อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

อิมามสี่มัซฮับกับอะกีดะฮฺด้าน อัสมาอ์วัศศิฟาต (อัช-ชาฟิอี)



อะกีดะฮฺอิหม่าม มุฮัมมัด บิน อิดรีส อัช-ชาฟิอีย์ ในประเด็นพระนาม และคุณลักษณะของพระองค์อัลลอฮฺตะอาลา

1. وأورد ابن القيم في اجتماع الجيوش عن الشافعي أنه قال: القول في السنة التي أنا عليها ورأيت أصحابنا عليها أهل الحديث الذين رأيتهم وأخذت عنهم مثل سفيان ومالك وغيرهما الإقرار بشهادة أن لا إله إلا الله وأن محمدًا رسول الله وأن الله تعالى على عرشه في سمائه يقرب من خلقه كيف شاء وأن الله تعالى ينزل إلى سماء الدنيا كيف شاء. (اجتماع الجيوش الإسلامية ص165 إثبات صفة العلو ص124 وانظر مجموع الفتاوى4/181-183 والعلو للذهبي ص120)
1. ท่านอิบนุลก็อยยิม รายงานในหนังสือ อิจญ์ติมาอฺ อัล-ญุยูช อัล-อิสลามมียะฮฺ จากอิหม่าม อัช-ชาฟิอีย์ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ ท่านกล่าวว่า: “คำกล่าวในสุนนะฮฺที่ฉันดำรงอยู่ และจากสหายของเราที่ดำรงอยู่ จากบรรดาชาวหะดีษที่ฉันได้เห็นพวกเขาและรับความรู้จากพวกเขา อาทิ ท่านสุฟยาน มาลิก และท่านอื่นๆ คือยอมรับด้วยชะฮาดะฮฺ ว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่สมควรกราบไหว้ เว้นแต่อัลลอฮฺ และมุฮัมมัดนั้นเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ และแท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงอยู่เหนืออะรัช บนชั้นฟ้า พระองค์จะทรงใกล้ชิดบ่าวของพระองค์ด้วยวิธีการที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺจะทรงลงสู่ฟากฟ้าดุนยาด้วยวิธีการที่พระองค์ทรงประสงค์” (หนังสือ อิจญ์ติมาอฺ อัล-ญุยูช อัล-อิสลามมียะฮฺ หน้าที่ 165 หนังสือ อิษบาต ศิฟะฮฺ อัล-อุลูว์ หน้าที่ 124 หนังสือ มัจมูอฺ อัล-ฟัตวา เล่ม 4 หน้าที่ 181-183 และหนังสือ อัลอุลูว์ ของ อัซ-ซะฮะบีย์ หน้าที่ 120)

2.وأخرج ابن عبد البر عن يونس بن عبد الأعلى  قال : سمعت الشافعي يقول : إذا سمعت الرجل يقول الاسم غير المسمى أو الشيء غير الشيء فاشهد عليه بالزندقة. (الإنتقاء ص89)

2. ท่านอิบนุ อับดิลบัร รายงานจากท่านยูนุส บิน อับดิลอะอฺลา กล่าวว่า: “ฉันได้ยิน อัช-ชาฟิอีย์กล่าวว่า: “เมื่อท่านได้ยินบุคคลใดกล่าวว่า: “นามนั้นไม่ใช่ตัวตนของผู้ที่ถูกขนานนาม หรือสิ่งหนึ่งไม่ใช่ตัวตนของอีกสิ่งหนึ่ง” ก็จงตราหน้าเขาว่าเป็นพวก ซินดีก (นอกลู่)” (หนังสือ อัล-อินติกออ์ หน้าที่ 89)

3. وقال الشافعي في كتابه الرسالة: :والحمد لله ... الذي هو كما وصف به نفسه وفوق ما يصفه به خلقه. )الرسالة ص7)

3. ท่านอิหม่าม อัช-ชาฟิอีย์ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวไว้ในหนังสืออัร-ริสาละฮฺ ของท่านว่า: “มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของพระองค์อัลลอฮฺ.... พระผู้ซึ่งมีคุณลักษณะดังที่พระองค์ได้บรรยายไว้กับตัวพระองค์เอง และมีคุณลักษณะเหนือการบรรยายของมนุษย์”  (หนังสือ อัร-ริสาละฮฺ หน้าที่ 7-8 )

