในความรักต่อสรรพสิ่ง ผมไม่เข้าใจว่าคริสเตียนเอามาอ้างได้อย่างไร ในเมื่อมุสลิมกล่าวว่า “บิสมิลลาฮ์” ซึ่งมีความหมายว่า ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาเสมออยู่เป็นประจำในชีวิตประจำวัน

นอกจากนี้ 99 พระนามของอัลลอฮ์ก็เน้นคุณลักษณะของความรักและห่วงใย ผมจำเป็นต้องปฎิเสธข้อกล่าวหาที่คริสเตียนมีต่อศาสนาอิสลาม เพราะผมต้องยุติธรรมต่อตัวเอง

ผมอ่านหนังสือ “MUHAMMAD IN THE BIBLE” และ “GOSPEL O THOMAS แล้วตอนนี้ผมต้องตกตะลึงพรึงเพริดอีกเมื่ออ่าน “THE DEAD SEA SCROLLS” ซึ่งมีผลกระทบเป็นครั้งสุดท้ายต่อศรัทธาในคริสตศาสนาของผม ผมไม่พบเหตุผมที่ผมจะยังคงเป็นคริสเตียนต่อไป ผมพบเห็นเรื่องโกหกหลอกลวงที่ผมไม่คิดว่าจะได้พบในคริสตศาสนา ผมตรวจเช็คความถูกต้องทุกรูปแบบเท่าที่จะสามารถในกรณีที่ผมอาจเข้าใจผิดไปเอง จนไม่มีอะไรเหลือที่จะให้ตรวจสอบอีก

ผมยังคงเรียนรู้ศาสนาอิสลามจากอัลกุรอานและหนังสือต่าง ๆ และจากครูมุสลิมที่มุ่งมั่นที่จะชักนำผมสู่หนทางที่ถูกต้อง อยู่มาวันหนึ่ง อุสตาซ ซุลกิฟลิถามผมว่า

“เมื่อไหร่คุณจะเปลี่ยนมารับเข้าอิสลาม” ผมพูดไม่ออก ผมคิดเรื่องนี้คิดแล้วคิดอีก ผมไม่พบเหตุผลสักอย่างเดียวที่ผมไม่ควรเปลี่ยนมาเข้ารับอิสลาม หลังจากนั้นไม่นานผมก็ตัดสินใจเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นศาสนาที่แท้จริง

ตอนแรกครอบครัวของผมไม่คิดว่าการเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามของผมเป็นเรื่องจริงจัง คนในครอบครัวคิดว่าผมคงเข้ารับอิสลามเพียงผิวเผิน และยังคงทานเนื้อหมู และใช้ชีวิตเหมือนคนที่ไม่ใช่มุสลิม

แต่พอคนในครอบครัวรู้ว่าผมเป็นมุสลิมอย่างเคร่งครัดเข้า ก็เลยกลายเป็นเรื่องยุ่งยากวุ่นวายและยิ่งวุ่นวายยุ่งยากขึ้นอีกเมื่อผมถือศีลอดตอนเดือนเราะมะฎอน ผมเกือบจะถูกไล่ออกจากบ้านสถานการณ์ที่บ้านยังคงอึมครึมอีกหลายเดือนหลังจากนั้น

ผมไม่ทานข้าวที่บ้าน ผมโดนต่อว่าไม่รักครอบครัวและยังคงมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งระหว่างผมกับคนในครอบครัว ผมพยายามอธิบายคำสอนของอิสลามให้คนในบ้านฟัง แต่พวกเขาก็ไม่ยอมเข้าใจ

ผมรู้สึกกังวลที่จะกลับเข้าบ้าน จึงรีรออยู่นอกบ้านจนดึก อยู่มาวันหนึ่งคุณแม่ผมเข้ามาหา ขอร้องไม่ให้ผมอยู่นอกบ้านจนดึกดื่น ท่านบอกว่าคุณพ่อของผมเองก็รู้สึกเป็นห่วง ท่านแนะให้ผมซื้อข้าวมาเอง โดยท่านจะช่วยทำให้ผมทานต่างหากไม่ปะปนกัน

ตอนนี้ผมและคนในครอบครัวรับประทานอาหารหะล้าลกันที่บ้าน เพราะเป็นการสะดวกสำหรับคุณแม่ของผมที่จะปรุงอาหารที่ไม่เฉพาะคนในครอบครัวทานได้เท่านั้น แต่ลูกชายที่เป็นมุสลิมของท่านก็ทานได้ด้วย

สถานการณ์ที่บ้านเริ่มดีขึ้น แม้จะมีการค่อนแคะถากถางพอหอมปากหอมคอจากคนในบ้านอยู่บ้างก็ตาม

อัลฮัมดุลิ้ลลาฮ์


..................................................................................
แปลและเรียบเรียงจากเว็บไซท์ ISLAMICWEB.COM




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น