อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สงครามช้างเพื่อทำลายกะอฺบะห์


*เมื่อสิบสี่ศตวรรษที่ผ่านมาแล้ว ได้มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ณ คาบสมุทรอาหรับ เหตุการณ์นี้สร้างความอัศจรรย์ใจให้กับผู้รู้เห็น เป็นเหตุการณ์ที่ประกาศให้โลกได้รับรู้ถึงการถือกำเนิดของท่านนบีมุฮัมหมัด(ศ้อลฯ) บุตรของอับดิลลาห์ ขณะนั้นอับรอฮะห์เป็นกษัตริย์ มีอำนาจปกครองเมืองเยเมน เดิมทีกษัตริย์ท่านนี้เป็นชาวฮะบะชะห์ (เอธิโอเปียปัจจุบัน) โดยกำเนิด เขาเป็นคนที่มีรูปร่างใหญ่โต ผิวดำ มีรอยบากที่หน้าตั้งแต่หน้าผากถึงใต้คาง บาดแผลนี้เกิดขึ้นในขณะทำสงคราม กล่าวคือ เมื่อชาวฮะบะชะห์เข้ามายึดครองเมืองเยเมน เกิดการแย่งอำนาจกันขึ้นระหว่างแม่ทัพกับอับรอฮะห์ ทั้งสองคนปะทะกัน อับรอฮะห์ถูกฟันที่หน้า ส่วนแม่ทัพถูกสังหาร จึงเหลือแต่อับรอฮะห์เป็นผู้กุมอำนาจเพียงผู้เดียว

*ฝ่ายเจ้าเมือง ฮะบะชะห์ เมื่อรู้ข่าวว่าแม่ทัพถูกฆ่าตายด้วยมือของอับรอฮะห์ผู้เป็นทาสก็โกรธมาก เขาสาบานว่า จะต้องบุกเข้าเยเมน ถลกหนังหัวอับรอฮะห์ให้ยอมจำนนต่อรัฐบาลฮะบะชะห์ให้ได้ และจะต้องนำเขามาลงโทษในฐานะผู้หักหลัง

*แต่อับรอฮะห์นั้นนอกจากจะเป็นผู้ที่โหดเหี้ยมแล้ว ยังมากไปด้วยเล่ห์ เขาจึงคิดหาลู่ทางว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองรอดพ้นจากการอาฆาตของกษัตริย์แห่งฮะบะชะห์ เขาได้นำเอาดินจากเมืองเยเมนใส่กระสอบ ตัดเส้นผมของเขาใส่ลงไว้ด้วย แล้วส่งไปกษัตริย์แห่งฮะบะชะห์ พร้อมกับสาส์นหนึงฉบับมีข้อความว่า :

*“ข้าแต่มหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ความจริงข้าพเจ้าไม่ได้กระทำการอันเป็นที่ระคายคายเคืองอำนาจของพระองค์แต่อย่างใด ที่ข้าพเจ้าต้องสังหารแม่ทัพนั้นเพราะว่าแม่ทัพต้องการจะขึ้นครองอำนาจในเยเมน และเป็นกบฏต่อรัฐบาลฮะบะชะห์ และเพื่อข้าพเจ้าจะได้รักษาเลือดเนื้อของพี่น้องชาวฮะบะชะห์ไว้ จึงต้องเข้าจัดการสังหารแม่ทัพด้วยตัวข้าพเจ้าเอง และพร้อมกับสาสน์ฉบับนี้ ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ตัวของข้าพเจ้าและผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองของข้าพเจ้านั้น ต่างก็อยู่ภายใต้อำนาจรัฐของพระองค์ทุกประการ และเพื่อรับประกันคำพูดที่ให้ไว้ ข้าพเจ้าได้ส่งเส้นผมของตัวข้าพเจ้า และดินจากเมืองเยเมนมาไว้ใต้แทบพระบาทของพระองค์ ข้าพเจ้าสัญญาว่า จะเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ ยอมอยู่ใต้อำนาจของพระองค์และจะให้การสนับสนุนพระองค์ตลอดไป”

