อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

ชี้แจง กรณี หนังสือ อะกีดะฮ์พระเจ้ามีรูปร่าง จากยิวสู่ความเชื่อกลุ่มบิดอะฮ์


ไปเจอข้อความข้างล่างนี้ ระบุว่า
จากหนังสือของ ..........อะกีดะฮ์พระเจ้ามีรูปร่าง จากยิวสู่ความเชื่อกลุ่มบิดอะฮ์
หน้าที่ 61-62 ทำให้ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นว่าแนวทางกลุ่มคณะใหม่ วะฮาบี ไม่ใช่แนวทางของอะลุสสุนนะฮ์
ท่าน อ......... ท่านกล่าวว่า
การพรรณนาอัลลอฮฺให้มีความหมายคุณลักษณะของมนุษย์ เช่น บอกว่าอัลลอฮฺเป็นรูปร่าง มีรูปทรง เป็นสัดส่วนอวัยวะ มีสถานที่อยู่ มีการนั่ง มีการเคลื่อนย้ายเคลื่อนที่ไปมา ย่อมเป็นกาเฟร เพราะเป็นคุณลักษณะในความหมายของมนุษย์ ปราชญ์สะลัฟท่านอิหม่ามอัฏเฏาะหาวี่ย์ได้กล่าวว่า
ومن وصف الله بمعنى من معاني البشر ، فقد كفر
ผู้ใดพรรณาอัลลอฮฺด้วยความหมายหนึ่งจากบรรดาความหมายของมนุษย์ เขาย่อมเป็นกาเฟร
……………………..
ชี้แจง
ข้างต้น เป็นการอุปโลกน์คำว่า “ตัจซีม” ขึ้นมา แล้วบอกว่าใครว่าอัลลอฮมีรูปร่างคนนั้น มีอะกีดะฮยิว และเป็นกาเฟร
การเอาคำว่า “ตัจญซีม” หรือ การพรรณนาว่าอัลลอฮมีรูปร่างนั้น ไม่ปรากฏในสมัยนบี ศอ็ลฯ และเหล่าสาวกวก ในการหุกุมเกี่ยวกับเรื่องนี้
คำว่า “ตัจญซีม” เป็นคำที่อะชาอิเราอุตริขึ้นมาที่หลัง
ดังที่ท่านอิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ) กล่าวว่า
ثُمَّ لَفْظُ " التَّجْسِيمِ " لَا يُوجَدُ فِي كَلَامِ أَحَدٍ مِنْ السَّلَفِ لَا نَفْيًا وَلَا إثْبَاتًا فَكَيْفَ يَحِلُّ أَنْ يُقَالَ : مَذْهَبُ السَّلَفِ نَفْيُ التَّجْسِيمِ أَوْ إثْبَاتُهُ بِلَا ذِكْرٍ لِذَلِكَ اللَّفْظِ وَلَا لِمَعْنَاهُ عَنْهُمْ
ต่อมา คำว่า “อัตตัจญซีม” (การมีรูปร่าง) ไม่พบในคำพูดของคนหนึ่งคนใดจากชาวสะลาฟ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธ หรือ การรับรอง ดังนั้น
จะอนุญาตให้พูดว่า “มัซฮับสะลัฟ ปฏิเสธการมีรูปร่าง หรือ รับรองมัน ได้อย่างไร โดยที่ไม่การกล่าวถึงถ้อยคำดังกล่าวและไม่ได้กล่าวถึงความหมายของมัน จากพวกเขา – ดู มัจญมัวะ ฟะตาวา อิบนุตัยมียะฮ เล่ม 4 หน้า 152 เรื่อง อะกีดะฮ
........
กล่าวคือ คำว่า “ตัจญซีม” ไม่เคยปรากฏว่าปราชญ์ชาวสะลัฟ กล่าวถึงคำนี้ ไม่ว่า ในเชิงปฏิเสธ หรือ ในเชิง การรับรองให้แก่อัลลอฮ
เพราะฉะนั้น ไม่ควรเอาคำนี้มาอ้างถึงทัศนะของชาวสะลัฟ เพราะพวกเขาไม่เคยกล่าวถึง เลย
นักปราชญชาวสะลัฟนั้น พวกเขารับรองสิ่งที่อัลลอฮ กล่าวไว้ในอัลกุรอ่านและที่นบี ของพระองค์กล่าวไว้ในอัลหะดิษ และไม่ถือว่าการเชื่อตามสิ่งที่อัลลอฮและรอซูลบอกนั้น เป็นการเอาอัลลอฮ ไปเปรียบเทียบว่าเหมือนกับมัคลูคแต่อย่างใด
وَقَالَ نُعَيْمُ بْنُ حَمَّادٍ : مَنْ شَبَّهَ اللَّهَ بِشَيْءٍ مِنْ خَلْقِهِ فَقَدْ كَفَرَ ، وَمَنْ أَنْكَرَ مَا وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ فَقَدْ كَفَرَ ، وَلَيْسَ فِيمَا وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ وَلَا رَسُولُهُ تَشْبِيهٌ
และ นุอัยมฺ บิน หัมมาด กล่าวว่า “ ผู้ใดเปลียบเทียบอัลลอฮ ว่าคล้ายคลึงด้วยสิ่งใดๆจากมัคลูคของพระองค์ แน่นอน เขาเป็นกุฟุร และผู้ใด ปฏิเสธ สิ่งที่อัลลอฮทรงพรรณนาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์เองด้วยมัน แน่นอนเขาเป็นกุฟุร และ สิ่งที่อัลลอฮ ทรงพรรณนาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์เองด้วยมันและสิ่งที่รอซูลของพระองค์ (พรรณนาคุณลักษณะแก่พระองค์ด้วยมัน)นั้น ไม่ใช่เป็นการตัชบีฮ(หมายถึงไม่ใช่เป็นเปรียบเทียบว่าอัลลอฮคล้ายคลึงกับมัค ลูค) – ดู ชัรหุอะกีดะฮอัฏเฎาะหาวียะฮ เล่ม หน้า 85 และ ดู ชัรหุอุศูลเอียะติกอด อะฮลิสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ เล่ม 2 หน้า 532 หะดิษหมายเลข 936
ท่านอิสหาก บิน รอฮาวียะฮ ปราชญ์ชาวสะลัฟ (ฮ.ศ 161 - 238 )กล่าวว่า