4.وأورد الذهبي في السير عن الشافعي أنه قال: «نثبت هذه الصفات التي جاء بها القرآن ووردت بها السنة وننفي التشبيه عنه كما نفى عن نفسه فقال: ﴿ لَيۡسَ كَمِثۡلِهِۦ شَيۡءٞۖ  ﴾ [الشورى: ١١] .  (السير 20/341 )
4. ท่านอัซ-ซะฮะบีย์ระบุในหนังสือ สิยัรอะลาม อันนุบะลาอ์ จากอิหม่ามอัช-ชาฟิอีย์ ท่านกล่าวว่า: “พวกเรายืนยันคุณลักษณะต่างๆเหล่านี้ของอัลลอฮฺ ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ปรากฏในอัล-กุรอ่าน และอัส-สุนนะฮฺ และพวกเราปฏิเสธการเปรียบเทียบพระองค์อัลลอฮฺกับสิ่งอื่น ดังเช่นที่พระองค์ได้ปฏิเสธด้วยตัวของพระองค์เอง พระองค์ได้ดำรัสว่า: ((และไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์))” (สูเราะฮฺ อัช-ชูรอ อายะฮฺที่ 11)” (หนังสือ สิยัร อะลาม อันนุบะลาอ์ เล่ม 20 หน้าที่ 341 )
5.وأخرج ابن عبد البر عن الربيع بن سليمان قال: «سمعت الشافعي يقول في قول الله عز وجل ﴿ كَلَّآ إِنَّهُمۡ عَن رَّبِّهِمۡ يَوۡمَئِذٖ لَّمَحۡجُوبُونَ ١٥ ﴾ [المطففين: ١٥] أعلمنا بذلك أن ثم قومًا غيرمحجوبين ينظرون إليه لا يضامون في رؤيته.  (الإنتقاء ص79)
5. ท่านอิบนุอับดิลบัร รายงานจากท่าน อัร-รอบีอฺ บิน สุลัยมาน กล่าวว่า: “ฉันได้ยิน อัช-ชาฟิอีย์อธิบาย ดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า: ((มิใช่เช่นนั้น แท้จริงพวกเขาในวันนั้นจะถูกปิดกั้นจากการมองเห็นพระเจ้าของพวกเขา)) (สูเราะฮฺ อัล-มุฏ็อฟฟิฟีน อายะฮฺที่ 15) อายะฮฺนี้ได้แจ้งให้เราทราบว่า ณ ตอนนั้น จะมีกลุ่มชนที่จะไม่ถูกปิดกั้น (จากการมองเห็นอัลลอฮฺ) พวกเขาจะมองเห็นพระองค์ โดยปราศจากการบดบัง” (หนังสือ อัล-อินติกออ์ หน้าที่ 79)

6.وأخرج ابن عبد البر عن الجارودي قال: ذكر عند الشافعي إبراهيم بن إسماعيل ابن علية  فقال: أنا مخالف له في كل شيء وفي قول لا إله إلا الله لست أقول كما يقول أنا أقول: لا إله إلا الله الذي كلّم موسى عليه السلام تكليمًا من وراء حجاب وذلك يقول لا إله إلا الله الذي خلق كلامًا أسمعه موسى من وراء حجاب. (الإنتقاء ص79  والقصة ذكرها الحافظ عن مناقب الشافعي للبيهقي  اللسان 1/35)
6. ท่านอิบนุอับดิลบัร รายงานจากท่าน อัล-ญารูดีย์ กล่าวว่า: “อิบรอฮีม บิน อิสมาอีล บิน อุลัยยะฮฺ (หนึ่งในบรรดาผู้ที่กล่าวว่า อัล-กุรอ่านเป็นมัคลูก) ถูกกล่าวขึ้นต่อหน้า อิหม่าม อัช-ชาฟิอีย์ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ ท่านจึงกล่าวว่า: “ฉันมีมีทัศนะที่ขัดแย้งกับเขาในทุกๆประเด็นและในประเด็น: “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่คู่ควรแก่การกราบไหว้เว้นแต่อัลลอฮฺ" และฉันจะไม่กล่าวอย่างที่เขากล่าว ฉันกล่าวว่า: “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่คู่ควรแก่การกราบไหว้เว้นแต่อัลลอฮฺ ผู้ซึ่งได้ดำรัสกับมูสา อะลัยฮิสลาม อย่างแท้จริง จากเบื้องหลังม่าน แต่เขาคนนั้น (อิบรอฮีม บิน อิสมาอีล)ได้กล่าวว่า: “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่คู่ควรแก่การกราบไหว้เว้นแต่อัลลอฮฺ ผู้ซึ่งทรงสร้างคำดำรัสขึ้นและทำให้มูซา อะลัยฮิสสลามได้ยินจากเบื้องหลังม่าน” (หนังสือ อัล-อินติกออ์ หน้าที่ 79 และอัลหาฟิซอิบนุหะญัรได้อ้างอิงเรื่องราวดังกล่าวจากหนังสือ มะนากิบ อัช-ชาฟิอีย์ ของท่านบัยหะกีย์ ในหนังสือ ลิสาน อัลมีซาน เล่ม 1 หน้าที่ 35)