*กษัตริย์แห่ง ฮะบะชะห์รู้สึกประทับใจเมื่อได้อ่านสาส์นของอับรอฮะห์ เขาจึงเลิกล้มที่จะจัดการกับอับรอฮะห์ ปล่อยให้อับรอฮะห์เป็นตัวแทนปกครองเมืองเยเมนภายใต้อำนาจของฮะบะชะห์ต่อไปอีก

* อับรอฮะห์นั้นนับถือศาสนาคริสต์ ที่เขามาบุกเยเมน พร้อมกับกองกำลังของเมืองฮะบะชะห์ ก็เนื่องจากได้รับความช่วยเหลือจากพวกคริสต์ชาวนัจญ์รอน และคริสต์ชาวญีซาน เพื่อพวกเขาจะได้หลุดพ้นจากการข่มเหงของพวกมุชริก เมื่ออับรอฮะห์ได้ขึ้นครองอำนาจได้ช่วยเหลือคริสต์แล้ว เขาก็สร้างโบสถ์ขึ้นหลังหนึ่ง ขนาดใหญ่โตมาก ชนิดที่ไม่มีใครเคยพบเห็นมาก่อนในยุคนั้น เขาบังคับขู่เข็ญชาวเมืองให้มาช่วยกันก่อสร้าง ใครมาล่าช้า หลังดวงอาทิตย์ขึ้น ผู้นั้นจะถูกตัดมือทันที อัญมณี หินอ่อน และสิ่งของมีค่า ถูกขนย้ายมาจากพระราชวังบัลกอย์ส เอามาประดับประดาโบสถ์หลังนี้อย่างวิจิตรพิสดาร

*เป้าหมายของอับรอฮะห์ก็เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงค่านิยมของชาวเยเมน ที่พวกเขาจะเดินทางไปยังมักกะห์ ในช่วงเทศกาล จะนำเอาสัตว์พลีไปเชือดถวายรูปเคารพ เพื่อเป็นการสักการะและเป็นการให้เกียรติแก่กะอฺบะห์ เขาไม่ต้องการแนะนำพวกเหล่านั้นไปสู่แนวทางที่ถูกต้อง หรือเปลี่ยนจากการเคารพสักการะรูปเคารพต่างๆ เขาเพียงแต่ต้องการรวมประชาชนไว้ให้เป็นผู้ที่สวามิภักดิ์ต่อการปกครองของเขาเท่านั้น แต่อาหรับชาวเยเมนก็ไม่ให้ความสนใจโบสถ์ที่อับรอฮะห์สร้างขึ้นแต่อย่างใด ไม่กลัวแม้ว่าจะถูกคาดโทษ ถูกขู่เข็ญ พวกเขายังคงมีความคิดติดแน่นอยู่กับความเชื่อเดิม พวกเขาต้องการไปถวายความจงรักภักดีแก่กะอฺบะห์ และบรรดารูปเคารพที่อยู่รอบๆนั้นเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เมื่อถึงฤดูเทศกาล ชาวเยเมนจะจัดขบวนใหญ่โตพร้อมด้วยเครื่องสังเวย มุ่งหน้าเข้ามักกะห์ด้วยความปิติยินดี

*อับรอฮะห์แค้นใจ และโกรธเป็นยิ่งนักต่อสิ่งที่เห็นเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจเด็ดเดี่ยว และสาบานว่าจะต้องบุกเข้าไปมักกะห์ พร้อมกับกองทัพมหึมาเพื่อทำลายกะอฺบะห์ให้ราบเรียบ ไม่ให้เหลือร่องรอยใดๆไว้ เป็นการตัดขาดความผูกพัน ขจัดรากเหง้าแห่งญาฮิลียะห์ออกจากชีวิตจิตใจของชาวอาหรับให้ได้ แล้วในที่สุดทุกคนก็จะต้องหันกลับมาหาโบสถ์ที่เขาสร้างขึ้นอย่างแน่นอน