إِنَّمَا يَكُونُ التَّشْبِيهُ إِذَا قَالَ يَدٌ كَيَدٍ أَوْ مِثْلُ يَدٍ أَوْ سَمْعٌ كَسَمْعٍ أَوْ مِثْلُ سَمْعٍ. فَإِذَا قَالَ سَمْعٌ كَسَمْعٍ أَوْ مِثْلُ سَمْعٍ فَهَذَا التَّشْبِيهُ وَأَمَّا إِذَا قَالَ كَمَا قَالَ الله تَعَالَى يَدٌ وَسَمْعٌ وَبَصَرٌ وَلَا يَقُولُ كَيْفَ وَلَا يَقُولَ مِثْلُ سَمْعٍ وَلاَ كَسَمْعٍ فَهَذَا لَا يَكُونُ تَشْبِيهًا وَهُوَ كَمَا قَالَ الله تَعَالَى فِى كِتَابِهِ: { لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
การตัชบีฮฺ(เปรียบกับมัคลูก)นั้นคือการที่เรากล่าวว่า พระหัตถ์ของอัลลอฮฺก็เหมือนกับมือของฉันหรือใกล้เคียงกับมือของฉัน หรือการที่เขากล่าวว่า พระองค์อัลลอฮฺได้ยินเหมือนกับที่ฉันได้ยินหรือคล้ายกับที่ฉันได้ยิน แบบนี้แหละที่เขาเรียกว่าตัชบีฮฺ แต่หากเป็นการกล่าวในสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงตรัสไว้แล้ว เช่น พระหัตถ์, ทรงสดับฟัง, ทรงทอดพระเนตร พร้อมกับไม่ถามว่ามันเป็นอย่างไรแบบไหน ตลอดจนไม่กล่าวว่าอัลลอฮฺได้ยินเหมือนกับฉันได้ยิน ดังนั้นแบบนี้ไม่เป็นการตัชบีฮฺต่ออัลลอฮฺตะอาลา พระองค์กล่าวไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนหรือคล้ายคลึงกับพระองค์แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงได้ ยินและทรงเห็น” (หนังสือ สุนันอัตติรมิซีย์ เล่ม 3 หน้าที่ 50-51)
……………………
เพราะฉะนั้น การที่เราเชื่อ ตามที่อัลลอฮทรงบอกว่า ทรงมี พระหัตถ์ หรือ สิฟัตอื่นๆ ตามที่ทรงบอกไว้ ไม่ใช่ว่า เป็นการเปรียบเทียบกับมัคลูค หรือ มีรูปร่างเหมือนมัคลูค เพราะพระองค์ทรงบอกไว้แล้วว่า
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนกับพระองค์แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงได้ยินและทรงเห็น
อยากให้ท่านเจ้าของหนังสือโจมตีวะฮบีย์เล่มนั้น มาดูคำพูดอิบนุตัยมียะฮที่พวกท่านด่าเช้าด่าเย็น ต่อไปนี้
فَإِنَّ الله لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ لَا فِي ذَاتِهِ، وَلَا فِي صِفَاتِهِ، وَلَا فِي أَفْعَالِهِ. فَإِذَا كَانَ لَهُ ذَاتٌ حَقِيقِةٌ لَا تُمَاثِلُ الذَّوَاتِ، فَالذَّاتُ مُتَّصِفَةٌ بِصِفَاتٍ حَقِيقَةٍ لَا تُمَاثِلُ سَائِرَ الصِّفَاتِ.
แท้จริงอัลลอฮนั้น ไมมีสิ่งใดเสมอเหมือน พระองค์ ไม่ว่า ในเรื่องเกี่ยวกับซาตของพระองค์ ,ไม่ว่าในเรื่อง บรรดาคุณลักษณะของพระองค์ และไม่ว่าในเรื่องการกระทำต่างๆของพระองค์ ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าพระองค์ทรงมีซาต(ตัวตน)จริงๆ ที่ไม่เหมือนบรรดาซาต ดังนั้น ซาต(ตัวตน)ที่มีคุณลักษณะ ด้วยบรรดาคุณลักษณะจริงๆ ก็จะไม่เหมือนกับบรรดาซาต(ตัวตน)อื่นๆ – ดู ฟะตาวาอิบนุตัยมียะฮ เล่ม 3 หน้า 21
อยากจะถามว่า ผู้ที่มีอะกีดะฮ แบบอิบนุตัยมียะฮข้างต้น “ เป็นการเฟร อย่างนั้นหรือ นะอูซุบิลละฮ
และอย่ากจะถามว่า “เจ้าของหนังสือโจมตี วะฮบีย์เล่มนั้น เคยใข้ คำว่า “ซาต”(ตัวตน)กับอัลลอฮไหม ถ้าเคยใช้.. แสดงว่า ท่านว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองใช่ไหม เพราะคำว่า “ซาต” แปลว่าตัวตน แสดงว่า เชื่อว่าอัลลอฮมีรูปร่างใช่ไหม
เจ้าของหนังสือโจมตี วะฮบีย์เล่มนั้น อ้างจาก หนังสือ ชัรหุอะกีดะฮอัฏเฏาะฮาวียะว่า
ومن وصف الله بمعنى من معاني البشر ، فقد كفر
ผู้ใดพรรณาอัลลอฮฺด้วยความหมายหนึ่งจากบรรดาความหมายของมนุษย์ เขาย่อมเป็นกาเฟร
ท่านน่าจะอ่านคำอธิบายต่อจากนั้นที่เขาอธิบายว่า
وَلَيْسَ مَا وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ وَلَا مَا وَصَفَهُ بِهِ رَسُولُهُ تَشْبِيهًا ، بَلْ صِفَاتُ الْخَالِقِ كَمَا يَلِيقُ بِهِ ، وَصِفَاتُ الْمَخْلُوقِ كَمَا يَلِيقُ بِهِ
และ สิ่งที่อัลลอฮ ทรงพรรณนาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์เองด้วยมันและสิ่งที่รอซูลของพระองค์ พรรณนาคุณลักษณะแก่พระองค์ด้วยมันนั้น ไม่ใช่เป็นการตัชบีฮ (ไม่ใช่การเปรียบเทียบว่าคล้ายคลึงกับมัคลูค)แต่ทว่า บรรดาสิฟาตผู้สร้างนั้น ดังสิ่งที่เหมาะสมกับพระองค์ และบรรดาสิฟาตผู้ถูกสร้างนั้น ดังสิ่งที่เหมาะสม/คู่ควร กับเขา – ดูชัรหุอะกีดะฮ อัฏเฎาะหาวียะฮ เล่ม 1 หน้า 207
.......................
อินชาอัลลอฮว่างๆจเอาข้ออ้างจากตำราโจมตีวะฮบีย์เล่มนั้น มาชี้แจง