7.وأخرج اللالكائي عن الربيع بن سليمان  قال الشافعي:  من قال القرآن مخلوق فهو كافر . (شرح أصول اعتقاد أهل السنة والجماعة 1/252 )
7. ท่านอัล-ลาละกาอีย์รายงานจากท่าน อัร-รอบีอฺ บิน สุลัยมาน ท่านอินหม่าม อัช-ชาฟิอีย์ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวว่า: “ผู้ใดที่อ้างว่าอัล-กุรอ่าน เป็นมัคลูก แน่นอนเขาเป็นผู้ปฏิเสธ” (หนังสือ ชัรห์ อุสูลอิอฺติกอด อะลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ เล่ม1 หน้า 252)

8.وأخرج البيهقي عن أبي محمد الزبيري قال:  قال رجل للشافعي أخبرني عن القرآن خالق هو  قال الشافعي: اللهم لا. قال: فمخلوق  قال الشافعي: اللهم لا. قال: فغير مخلوق  قال الشافعي: اللهم نعم. قال: فما الدليل على أنه غير مخلوق  فرفع الشافعي رأسه وقال: تُقر بأن القرآن كلام الله  قال: نعم. قال الشافعي: سبقت في هذه الكلمة قال الله تعالى ذكره: ﴿وَإِنْ أَحَدٌ مِّنَ الْمُشْرِكِينَ اسْتَجَارَكَ فَأَجِرْهُ حَتَّى يَسْمَعَ كَلاَمَ اللّهِ ﴾ [التوبة: ٦]   ﴿ وَكَلَّمَ ٱللَّهُ مُوسَىٰ تَكۡلِيمٗا ١٦٤ ﴾ [النساء : ١٦٤]  .قال الشافعي: فتقر بأن الله كان وكان كلامه  أو كان الله ولم يكن كلامه  فقال الرجل: بل كان الله وكان كلامه. قال: فتبسم الشافعي وقال: يا كوفيون إنكم لتأتوني بعظيم من القول إذا كنتم تقرون بأن الله كان قبل القبل وكان كلامه فمن أين لكم الكلام: إن الكلام الله  أو سوى الله  أو غير الله  أو دون الله  قال: فسكت الرجل وخرج. (مناقب الشافعي ص1/407ـ408 )
8. ท่านบัยฮะกีย์รายงานจาก ท่านอะบี มุฮัมมัด อัซ-ซุบัยดีย์ กล่าวว่า: “ชายคนหนึ่งได้กล่าวแก่อิหม่าม อัช-ชาฟิอีย์เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ ว่า: “โปรดบอกฉันด้วยเถิดว่าอัล-กุรอ่านคือผู้สร้างหรือ? ท่านอัช-ชาฟิอีย์ตอบว่า: “โอ้อัลลอฮฺ ไม่ใช่” ชายคนนั้นถามต่ออีกว่า: “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นสิ่งที่ถูกสร้าง?” ท่านอัช-ชาฟิอีย์ตอบว่า : “โอ้อัลลอฮฺ ไม่ใช่" แล้วชายคนนั้นก็ถามอีกว่า: “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้าง?” ท่านอัช-ชาฟิอีย์ตอบว่า :"โอ้อัลลอฮฺ ใช่” ชายคนนั้นก็ถามว่า: “แล้วอะไรคือหลักฐานที่บ่งบอกว่าอัล-กุรอ่าน ไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้าง?” ท่านอัช-ชาฟิอีย์ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ เงยหน้าขึ้นและกล่าวว่า: “ท่านยอมรับว่าอัล-กุรอ่านเป็นดำรัสของอัลลอฮฺใช่ไหม?” เขาตอบว่า: “ใช่” ท่านอัช-ชาฟิอีย์ กล่าวว่า: “คำๆนี้มีปรากฏมาแล้วในดำรัสของพระองค์อัลลอฮฺที่ว่า: ((และหากว่ามีคนใดในหมู่มุชริกได้ขอให้เจ้าคุ้มครอง ก็จงคุ้มครองเขาเถิด จนกว่าเขาจะได้ยินดำรัส ของอัลลอฮฺ)) (สูเราะฮฺอัต-เตาบะฮฺ อายะฮฺที่6) และดำรัสที่ว่า ((และอัลลอฮฺทรงดำรัสกับมูซาจริง)) (สูเราะฮฺ อันนิสาอ์ อายะฮฺที่164) ท่านอัช-ชาฟิอีย์กล่าวว่า: “ดังนั้นคุณยอมรับใช่ไหมว่าอัลลอฮฺทรงมีและพร้อมกับดำรัสของพระองค์? หรือพระองค์ทรงมีและก่อนที่จะมีดำรัสของพระองค์?” ชายคนนั้นพูดว่า: “หามิได้ อัลลอฮฺทรงมีพร้อมกับดำรัสของพระองค์” ท่านอัช-ชาฟิอีย์อมยิ้มและกล่าวว่า: “โอ้ ชาวกูฟะฮฺทั้งหลาย พวกท่านนำคำกล่าวที่อันตรายยิ่งมาหาฉัน ในเมื่อพวกท่านยอมรับว่า: “พระองค์อัลลอฮฺนั้นทรงมีก่อนสิ่งอื่นใดและการดำรัสก็มีมาพร้อมพระองค์ แล้วพวกท่านนำคำกล่าวเหล่านี้มาจากไหนว่า: คำดำรัสคืออัลลอฮฺ หรืออื่นจากอัลลอฮฺ หรือมิใช่อัลลอฮฺ หรือต่ำต้อยกว่าอัลลอฮฺ” ชายคนนั้นนิ่งเงียบแล้วเดินออกไป” (หนังสือ มะนากิบ อัช-ชาฟิอีย์ เล่ม1หน้าที่ 407-408)