*อับรอฮะห์จัดเตรียมกองทัพ เขานำเอาฝูงช้างที่คึกคะนองเป็นแนวหน้า เพื่อข่มขู่ให้ม้าและอูฐเผ่นหนี และชาวอาหรับเมื่อเห็นกองทัพช้างก็จะตื่นตระหนก และงวงช้างยังสามารถทำลายกำแพงกะอฺบะห์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย การเตรียมการรบครั้งนี้ต้องใช้เวลาไม่น้อย เขาจะต้องเตรียมเสบียง อาวุธ และจัดกองทัพ จนเสร็จสิ้นสมบูรณ์และแล้วกองทัพมหึมาก็เคลื่อนพลออกจากเยเมน เหมือนสายน้ำหลากพุ่งออกไปเบื้องหน้า พื้นดินมีเสียงอึกทึกเนื่องจากการกระทบกระแทกของเกือกม้า ในอากาศเต็มไปด้วยฝุ่นตลบ เสียงม้าร้องกังวานเป็นระลอกเหมือนเกลียวคลื่นที่ซัดสาดเป็นระยะๆ เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

*อับรอฮะห์อยู่ในชุดออกศึกนั่งลงบนหลังม้าสวมเสื้อเกราะและหมวกเหล็ก ส่องแสงสะท้อนกับดวงอาทิตย์เป็นประกายวาววับ สองตาจรดมองออกไปเบื้องหน้าต้องการที่จะเห็นความพินาศของกะอฺบะห์ ภายในใจเก็บเอาความเคียดแค้นไว้เต็มอกทั้งๆที่ชื่อเสียงของอับรอฮะห์เป็นที่เกรงขาม มีอำนาจล้นฟ้า มีทหารเป็นจำนวนมาก และมีอาวุธครบมือ พร้อมสำหรับการต่อสู่ไม่ว่าจะเป็นกับใครที่ไหน แต่ในหัวใจของผู้นำชาวเยเมนบางคนที่เป็นคนท้องถิ่น เป็นชาวเยเมนโดยกำเนิด ยังอัดแน่นด้วยความเกลียดชังอับรอฮะห์ผู้รุกราน จึงทำให้ผู้นำคนหนึ่งชื่อ “ซูนะฟัร” ประกาศสงครามปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของชาวเยเมน และเพื่อพิทักษ์ก๊ะอฺบะห์เอาไว้ พวกเขาคิดว่า การเสียสละเพื่อสิ่งดังกล่าว ถึงแม้ว่าจะต้องเดิมพันด้วยชีวิตก็ยอม ปรากฏว่าในการประกาศศึกกับอับรอฮะห์มีผู้มาร่วมเป็นจำนวนมาก ประกอบด้วยผู้คนในหมู่คณะของเขา และผู้คนจากหมู่คณะอื่นก็เข้าร่วมด้วย

* ณ ชายแดนเยเมน ก่อนที่ทหารของอับรอฮะห์จะข้ามทะลุเข้าไปสู่ดินแดนติฮามะห์ และฮิญาซในคาบสมุทรอาหรับ กองกำลังของทั้งสองฝ่ายก็เข้าปะทะกันอย่างดุเดือด ในที่สุดทหารของซูนะฟัรก็พ่ายแพ้อย่างหมดทางสู้ แตกหนีไม่เป็นขบวน ตัวของซูนะฟัรถูกจับเป็นเชลย เมื่ออับรอฮะห์คิดจะฆ่าเขา เขาก็กล่าวคำขอให้ไว้ชีวิตอย่างน่าเวทนาสงสาร เขากล่าวว่า :

*“ข้าแต่ท่านผู้เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด ถึงอย่างไรข้าก็ยังมีประโยชน์สำหรับกองทัพของท่านในการเป็นผู้นำที่ดี"