เริ่ม ต้นตำราเล่มนั้นก็ยกอายะฮอัลกุรอ่านเกี่ยวกับที่พวกยิวปั้นรูปลูกวัวบูชา ในขณะที่นบีมูซาไม่อยู่ แล้วมาทึกทักว่า พวกยิวเชื่อว่าพระเจ้ามีรูปร่าง เพื่อจะโยงไปกล่าวหาวะฮบีย์ ว่ามีความเชื่อเหมือนยิวพวกนี้...นะอูซุบิลละฮ



เจ้าของหนังสือโจมตีวะฮบีย์อ้างวา
ปราชญ์สะลัฟท่านอิหม่ามอัฏเฏาะหาวี่ย์ได้กล่าวว่า
ومن وصف الله بمعنى من معاني البشر ، فقد كفر
ผู้ใดพรรณาอัลลอฮฺด้วยความหมายหนึ่งจากบรรดาความหมายของมนุษย์ เขาย่อมเป็นกาเฟร
...........
มาดูคำออธิบายครับ
อิบนุอะบิลอิซ อัชดัมชะกีย์ อธิบายว่า
نَبَّهَ بَعْدَ ذَلِكَ عَلَى أَنَّهُ تَعَالَى بِصِفَاتِهِ لَيْسَ كَالْبَشَرِ ، نَفْيًا لِلتَّشْبِيهِ عَقِيبَ الْإِثْبَاتِ ، يَعْنِي أَنَّ اللَّهَ تَعَالَى وَإِنْ وُصِفَ بِأَنَّهُ مُتَكَلِّمٌ ، لَكِنْ لَا يُوصَفُ بِمَعْنًى مِنْ [ ص: 207 ] مَعَانِي الْبَشَرِ الَّتِي يَكُونُ الْإِنْسَانُ بِهَا مُتَكَلِّمًا ، فَإِنَّ اللَّهَ لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
หลังจากดังกล่าวนั้น(หลังจากกล่าวว่า อัลกุรอ่านเป็นคำพูดของอัลลอฮจริงๆ) เขา(เช็คอัฏเฏาะหาวีย) ได้เตือนว่า อัลลอฮตะอาลานั้น ทรงคุณลักษณะด้วยบรรดาคุณลักษณะ ที่ไม่เหมือนมัคลูค เป็นการปฏิเสธการเปรียบเที่ยบว่าคล้ายคลึง (กับมัคลูค)หลังจากที่ได้ให้การรับรอง หมายความว่า แท้จริงอัลลอฮ ตะอาลา แม้ว่าพระองค์ทรงถูกให้มีคุณลักษณะ ว่า พระองค์ทรงพูด (มุตะกัลป์ลิมุน) แต่ พระองค์ ไม่ถูกให้มีคุณลักษณะ ด้วยความหมาย จากบรรดาความหมายของมนุษย์ ที่ปรากฏว่า มนุษย์ เป็นผู้ที่พูดด้วยมัน เพราะแท้จริง อัลลอฮ นั้น ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นผู้ได้ยิน ทรงเป็นผู้ที่เห็นยิ่ง – ดู ชัรหุอะกีดะฮอัฏฏอฮาวียะฮ เล่ม 1 หน้า 207
.............
คำอธิบายข้างต้นต้องการจะบอกว่า แม้ว่าเราจะพรรณนาคุณลักษณะให้แก่อัลลอฮ เช่น ผู้ทรงพูด (มุตะกัลป์ลิม) ก็ไม่ได้หมายความว่า
การ เป็นผู้พูดนั้น เหมื่อนกับ การเป็นผู้พูดของมนุษย์ หรือ เช่น เรา กล่าวว่า ทรงมีพระหัตถ์ /มือ ก็ไม่ได้หมายความว่า ทรงเหมือนกับมือตามความหมายมือของมนุษย์ หรือ การเป็นผู้ได้ยิน ก็จะไม่จินตนาการไปว่า ได้ยินด้วยหูเหมือนการได้ยินของมนุษย์ เป็นต้น เพราะไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์
ข้าง ต้นคือ คำอธิบายของปราชญ์ผู้รู้ จริง คนที่ถูกเรียกว่า วะฮบีย์ เขาแปลว่ามือตามความหมายจริง แต่เขาไม่ได้บอกว่าอัลลอฮมีมือเหมือนกับมือมนุษย์
และไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร และจะไม่ถามว่าเป็นอย่างไร เพราะเป็นสิ่งที่นอกเหนือจินตนาการ



มาดูอายะฮ ที่เจ้าของหนังสือ โจมตีวะฮบีย์ ชื่อ “อะกีดะฮ์พระเจ้ามีรูปร่าง จากยิวสู่ความเชื่อกลุ่มบิดอะฮ์ “ และในเว็บไซด์ของเขา
ได้ตั้งหัวข้อว่า “อะกีดะฮ์อัลเลาะฮ์มีรูปร่างของวะฮาบีย์ที่เรียกตนเองว่า"ชาวซุนนะฮ์”
เขากล่าวว่า
พระองค์ทรงตรัสว่า

وَاتَّخَذَ قَوْمُ مُوسَى مِن بَعْدِهِ مِنْ حُلِيِّهِمْ عِجْلاً جَسَداً لَّهُ خُوَارٌ

"และ พวกพร้องของมูซา ภายหลังจากเขา (ได้ขึ้นไปยังภูเขาฏูรซีนาแล้ว) ก็จัดการหลอมจากเครื่องประดับ (ทอง) ของพวกเขาเป็นรูปลูกโคที่มีเรือนร่าง อีกทั้งมีเสียงร้องด้วย (เพื่อทำการกราบไว้บูชา)" อัลอะอฺร็อฟ : 148

พระองค์ทรงตรัสเช่นกันว่า

فَأَخْرَجَ لَهُمْ عِجْلاً جَسَداً لَهُ خُوَارٌ فَقَالُوا هَذَا إِلَهُكُمْ وَإِلَهُ مُوسَى فَنَسِيَ

"แล้ว เขา (ซามีรี) ก็นำรูปโคทองออกมาให้พวกเขา มีร่างกายของมัน (ครบถ้วน) อีกทั้งส่งเสียงร้อง พวกเขาจึงกล่าวว่า นี่แหละคือพระเจ้าของพวกท่าน และพระเจ้าของมูซาแต่เขาลืมเสียแล้ว" ฏอฮา : 88
อัลเลาะฮ์ ตะอาลา ทรงประสงค์ที่จะย้ำเตือนให้เราตระหนัก ถึงคุณลักษณะอันบกพร่องของลูกโคที่ถูกกราบไว้ที่ไม่บังควรสำหรับการถูกนำมา เป็นพระเจ้าว่า คือมันเป็น جَسَداً "เรือนร่าง รูปร่าง ร่างกาย"
....................
ขอชี้แจงว่า คำว่า เรื่อนร่าง ข้างต้น หมายเรือนร่างของ รูปปั้นลูกวัว ที่พวกเขาบูชา ไม่มีหะดิษ และนักวิชาการชาวสะลัฟคนใด
นำเอาอายะฮนี้มาเป็นหลักฐานในการปฏิเสธ (นัฟยุน)ว่า พระเจ้าไม่เป็นเรือนร่าง หรือมาเป็นหลักฐานรับรอง(อิษบาตร)ว่าพระเจ้ามีเรือนร่าง