9.وفي جزء الاعتقاد المنسوب للشافعي  من رواية أبي طالب العشاري ما نصّه قال: وقد سُئل عن صفات الله عز وجل وما ينبغي أن يؤمن به  فقال:  لله تبارك وتعالى أسماء وصفات جاء بها كتابه وأخبر بها نبيه صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ  أمته لا يسع أحدًا من خلق الله عز وجل قامت لديه الحجة إن القرآن نزل به وصحيح عنده  قول النبي  صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ   فيما روى عنه العدل خلافه  فإن خالف ذلك بعد ثبوت الحجة عليه فهو كافر بالله  عز وجل  فأما قبل ثبوت الحجة عليه من جهة الخبر فمعذور بالجهل لأن علم ذلك لا يدرك بالعقل ولا بالدراية   والفكر.
ونحو ذلك إخبار الله عز وجل أنه سميع وأن له يدين بقوله عزّ وجل:  ﴿ بَلْ يَدَاهُ مَبْسُوطَتَانِ  ﴾ [المائ‍دة: ٦٤]   وأن له يمينًا بقوله عز وجل: ﴿وَالسَّماوَاتُ مَطْوِيَّاتٌ بِيَمِينِهِ ﴾ [الزمر: ٦٦]  وإن له وجهًا بقوله عز وجل: ﴿ كُلُّ شَيْءٍ هَالِكٌ إِلَّا وَجْهَهُ ﴾ [القصص: ٨٨]   وقوله ﴿ وَيَبْقَى وَجْهُ رَبِّكَ ذُو الْجَلَالِ وَالْإِكْرَامِ ٢٧ ﴾ [الرحمن: ٢٧]  وأن له قدمًا بقوله  صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ: ((حتى يضع الرب عز وجل فيها قدمه  يعني جهنم)) لقوله صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ :  للذي قتل في سبيل الله عز وجل أنه:  لقي الله عز وجل وهو يضحك إليه  وأنه يهبط كل ليلة إلى السماء الدنيا بخبر رسول الله صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ   بذلك وأنه ليس بأعور لقول النبي  صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ  إذ ذكر الدجال فقال:  إنه أعور وإن ربكم ليس بأعور .وإن المؤمنين يرون ربهم عز وجل يوم القيامة بأبصارهم كما يرون القمر ليلة البدر وإن له أصبعًا بقوله  صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ:  ما من قلب إلا هو بين أصبعين من أصابع الرحمن عز وجل.
وإن   هذه المعاني التي وصف الله عز وجل بها نفسه ووصفه بها رسوله صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ   لا يدرك   حقه   ذلك بالفكر والدراية  ولا يكفر بجهلها أحد إلا بعد انتهاء الخبر إليه وإن   كان الوارد بذلك خبرًا يقوم في الفهم مقام المشاهدة في السماع  وجبت الدينونة  على سامعه بحقيقته والشهادة عليه كما عاين وسمع من رسول الله  صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ  ولكن نثبت   هذه الصفات وننفي   التشبيه كما نفى ذلك عن نفسه تعالى ذكره فقال: ﴿ لَيۡسَ كَمِثۡلِهِۦ شَيۡءٞۖ  ﴾ [الشورى: ١١]....  آخر الاعتقاد.