* อับรอฮะห์ไว้ชีวิตเขา เขาถูกจับมัด แล้วถูกนำตัวไปมักกะห์พร้อมกับกองทัพ
เมื่อกองทัพของอับรอฮะห์เข้าสู้เขตของเผ่า ค๊อษอัม ก็ต้องเผชิญกับกองกำลังของนุฟัยลฺ อิบนิ ฮะบี๊บ เขาได้นำกองกำลังเข้าต่อสู้กับกองกำลังของอับรอฮะห์ หมายมั่นว่าจะได้รับชัยชนะ แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถสกัดกั้นกองทัพของอับรอฮะห์ไว้ได้อย่างที่คิด ทหารของนุฟัยลฺเผ่นหนี ตัวของนุฟัยลฺถูกจับเป็นเชลย ขณะที่อับรอฮะห์จะฟันดาบลงบนต้นคอของเขา เขาถึงกับมีใบหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจกลัวสุดขีด และเขาก็ร้องขอให้ไว้ชีวิต และสัญญาว่าจะขอรับใช้ด้วยความจริงใจ ยอมเป็นผู้นำทางให้กองทัพอับรอฮะห์ ให้สามารถเดินทางไปในท้องทะเลทรายอย่างสะดวก เพราะพื้นที่เป็นเส้นทางที่มีเหวลึก หุบเขา เนินทราย ยากแก่การเดินทางหากขาดผู้เชี่ยวชาญภูมิประเทศแถบนั้น อับรอฮะห์จึงไว้ชีวิตเขา เพื่อเป็นประโยชน์แก่กองทัพ

*ทหารของอับรอฮะห์เดินรุกคืบหน้าต่อไป มุ่งสู่ดินแดนมักกะห์ด้วยความคึกคะนอง ส่งเสียงอึกทึก กึกก้อง สะท้านแผ่นดิน จนกระทั่งถึงถิ่นที่อยู่ของเผ่า ษะกี๊ฟ ใกล้จะเข้าสู่ตัวเมืองฏออิฟ เป็นที่ทราบกันดีว่า ดินแดนแถบนั้นเหมาะสำหรับปลูกพืชไร่ เพราะมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านเมื่อรู้ข่าวว่ากองทัพของอับรอฮะห์จะผ่านเข้ามา จึงเตรียมต้อนรับ เพื่อไม่ให้พวกเขาทำลายพืชไร่ให้ได้รับความเสียหาย พยายามใช้การเจรจาให้เป็นประโยชน์ เพราะพวกเขารู้ดีว่า กองทัพมุ่งจะไปทำลายกะอฺบะห์
*มัสอู๊ด อิบนิ มุตอับ ผู้นำชาวฏออีฟ ได้ออกมาต้อนรับกองทัพของอับรอฮะห์ด้วยความนอบน้อม เขากล่าวว่า :
*โอ้จอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ พวกเราเป็นทาสของท่าน ยอมรับฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของท่านเสมอ พวกเราไม่มีใครคิดจะต่อต้านท่านเลย และหมู่บ้านของเรา ที่มีรูปเคารพ “อัลลาต” อยู่ด้วยนี้ ก็ไม่ใช่จุดมุ่งหมายของพวกท่าน เพราะจุดประสงค์ของพวกท่านต้องการที่จะไปทำลายกะอฺบะห์ ดังนั้น เราจะให้คนหนึ่งที่เป็นผู้ชำนาญเส้นทาง นำพากองทัพของท่านไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้

*มัสอู๊ด อิบนิ มุตอับ จึงเลือกชายผู้หนึ่งชื่อ “อบูริฆอล” ให้เป็นผู้นำทางกองทัพของอับรอฮะห์ก็ผ่านพ้นไป

*เมื่อกองทัพอับรอฮะห์ใกล้จะถึงมักกะห์ จึงตั้งค่ายทหารเรียงรายอยู่ตามไหล่เขาทั่วบริเวณ ใช้ทำเป็นฐานที่มั่น และให้นักรบคนหนึ่งชื่อ อัสวัด อิบนิ มักซู๊ด ออกลาดตระเวนพื้นที่ สร้างความตระหนกตกใจให้แก่ชาวบ้านเป็นอย่างมาก อัลอัสวัด กับพวก พบทรัพย์สินของชาวบ้านก็เก็บมา แล้วยังต้อนอูฐสองร้อยกว่าตัวของอับดุลมุฏฏอลิบมาให้อับรอฮะห์ด้วย