ส่วนคำอธิบายของอิบนุญะรีรที่ที่เขานำมาอ้างคือ
ท่านอิบนุ ญะรีร อัฏฏ็อบบีย์ ได้กล่าวอธิบายว่า
يُخْبِر جَلَّ ذِكْره عَنْهُمْ أَنَّهُمْ ضَلُّوا بِمَا لَا يَضِلّ بِمِثْلِهِ أَهْل الْعَقْل , وَذَلِكَ أَنَّ الرَّبّ جَلَّ جَلَاله الَّذِي لَهُ مُلْك السَّمَوَات وَالْأَرْض وَمُدَبِّر ذَلِكَ , لَا يَجُوز أَنْ يَكُون جَسَدًا لَهُ خُوَار
"อัลเลาะฮ์ ตะอาลา ทรงบอกเล่าถึงพวกบนีอิสรออีลว่า พวกเขามีความลุ่มหลง ด้วยกับสิ่งที่ผู้มีสติปัญหาจะไม่หลุ่มหลงเฉกเช่นนี้ ดังกล่าวก็คือ อัลเลาะฮ์ตะอาลาซึ่งเป็นผู้เอกสิทธิ์ในการปกครองบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินและ เป็นผู้บริหารสิ่งดังกล่าวนั้น ไม่อนุญาตสำหรับพระองค์ในการเป็นเรือนร่าง ที่มีการส่งเสียงร้อง" ตัฟซีรอัฏฏ็อบรีย์ ซูเราะฮ์ อัลอะอฺร็อฟ : 148
…………….
ขอชี้แจงว่า......ข้างต้น เป็นการอธิบายว่า เป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าผู้มีเอกสิทธิ์ในการปกครองบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน นั้น เป็นเรือนร่าง ที่มีการส่งเสียงร้อง
และ การเชื่อตามที่อัลลอฮ ตรัสบอกไว้ ในการพรรณนาคุณลักษณะของพระองค์ เช่น ทรงมีพระหัตถ์ ไม่ได้หมายถึง การเชื่อว่าพระเจ้ามีอวัยวะเหมือนมัคลูค ตามความเข้าใจของอะชาอีคนนี้
มาดูอายะฮนี้ คำอธิบายอายะฮต่อไปนี้ของอิบนุญะรีร

قَالَ يَا إِبْلِيسُ مَا مَنَعَكَ أَنْ تَسْجُدَ لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ أَسْتَكْبَرْتَ أَمْ كُنْتَ مِنَ الْعَالِينَ

พระองค์ ตรัสว่า “อิบลีสเอ๋ย อะไรเล่าที่ขัดขวางเจ้ามิให้เจ้าสุญูดต่อสิ่งที่ข้าได้สร้างด้วยมือทั้งสอง ของข้า ? เจ้าเย่อหยิ่งจองหองนักหรือ หรือว่าเจ้าอยู่ในหมู่ผู้สูงส่ง – ศอด/47

ท่านอิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ อธิบายว่า

( لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ ) يَقُولُ : لِخَلْقِ يَدَيَّ ، يُخْبِرُ - تَعَالَى ذِكْرُهُ - بِذَلِكَ أَنَّهُ خَلَقَ آدَمَ بِيَدَيْهِ .

ต่อ สิ่งที่ข้าได้สร้างด้วยมือทั้งสองของข้า) เขากล่าวว่า ต่อการสร้างของสองมือของข้า ,ผู้ซึ่งการสดุดีพระองค์ สูงส่งยิ่ง ได้บอกด้วยดังกล่าว ว่า แท้จริงพระองค์ทรงสร้างอาดัม ด้วยสองมือของพระองค์
.................. อิบนุญะรีร บอกว่า อัลลอฮสร้างอาดัม ด้วยสองมือของพระองค์ โดยท่านไม่ได้ตีความ แบบนี้หมายว่า มีอะกีดะฮว่าพระเจ้ามีรูปร่างตามการโจมตีของเจ้าของตาราข้างต้นอย่างนั้น หรือ



อิหม่ามอัดดารีมีย์ (ฮ.ศ.280) กล่าวว่า

أخبرنا الله في كتابه أنه ذو سمع، وبصر، ويدين، ووجه، ونفس، وعلم، وكلام، وأنه فوق عرشه فوق سماواته، فآمنا بجميع ما وصف به نفسه كما وصفه بلا كيف) اهـ.

อัล ลอฮทรงบอกเราในคัมภีร์ของพระองค์ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ได้ยิน ,ทรงเป็นผู้เห็น ,ทรงมีสองมือ,ใบหน้า .ทรงมีตัวตน, ทรงรู้ ,ทรงพูด และแท้จริง พระองค์ทรงอยู่เหนือบัลลังค์ของพระองค์ เหนือบรรดาชั้นฟ้าของพระองค์ ดังนั้นเราศรัทธา ทั้งหมดสิ่งที่ทรงพรรณนาคุณลักษณะให้แก่ตัวของพระองค์ด้วยมัน เหมือนกับที่ทรงพรรณนาคุณลักษณะไว้ โดยไม่อธิบายรูปแบบวิธีการว่าเป็นอย่างไร – อัรรอด อะลัลมะรีสีย์ เล่ม 1 หน้า 428
ข้าง ต้นคืออะกีดะฮสะลัฟ แต่มีคนเก่งยุคนี้บอกว่า เป็นความเชื่อแบบยิว เพราะ ไปเชื่อว่า พระเจ้ามีทรงมีสองมือ,ใบหน้า .ทรงมีตัวตน ก็เท่ากับว่า มีเรื่อนร่าง ...ตามที่ท่านครูอ้าง



ในตำรา ชื่อ อะกีดะฮ์พระเจ้ามีรูปร่าง จากยิวสู่ความเชื่อกลุ่มบิดอะฮ์ หน้า 53 ได้อ้างคำพูดอิหม่ามนะวาวีย์ (ร.ฮ)ว่า
مذهب معظم السلف أو كلهم أنه لا يتكلم في معناها , بل يقولون يجب علينا أن نؤمن بها ونعتقد لها معنى يليق بجلال الله تعالى وعظمته مع اعتقادنا الجازم أن الله ليس كمثله شيء وأنه منزه عن التجسيم والإنتقال والتحيز في جهة وعن سائر صفات المخلوق وهذا القول هو مذهب جماعة من المتكلمين واختاره جماعة من محققيهم وهو أسلم