(قاله الذهبي في الميزان ص3/656  وابن أبي يعلى في الطبقات ص1/382   وابن القيم في اجتماع الجيوش ص165 والذهبي نفسه في السير10/79 )
9. และส่วนหนึ่งจากความเชื่อที่มีการพาดพิงถึงอิหม่าม อัช-ชาฟิอีย์ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ จากรายงานของท่านอะบี ฏอลิบ อัลอิชารีย์ ท่านกล่าวว่า: “ท่านอิหม่าม อัช-ชาฟิอีย์ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ ถูกถามถึงคุณลักษณะของพระองค์อัลลอฮฺ ผู้ทรงมีเกีรยติและสู่งส่ง  และสิ่งที่สมควรต้องเชื่อ ท่านตอบว่า: “สำหรับพระองค์อัลลอฮฺผู้ทรงจำเริญและสูงส่งนั้น มีพระนามและคุณลักษณะต่างๆ ตามที่มีระบุในคำภีร์และศาสนทูตของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้เล่าแก่ประชาติของท่าน ผู้ใดที่จำนนต่อหลักฐานแล้วว่า แท้จริงอัล-กุรอ่านถูกประทานลงมาด้วยกับเขา และคำกล่าว (หะดีษ) ของท่านนะบี ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ที่เขาเชื่อว่าถูกต้อง จากการรายงานของผู้ที่ทรงธรรมแล้ว ไม่อนุญาตให้เขา (เชื่อและปฏิบัติ) ขัดแย้งกับสิ่งดังกล่าว และหากเขาขัดแย้งกับสิ่งดังกล่าวหลังจากที่จำนวนต่อหลักฐานแล้วไซร้ เขาจะเป็นผู้ปฏิเสธต่ออัลลอฮฺ ผู้ทรงมีเกียติและสูงส่ง แต่หากว่าเขาขัดแย้งกับสิ่งดังกล่าวก่อนที่จะจำนนต่อหลักฐาน เขาจะได้รับการอนุโลมให้เนื่องจากความเขลา เพราะความรู้ดังกล่าวไม่สามารถเข้าใจด้วยสติปัญญา การตีความ จินตนาการ และอื่นๆ สิ่งที่พระองค์อัลลอฮฺผู้ทรงมีเกียติและสูงส่งบอก คือพระองค์เป็นผู้ที่ได้ยิน พระองค์มีสองพระหัตถ์ ด้วยดำรัสของพระองค์ที่ว่า: ((ทว่า พระหัตถ์ทั้งสองของอัลลอฮฺนั้นทรงแผ่กว้างเสมอ)) (สูเราะฮฺ อัล-มาอิดะฮฺ อายะฮฺ ที่ 64) และพระองค์ทรงมีพระหัตถ์ขวา ด้วยดำรัสที่ว่า : ((และชั้นฟ้าทั้งหลายจะถูกม้วนพับด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์)) (สูเราะฮฺ อัซ-ซุมัร อายะฮฺที่ 67) และพระองค์ทรงมีพระพักตร์ ด้วยดำรัสที่ว่า ((ทุกๆสิ่งจะพินาศยกเว้นพระพักตร์ของพระองค์)) (สูเราะฮฺ อัล-เกาะศ่อศ อายะฮฺที่ 88) และดำรัสที่ว่า:((และพระพักตร์ของพระผู้อภิบาลของเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงโปรดปรานเท่านั้นที่จะยังคงเหลืออยู่)) (สูเราะฮฺ อัร-เราะหฺมาน อายะฮฺที่ 27) และพระองค์นั้นทรงมีพระบาท ด้วยคำกล่าวของท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ที่ว่า: ((จนกระทั่งพระเจ้าผู้ทรงมีเกียติและสูงส่งวางพระบาทของพระองค์ลงไปในมัน (นรก) )) และคำกล่าวของท่านสำหรับผู้ที่เสียชีวิตในหนทางของอัลลอฮฺว่า เขาจะพบกับพระองค์โดยที่พระองค์ทรงหัวเราะพวกเขา และพระองค์อัลลอฮฺจะทรงเสด็จลงสู่ชั้นฟ้าดุนยาในทุกค่ำคืนตามที่ระบุในหะดีษของท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม และตาของพระองค์ไม่ได้บอดข้าง ดังคำกล่าวของท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม เมื่อครั้งที่มีการกล่าวถึงดัจญาล ว่า: ((แท้จริงดัจญาลตาจะบอดข้างและพระเจ้าของพวกเจ้าไม่เป็นเช่นนั้น)) และบรรดาผู้ศรัทธจะได้มองเห็นพระเจ้าของพวกเขาในวันกิยามะฮฺด้วยกับสองตาของพวกเขา ดังเช่นที่พวกเขามองเห็นพระจันทร์ในคืนจันทร์เพ็ญ และพระองค์ทรงมีนิ้ว เช่นที่ระบุในคำกล่าวของท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ที่ว่า: ((ไม่มีหัวใจใดเว้นแต่จะอยู่ระหว่างสองนิ้วจากนิ้วต่างๆของพระผู้ทรงเมตตาที่มีเกียติและสูงส่ง))
บรรดาความหมายของคุณลักษณะต่างๆที่พระองค์อัลลอฮฺได้พรรณนาถึงตัวพระองค์เอง และพรรณนาโดยท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ไม่สามารถรับรู้ความเป็นจริงของมันได้ด้วยสติปัญญาและการทำความรู้จัก ซึ่งผู้ใดก็ตามจะไม่กลายเป็นผู้ปฏิเสธอันเนื่องจากความเขลาในประเด็นนี้เว้นแต่หลังจากตัวบทหลักฐานได้ถึงเขาแล้ว ถึงแม้ว่าสิ่งที่ระบุดังกล่าวเป็นเพียงเรื่องเล่าแทนการมองเห็นภาพด้วยกับฟังก็ตาม ผู้ฟังก็จำเป็นต้องน้อมรับข้อเท็จจริงดังกล่าวและเป็นพยานต่อมัน เสมือนกับว่าเขาได้เห็นและได้ยินจากท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัมเอง เพียงแต่ เราจำเป็นต้องยืนยันบรรดาคุณลักษณะต่างๆของอัลลอฮฺ พร้อมกับปฏิเสธการเปรียบเทียบ ดังที่อัลลอฮฺได้ปฏิเสธมันจากตัวของพระองค์ พระองค์ดำรัสว่า : ((ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์)) (สูเราะฮฺ อัช-ชูรอ อายะฮฺที่ 11)....
( อัซ-ซะฮะบีย์กล่าวในหนังสือ มีซาน อัลอิอฺติดาล เล่ม3 หน้าที่ 656 อิบนุ อะบียะอฺลา ในหนังสือ เฏาะบะกอต อัลหะนาบิละฮฺ เล่ม1 หน้าที่ 382 อิบนุลก็อยยิม ใน หนังสือ อิจญ์ติมาอฺ อัลญุยูช อัล-อิสลามมียะฮฺ หน้าที่ 165 และ อัซ-ซะฮะบีย์ ในหนังสือ สิยัร อะอฺลาม อันนุบะลาอ์ เล่ม 10 หน้าที่ 79(


................................................
มุหัมมัด อับดุรเราะห์มาน อัล-คุมัยยิส
แปลโดย : อับดุลอาซีซ  สุนธารักษ์
ตรวจทานโดย : อุษมาน อิดรีส






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น