* พวกกุเรช ฮุซัยล์ และกินานะห์ ตลอดจนผู้ที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้น เมื่อทราบข่าวร้ายก็คิดที่จะจัดกองกำลังเข้าต่อสู้ จึงจัดประชุมขึ้นเพื่อปรึกษาหารือหาแนวทางที่เหมาะสม แต่ที่ประชุมเห็นว่า ถึงอย่างไรก็ตาม คงไม่มีทางที่จะขัดขวางหรือสู้รบกับกองทัพขนาดใหญ่ของอับรอฮะห์ได้ จึงต้องเลิกล้มความตั้งใจที่จะคิดสู้ หนทางที่ดีที่สุดขณะนี้ก็คือ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามวิถีทางของมัน รอคอยวันเวลาที่กองทัพช้างจะบุกกะอฺบะห์เท่านั้น

*อับรอฮะห์เรียกตัวฮุนาเฏาะห์ อัลฮิมยะรีย์ เข้าพบ เพื่อจะส่งเขาเข้าไปในเมืองมักกะห์ อับรอฮะห์กล่าวแก่ฮุนาเฏาะห์ว่า :

*เจ้าจงเข้าไปในตัวเมืองมักกะห์ ถามหาผู้นำของชาวกุเรช และบอกให้เขาทราบว่า กษัตริย์อับรอฮะห์ ไม่ต้องการจะมาทำสงครามกับชาวมักกะห์ แต่ต้องการที่จะมาทำลายก๊ะอฺบะห์เท่านั้น ถ้าหากพวกเขาไม่ขัดขวาง เราก็จะไม่สู้รบกับพวกเขา และถ้าหากพวกเขาไม่คิดจะสู้รบกับพวกเรา ก็ให้นำตัวเขาเข้ามาพบกับข้าที่นี่
อับรอฮะห์เข้ามาในตัวเมืองมักกะห์ ถามหาผู้เป็นหัวหน้าชาวกุเรช มีผู้บอกเขาว่า หัวหน้าชาวกุเรชคือ อับดุลมุฏฏอลิบ อิบนิ ฮาชิม เมื่อทราบเช่นนั้น ฮุนาเฏาะห์ก็ไปหาอับดุลมุฏฏอลิบ และบอกให้เขารับรู้ตามที่อับรอฮะห์สั่งมา
อับดุลมุฏฏอลิบตอบว่า :ขอสาบานได้เลยว่าพวกเราไม่ต้องการสู้รบ พวกเราไม่สามารถที่จะกระทำเช่นนั้นได้ บัยตุ้ลลอฮฺเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา คือ ท่านนบีอิบรอฮีม (อลัยฮิสสลาม) ก๊ะบะห์เป็นกรรมสิทธิ์ของอัลเลาะห์ พระองค์จะทรงดูแลเอง พวกเราไม่สามารถป้องกันไว้ได้ในสถานการณ์อย่างนี้ฮุนาเฏาะห์ กล่าวว่า :ถ้าเช่นนั้นท่านจงไปพร้อมกับเรา ไปหาอับรอฮะห์ผู้เป็นกษัตริย์ เพราะพระองค์สั่งให้นำตัวท่านเข้าไปพบถ้าหากไม่ต้องการสู้รบ