คือ มัซฮับส่วนมากของสะลัฟหรือทั้งหมด กล่าวคือ จะไม่มีการพูดกันในความหมายของมัน แต่พวกเขากล่าวว่า จำเป็นบนเราต้องศรัทธาเชื่อด้วยกับมัน(บรรดาอายะฮ์และหะดิษซีฟาต) และเราเชื่อมั่นกับความหมายที่เหมาะสมกับความเกรียงไกรและความยิ่งใหญ่ของ อัลเลาะฮ์ ตะอาลา พร้อมกับให้เราเชื่อมั่นว่า แท้จริงอัลเลาะฮ์ ตะอาลา "ไม่มีผู้ใดที่มาคล้ายเหมือนกับพระองค์" และพระองค์ทรงปราศจากการเป็นร่างกาย(ตัวตน) ปราศจากการเคลื่อนย้าย ปราศจากการอยู่ในทิศใดทิศหนึ่ง และปราศจากการเหมือนบรรดาคุณลักษณะอื่น ๆ ของบรรดามัคโลค และนี้คือทัศนะคำกล่าวของมัซฮับกลุ่มหนึ่งจากอุลามาอ์กะลาม และกลุ่มหนึ่งจากอุลามาอ์กะลามที่ทรงความรู้อันแน่นแฟ้นได้เลือกเฟ้น และมันคือทัศนะที่ปลอดภัยกว่า" ชัรหุมุสลิม เล่ม 3 หน้า 19

……………………..

ข้างต้น เป็นคำอธิบายของอิหม่ามนะวาวีย์ข้างต้น ที่อ้างว่า
وأنه منزه عن التجسيم والإنتقال والتحيز في جهة
และพระองค์ทรงปราศจากการเป็นร่างกาย(ตัวตน) ปราศจากการเคลื่อนย้าย ปราศจากการอยู่ในทิศใดทิศหนึ่ง
..............
ข้อ ความข้างต้นเป็นความเห็นของท่านอิหม่ามนะวาวีย์เองไม่ใช่ทัศนะของปราชญ์ชาว สะลัฟ เพราะไม่มีสะลัฟคนใด กล่าวถึง คำว่าอัลลอฮ “เป็นมวลสารหรือรูปร่าง ในเชิงรับรอง(อิษบาตร)และ ในเชิงปฏิเสธ และคำว่า “ทิศ” ก็เช่นเดียวกัน สะลัฟไม่ได้กล่าวถึงคำนี้
ดังอิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ ซึ่งเป็นปราชญ์ตัฟสีรที่มีแนวคิดเอนเอียงไปทางอะชาอิเราะฮ ได้ยืนยันไว้คือ
وَقَدْ كَانَ السَّلَف الْأَوَّل رَضِيَ اللَّه عَنْهُمْ لَا يَقُولُونَ بِنَفْيِ الْجِهَة وَلَا يَنْطِقُونَ بِذَلِكَ , بَلْ نَطَقُوا هُمْ وَالْكَافَّة بِإِثْبَاتِهَا لِلَّهِ تَعَالَى كَمَا نَطَقَ كِتَابه وَأَخْبَرَتْ رُسُله
บรรดา สลัฟยุคแรก (ร.ฎ) พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธ คำว่า"ทิศ" และพวกเขาไม่ได้พูดมัน ในทางตรงกันข้าม พวกเขาเองทั้งหมด ต่างก็กล่าวรับรอง มัน(ทิศ) แก่อัลลอฮ (ซ.บ) ดังที่ คัมภีร์ของพระองค์ได้กล่าวเอาไว้และบรรดารซูลของพระองค์ได้บอกเอาไว้ - - อัลญามิอุนอะหกามอัลกุรอ่าน 7/219
ส่วนการปฏิเสธทิศ เกี่ยวกับอัลลอฮนั้น ไม่ใช่ทัศนะสะลัฟ



ส่วน การปฏิเสธทิศ เกี่ยวกับอัลลอฮนั้น ไม่ใช่ทัศนะสะลัฟ แต่เป็นแนวติดนักปรัชญาเทวนิยมหรือมุตะกัลป์ลิมีน (พวกใช้เหตุผลหรือ ตรรกอธิบายเรื่องอะกีดะฮ)ซึ่งท่านอิหม่ามนะวาวีย์ได้ยืนยันไว้เช่นกัน และ อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ได้ยืนยันไว้ด้วยคือ
عِنْد عَامَّة الْعُلَمَاء الْمُتَقَدِّمِينَ وَقَادَتهمْ مِنْ الْمُتَأَخِّرِينَ تَنْزِيهه تَبَارَكَ وَتَعَالَى عَنْ الْجِهَة , فَلَيْسَ بِجِهَةِ فَوْق عِنْدهمْ ; لِأَنَّهُ يَلْزَم مِنْ ذَلِكَ عِنْدهمْ مَتَى اِخْتَصَّ بِجِهَةٍ أَنْ يَكُون فِي مَكَان أَوْ حَيِّز , وَيَلْزَم عَلَى الْمَكَان وَالْحَيِّز الْحَرَكَة وَالسُّكُون لِلْمُتَحَيِّزِ , وَالتَّغَيُّر وَالْحُدُوث . هَذَا قَوْل الْمُتَكَلِّمِينَ
ใน ทัศนะของบรรดานักปราชญ์ยุคก่อนทั่วไปและผู้ที่ตามพวกเขาจากบรรดาคนยุคหลัง คือ การให้อัลลอฮ ตะอาลาบริสุทธิ์ จากทิศ เพราะไม่ใช่ทิศเบื้องบนในทัศนะของพวกเขา เพราะในทัศนะของพวกเขา เมื่อจำกัดทิศ แน่นอนพระองค์จะต้องอยู่ในสถานที่หรืออาศัยอยู่ และบนสถานที่และการอาศัยอยู่นั้น จะต้องมีการเคลื่อนไหวและหยุดนิ่ง สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ และ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงและการบังเกิดขึ้นใหม่ นี้คือ ทัศนะของพวกมุตะกัลป์ลิมีน” – จากตัฟสีรเล่มเดียวกัน
................
กล่าวคือ ชาวสะลัฟ ไม่ได้พูดถึง คำว่า "ทิศ" เกี่ยวกับอัลลอฮ ไม่ว่าในด้านที่ยอมรับหรือปฏิเสธ...แล้วอ้างได้อย่างไรว่าเป็นทัศนะสะลัฟ



คำ ว่า “รูปร่าง”หรือเป็นรูปร่าง ก็เช่นเดียวกัน ชาวสะลัฟไม่ได้พูดถึง แต่เป็นคำที่อุตริขึ้นมา อธิบายเกี่ยวกับสิฟัตอัลลอฮ ของคนยุคหลังเท่านั้น ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ กล่าวว่า
ليس في كتاب الله ولا سنة رسول الله صلى الله عليه وسلم ولا قول أحد من سلف الأمة وأئمتها أنه ليس بجسم وأن صفاته ليست أجساما وأعراضا فنفي المعاني الثابتة بالشرع بنفي ألفاظ لم ينف معناها شرع ولا عقل جهل وضلال
ไม่ ปรากฏในคัมภีร์อัลลอฮ และสุนนะฮรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ และไม่ปรากฏคำพูดคนหนึ่งคนใดจากอุมมะฮยุคสะลัฟ และบรรดาอิหม่ามของพวกเขา ว่า แท้จริงพระองค์ ไม่ใช่รูปร่าง/มวลสาร และ(ไม่มีผู้ใดที่กล่าวมา กล่าวว่า)แท้จริงบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ ไม่ใช่บรรดามวลสาร/รูปร่างและบรรดาสิ่งของ ดังนั้น การปฏิเสธ บรรดาความหมายที่ยืนยันด้วยบทบัญญัต ด้วย การปฏิเสธ บรรดาถ้อยคำ ที่ บทบัญญัติ(หมายถึงอัลลอฮและรอซูล)และสติปัญญาไม่ได้ปฏิเสธความหมายของมัน นั้น คือ ความงี่เง้าและหลุ่มหลง – ดู บะยานตัลบิสอัลญะมียะฮ เล่ม 1 หน้า 101
...........
กล่าวคือ ไม่มีสะลัฟคนใดกล่าวว่า อัลลอฮ เป็นมวลสาร หรือไม่เป็นมวลสาร(รูปร่าง) และการปฏิเสธความหมายของบรรดาถ้อยคำที่อัลลอฮและรอซูลได้ยืนยันไว้ และไม่ได้ปฏิเสธความหมายของมันนั้น ถือเป็นความโง่เขลาและหลุ่มหลง
.......
เพราะฉะนั้น การเขียนตำราให้ชาวบ้านไม่รู้อิโหน่อิเหน่อ่านมันอันตราย โดยเฉพาะการบิดเบือน



อิบนุตัยมียะฮ กล่าวว่า
قال ابن تيمية :" من المعلوم أن السنة والإجماع لم تنطق بأن الأجسام كلها محدثة وأن الله ليس بجسم ولا قال ذلك إمام من أئمة المسلمين"
เป็นที่รู้กันว่า แท้จริงอัสสุนนะฮและอัลอิจญมาอฺ นั้น ไม่ได้พูดว่า บรรดาสิ่งที่เป็นมวลสาร(หรือรูปร่าง)ทั้ง หมดนั้น เป็นสิ่งที่ถูกให้บังเกิดใหม่ และ(ไม่ได้พูด)ว่าแท้จริง อัลลอฮ ไม่ใช่เป็นรูปร่าง และไม่มีอิหม่ามหนึ่งคนใดจากบรรดาอิหม่ามแห่งมวลมุสลิม กล่าวถึงดังกล่าวนั้น – บะยานตัลบิสอัลญะฮมียะฮ เล่ม 1 หน้า 118 สำนักพิมพ์อัลหุกูมะฮ เมืองมักกะ ฮ.ศ 1391
.............
สรุปว่า คนที่อ้างว่าอัลลอฮ ไม่เป็นรูปร่าง เป็นการพูดล้ำหน้า อัสสุนนะฮ และอัลอิจญมาอฺ ไม่มีอายะฮและอัสสุนนะฮสักบทเดียว ที่บอกและอธิบายว่า อัลลอฮ ไม่ใช่รูปร่าง หรือ เป็นรูปร่าง แต่สิ่งเหล่านี้มาจากนักจินตนาการ ที่ไปคิดว่า อัลลอฮเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนี้ ทั้งๆที่พระองค์ทรงอยู่เหนือจินตนาการ



ในตำรา ชื่อ อะกีดะฮ์พระเจ้ามีรูปร่าง จากยิวสู่ความเชื่อกลุ่มบิดอะฮ์ หน้า 53 ได้อ้างคำพูดอิหม่ามนะวาวีย์ (ร.ฮ)ว่า
ที่ว่า
وأنه منزه عن التجسيم والإنتقال والتحيز في جهة
และพระองค์ทรงปราศจากการเป็นร่างกาย(ตัวตน) ปราศจากการเคลื่อนย้าย ปราศจากการอยู่ในทิศใดทิศหนึ่ง
………….
ชี้แจง
ตามที่ผมได้ชี้แจงไปแล้วว่า คำพูดข้างต้นเป็นเป็นความเห็นของอิหม่ามนะวาวีย์ ไม่ใช่ทัศนะสะลัฟ
หนึ่ง – เพราะสะลัฟ ไม่ปรากฏพวกเขาพูดถึง คำว่า “อัจญตัจญซีม”เลย ขอนำหลักฐานต่อไปนี้
สลัฟยุคท่านนบี ศอลฯและยุตเศาะหายบะฮ เขาไม่ได้ พูดถึงมุญัสสิมะฮนะครับ ดูในหนังสือ
( เอียะติกอดอะอิมมะติลหะดิษ )ของ อบูบัก อัลอิมาอีลีย์ (ประวัติให้ดูจาก ( البداية والنهاية 11/317
มีคำดัชนี อธิบายคำว่า “มุญัสสิมะฮ ว่า
التجسيم من الألفاظ المجملة المحدثة التي أحدثها أهل الكلام ، فلم ترد في الكتاب والسنة ولم تعرف عن أحد من الصحابة والتابعين وأئمة الدين ، فلذلك لا يجوز إطلاقها نفيا ولا إثباتا ، فإن الله لا يوصف إلا بما وصف به نفسه أو وصفه به رسوله صلى الله عليه وسلم نفيا أو إثباتا
อัตตัจญซีม เป็นส่วนหนึ่งของบรรดา ถ้อยคำที่สรุป ที่ถูกประดิษขึ้นมา โดยนักวิภาษวิทยา (พวกอธิบายวิชาอะกีดะฮด้วยความเห็น) ดังนั้น มัน(คำนี้)จึงไม่ปรากฏในอัล-กิตาบ(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ ไม่เป็นที่ยืนยันจากคนหนึ่งคนใดจากบรรดาสาวกของท่านนบี บรรดาตาบิอีน และบรรดาผู้นำศาสนา ดังกล่าวนั้น จึงไม่อนุญาตให้อ้างถึงมัน ในการปฏิเสธ และในการรับรอง แท้จริงอัลลอฮนั้น ไม่ได้ถูกกล่าวคุณลักษณะ นอกจากด้วยคุณลักษณะที่พระองค์ได้แจงคุณลักษณะนั้นให้แก่ตัวของพระองค์เอง หรือ ศาสนทูตของพระองค์(ศอลฯ)ได้แจงคุณลักษณะนั้น ในการปฏิเสธ หรือ การรับรอง(ให้แก่อัลลอฮ)
.........
อินชาอัลลอฮ จะอธิบายคำว่า
والإنتقال
โปรดติดตาม



ในตำรา ชื่อ อะกีดะฮ์พระเจ้ามีรูปร่าง จากยิวสู่ความเชื่อกลุ่มบิดอะฮ์ หน้า 53 ได้อ้างคำพูดอิหม่ามนะวาวีย์ (ร.ฮ) ที่ว่า
وأنه منزه عن التجسيم والإنتقال والتحيز في جهة
และพระองค์ทรงปราศจากการเป็นร่างกาย(ตัวตน) ปราศจากการเคลื่อนย้าย ปราศจากการอยู่ในทิศใดทิศหนึ่ง

……………………..
ชี้แจง
คำว่า
والإنتقال
ซึ่งแปลว่า การเคลื่อนย้าย
การอ้างว่า ชาวสะลัฟ กล่าวว่า อัลลอฮบริสุทธิ์จากการเคลื่อนย้ายก็ไม่ใช่อะกีดะฮสะลัฟเช่นกัน
รายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ ว่า ท่านรซูลุลอฮ วอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า
يَنْزِلُ رَبُّنَا تَبَارَكَ وَتَعَالَى كُلَّ لَيْلَةٍ إِلَى السَّمَاءِ الدُّنْيَا حِينَ يَبْقَى ثُلُثُ اللَّيْلِ الآخِرُ يَقُولُ: مَنْ يَدْعُونِي فَأَسْتَجِيبَ لَهُ مَنْ يَسْأَلُنِي فَأُعْطِيَهُ مَنْ يَسْتَغْفِرُنِي فَأَغْفِرَ لَهُ
พระ ผู้อภิบาลของเรา ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเสด็จลงมายังฟากฟ้าดุนยา ทุกๆค่ำคืน จนกระทั้งเหลือแค่ 1 ใน 3 สุดท้ายของกลางคืน โดยพระองค์จะทรงกล่าวว่า “ ผู้ใดวิงวอนต่อข้า ดังนั้นข้าจะตอบรับเขา และผู้ใดขอต่อข้า ข้าก็จะให้เขา และผู้ใดขออภัยโทษต่อข้า ก็ก็จะอภัยโทษแก่เขา
رواه البخاري (1145) و (6321) و(7494)، ومسلم (758
………
ท่านอัล-อาญะรีย์ ได้กล่าวว่า
والإيمان بهذا واجب لا يسع المسلم العاقل أن يقول كيف ينزل , ولا يرد هذا إلا المعتزلة

และ การศรัทธา ต่อเรื่องนี้นั้น เป็นวาญิบ ไม่เปิดโอกาสให้มุสลิมผู้มีสติปัญญา กล่าวว่า พระองค์ทรงเสด็จลงมาอย่างไร และไม่มีใครปฏิเสธ สิ่งนี้ นอกจากพวกมุอฺตะซิละฮ - กิตาบุชชะรีอะฮ หน้า 306 บทว่าด้วยเรื่อง
باب الإيمان والتصديق بأن الله عزوجل ينزل إلى السماء الدنيا كل ليلة
อบูนัศรุสสัจญซีย์ กล่าวว่า

"أئمتنا كسفيان الثوري ومالك وحماد بن سلمة وحماد بن زيد وسفيان بن عيينة والفضيل وابن المبارك وأحمد وإسحاق متفقون على أن الله سبحانه بذاته فوق العرش وعلمه بكل مكان وأنه ينزل إلى السماء الدنيا وأنه يغضب ويرضى ويتكلم بما شاء

อิหม่าม ของเรา เช่น สุฟยาน อัษเษารีย์ ,มาลิก,หัมมาด บุตร สะละมะฮ ,หัมมาด บุตร ซัยดฺ,สุฟยาน บุตร อุญัยนะฮ ,อัลฟะฎีล,อิบนุ้ลมุบารอ็ก,อะหมัดและอิสหาก พวกเขาเห็นฟ้องกันว่า อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ด้วยซาต(ตัวตน)ของพระองค์ อยู่บนอะรัช ,ความรอบรู้ของพระองค์ครอบคลุมทุกสถานที่ ,แท้จริง พระองค์ทรงเสด็จลงมายังฟากฟ้าดุนยา ,พระองค์ทรงกริ้ว,ทรงพอพระทัยและทรงพูด ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ "

المختصرالعلو ص 266وينظر سير أعلام النبلاء17/656
...............
คนที่เชื่อตามหะดิษ ถูกกล่าวหาว่า เป็นบิดอะฮ แล้วที่ไม่ตามหะดิษจะเรียกอะไรดี
_________________





อาจารย์อาชาอิเราะฮเจ้าเก่าอ้างว่า
วะ ฮ์ฮาบี นั้น พวกเขาจะยึดคุณลักษณะของอัลลอฮ์ในเชิงที่เป็นรูปประธรรม และในเชิงที่บกพร่อง พวกเขาจะให้ความหมายภายนอกตามตัวบทจากอัลกุรอ่านและอัลหะดีษ โดยไม่สนใจการอธิบายความตัวบทดังกล่าวจากอุลามาอฺอะลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ทั้งในยุคสะลัฟและค่อลัฟ
เช่น พวกเขา(วะฮ์ฮาบี)เชื่อมั่นว่า อัลลอฮฺทรงมีมือที่เป็นสัดส่วน ทรงมีใบหน้า ลูกตา มีอวัยวะ ทรงหัวเราะและเคลื่อนไหวไปมา โดยคำลงท้ายอันสวยหรูจากพวกเขาว่า ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนกับพระองค์
……………..

พยา ยายามชง เพื่อให้ร้ายวะฮบีย์ ความจริงผู้ที่ถูกฉายาว่าวะฮบีย์ ได้ยืนยัน คำว่า หน้า มือ ตา และอื่นๆ ตามที่อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ได้นำมา ไม่เคยบอกว่า มันคือ อวัยวะของอัลลอฮ และไม่เคยอธิบายว่า มีอวัยวะเหมือนกับมัคลูค
การ ยืนยันสิ่งเหล่านี้โดยไม่ตีความ และไม่ไปเปรียบกับมัคลูค นั้น ไม่ใช่เป็นการตัชบีฮ (ไม่ใช่การเปรียบเทียบว่าคล้ายคลึงมัคลูค) อย่างที่พวกมุอตะซิละฮอ้าง
อะบุลกอซิม อิสมาอีล อัลอัศบะฮานีย์ (ฮ.ศ 535) กล่าวว่า
وليس في إثبات الصفات ما يُفضي إلى التشبيه، كما أنه ليس في إثبات الذات ما يفضي إلى التشبيه، وفي قوله : {ليس كمثله شيْءٌ} دليل على أنه ليس كذاته ذات، ولا كصفاته صفات.)
การ ยืนยันบรรดาสิฟาต ไม่ใช่สิ่งที่นำไปสู่การตัชบีฮ(การเปรียบว่าคล้ายคลึงมัคลูค) ดังที่ การยืนยันซาต(หมายถึงยืนยันตัวตนของอัลลอฮ) ก็ไม่ใช่สิ่งที่นำไปสู่การตัชบีฮ (การเปรียบว่าคล้ายคลึงมัคลูค) และในคำตรัสของพระองค์ที่ว่า “(ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์) คือหลักฐาน แสดงแสดงบอกว่า ซาต(ตัวตน)ของพระองค์ไม่เหมือน บรรดาตัวตน(มัคลูค)และบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ ไม่เหมือนบรรดา คุณักษณะของมัคลูค
الحجة في بيان المحجة لاسماعيل الأصبهاني (ج2 ص186)



ท่านครูอ้างว่า
ท่าน อิบนุชาฮีน ซึ่งเป็นปราชญ์อะลุสซุนนะฮ์ของเรา และเป็นมิตรสหายของท่านอิหม่ามอัดดารุกุฏนีย์ ได้กล่าวเกี่ยวกับกลุ่มฮัมบะลีย์นอกคอกว่า
رجلان صالحان بليا بأصحاب سوء : جعفر بن محمد وأحمد بن حنبل
“ บุรุษผู้มีคุณธรรมสองท่านที่ถูกทดสอบด้วยกับบรรดาสานุศิษย์ที่ไม่ดี(เลว) คือ ท่านญะฟัร บิน มุฮำหมัด (ฮัศศอดิก) และท่านอะห์หมัด บิน ฮัมบั้ล (หัวหน้ามัษฮับฮัมบาลีย์ที่วะฮ์ฮาบีปัจจุบันแอบอ้างท่าน) ”
อิบนุอะซากิร , ตับยีนุ้ลมุฟตะรีย์ หน้า 163
…………………..

ชี้แจง
……
การ นำข้อความข้างต้น มาโจมตีวะฮบีย์ ว่าพวกวะฮบีนอกคอกแบบอ้างอะกีดะฮอิหม่ามอะหมัด ความจริง คนที่แอบอ้างว่าเป็นกะกีดะฮอิหม่ามอะหมัด น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ ตีความ อายาตหรือหะดิษสิฟาต และปฏิเสธการอยู่เบื่องสูงของอัลลอฮมากกว่า
อิหม่ามอะหมัด( ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
أصول السنة عندنا التمسك بما كان عليه أصحاب رسول الله صلى الله عليه وسلم، والاقتداء بهم وترك البدع، وكل بدعة فهي ضلالة،
“ราก ฐานอัสสุนนะฮ ในทัศนะของเราคือ การยึดมั่น ด้วยสิ่งที่บรรดาเศาะหาบะฮของรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ยืนหยัดอยู่บนมัน ปฏิบัติตามพวกเขา , ทิ้งบรรดาบิดอะฮ และทุกบิดอะฮ มันคือ การหลงผิด,
– ชัรหุอุศูลอัลเอียะติกอด อะฮลิสสุนนะฮ เล่ม 1 หน้า 156
ในทัศนะอิหม่ามอะหมัด บิดอะฮนั้น เป็นการหลงผิด แต่ทัศนะของคนกล่าวหาวะฮบีย์ เชื่อว่า บิดอะฮนั้น มีบิดอะฮที่ดี
.وأورد ابن أبي يعلى عن عبد الله بن أحمد قال: سألت أبي عن قوم يقولون: لما كلّم الله موسى لم يتكلم بصوت فقال أبي: تكلم الله بصوت وهذه الأحاديث نرويها كما جاءت.
.ท่าน อิบนุอะบียะอฺลาได้รางานจากท่านอับดุลลอฮฺ บิน อะหฺมัด ท่านกล่าวว่า: “ฉันเคยถามบิดาของข้าพเจ้า(อิหม่ามอะหฺมัด)ถึงกลุ่มคนที่อ้างว่า “ขณะที่พระองค์อัลลอฮฺทรงดำรัสกับมูสา อะลัยฮิสลาม พระองค์ไม่ได้ตรัสด้วยเสียง” บิดาข้าพเจ้าตอบว่า: “พระองค์อัลลอฮฺนั้น ตรัสด้วยเสียง และบรรดาหะดีษดังกล่าวนี้เรารายงานมัน ตามที่มีระบุมา””
(หนังสือ เฏาะบะกอต อัล-หะนาบิละฮฺ เล่ม1 หน้าที่185)
- อิหม่ามอหมัด เชื่อว่า อัลลอฮตรัสด้วยเสียง แต่คนที่กล่าวหาวะฮบีย์ว่าเป็นพวกนอกคอก ปฏิเสธ และไม่สามารถหาหลักฐานมาแก้ต่างได้จนถึงขณะนี้
.جاء في كتاب الرد على الجهمية للإمام أحمد قوله: وزعم جهم بن صفوان أن من وصف الله بشيء مما وصف به نفسه في كتابه أو حدّث عن رسوله كان كافرًا وكان من المشبهة.
(الرد على الجهمية ص104)
มี ระบุในหนังสือ อัร-ร็อด อะลา อัล-ญะฮฺมียะฮฺ ของอิหม่าม อะหฺมัด เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ ความว่า: “และ ญะฮฺม์ บิน ศอฟวาน ได้อ้างว่า: และผู้ใดให้คุณลักษณะแก่อัลลอฮฺด้วยสิ่งหนึ่งจากสิ่งที่พระองค์ได้ให้ลักษณะ แก่ตัวพระองค์ไว้ ซึ่งที่มีระบุในอัล-กุรอ่านและที่เราะสูลเล่าไว้ แน่นอนเขาเป็นผู้ปฏิเสธ และเป็นพวก มุชับบิฮะฮฺ (ผู้เปรียบเทียบพระเจ้ากับมนุษย์)”(หนังสือ อัรร็อด อะลา อัล-ญะฮฺมียะฮฺ หน้าที่ 104)
- อิหม่ามอะหมัด บอกว่า หัวหน้าพวกยะฮมียะฮ คือ ญะฮฺม์ บิน ศอฟวาน อ้างว่าใครยืนยันสิฟาตตามตัวบท เป็นกาเฟรและเป็นพวกผู้เปรียบเทียบพระเจ้ากับมนุษย์(มุชับบะฮะฮ) ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาเดียวกันที่โต๊ะครูคนนี้ นำมากล่าวหาวะฮบีย์ โดยบอกว่าใครยืนยันความหมายตามตามตัวบท เป็นพวกที่ให้รูปร่างแก่อัลลอฮ หรือ พวกมุญัสสิมะฮ


.................................................................
รวบรวมโดย ทหารของอัลลอฮฺ แบบฉบับนบี




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น