*อับดุลมุฏฏอลิบพร้อมกับผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่งก็ออกไปหาอับรอฮะห์ที่ค่ายทหาร และก่อนที่จะเข้าไปหากษัตริย์ อับดุลมุฏฏอลิบขออนุญาตพบกับ ซูนะฟัร เพราะเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนอับดุลมุฏฏอลิบ มาหา ซูนะฟัร ซึ่งถูกจับเป็นเชลย อยู่ในที่คุมขัง อับดุลมุฏฏอลิบกล่าวว่า :โอ้ ซูนะฟัร ท่านพอจะมีทางช่วยเหลือในเรื่องธุระของข้าได้บ้างไหม ซูนะฟัรตอบว่า :โอ้ อับดุลมุฏฏอลิบ เชลยที่ถูกคุมขังอย่างข้า จะถูกสังหารเมื่อไหร่ก็ได้เช่นนี้ จะช่วยเหลือท่านได้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ข้ามีเพื่อนคนหนึ่ง เขาเป็นคนดูแลช้าง ข้าจะให้เขาเป็นผู้นำตัวท่านไปเข้าพบกษัตริย์และจะให้เขาช่วยพูดธุระของท่านให้กษัตริย์รับทราบ อับดุลมุฏฏอลิบกล่าวว่า : เท่านี้ก็ขอบคุณมากแล้วต่อจากนั้น ซูนะฟัรก็บอกให้คนหนึ่งเรียก อุนัยส์ มาหา และเขาได้บอกแก่อุนัยส์ว่า :โอ้อุนัยส์ อับดุลมุฏฏอลิบผู้นี้เป็นผู้นำชาวกุเรช เป็นเจ้าของบ่อน้ำ “ซัมซัม” เป็นผู้เลี้ยงอาหารทั้งคนและสัตว์ ที่อยู่บนพื้นราบและอยู่ตามยอดเขาสูง บัดนี้ กษัตริย์จับอูฐของเขามา 200กว่าตัว ขอให้ท่านช่วยเจรจาขออูฐคืนให้เขาด้วยอุนัยส์ ก็รับปาก และได้เข้าไปพูดกับอับรอฮะห์ และอับรอฮะห์ก็อนุญาตให้อับดุลมุฏฏอลิบเข้าพบ

*อับดุลมุฏฏอลิบนั้นเป็นผู้ที่มีรูปร่างสง่างาม สูงใหญ่ เมื่ออับรอฮะห์เห็น ก็รีบลงมาจากบัลลังก์ นั่งลงข้างล่างที่พื้นพรม อับดุลมุฏฏอลิบเข้ามานั่งลงข้างๆ แล้วอับรอฮะห์ก็พูดผ่านล่ามว่า :บอกให้เขาแจ้งความประสงค์ได้
อับดุลมุฏฏอลิบกล่าว:จุดประสงค์ของฉันมีอยู่อย่างดียวคือ ขออูฐ 200 กว่าตัวของฉันคืนเท่านั้น เมื่ออับรอฮะห์ได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวผ่านล่ามไปว่า :
*ท่านทำให้ฉันแปลกใจเมื่อได้พบเห็น และเมื่อได้ยินคำพูดของท่านฉันยิ่งงุนงงมากขึ้นอีก ท่านมาที่นี่เพื่อเจราจาเรื่องอูฐ ไม่พูดถึงเรื่องกะอฺบะห์ ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาของท่าน และบรรพบุรุษของท่าน ที่ฉันยกกองทัพมาในครั้งนี้ ก็เพื่อทำลายก๊ะอฺบะห์ แล้วทำไมท่านในฐานะผู้ดูแล ผู้นำ จึงไม่มาเจรจาเรื่องนี้
อับดุลมุฏฏอลิบ กล่าวว่า : ตัวฉันเองเป็นเจ้าของอูฐ เป็นผู้ดูแลอูฐ ส่วนกะอฺบะห์นั้นมีพระเจ้าเป็นผู้ดูแลอยู่แล้ว พระองค์จะทรงยับยั้งผู้รุกรานเองอับรอฮะห์กล่าวว่า : ไม่มีใครสามารถจะยับยั้งข้าได้หรอก อับดุลมุฏฏอลิบกล่าวว่า : แล้วท่านก็จะได้พบเอง

* หลังจากเจรจากันแล้ว อับรอฮะห์ก็สั่งให้เอาอูฐของอับดุลมุฏฏอลิบคืนไป อับดุลมุฏฏอลิบก็ลุกขึ้นกลับเข้ามักกะห์

* อับดุลมุฏฏอลิบได้แจ้งข่าวให้พี่น้องชาวกุเรชทราบว่า อับรอฮะห์เตรียมบุกทำลายกะอฺบะห์แล้ว ดังนั้นขอให้พวกเรารีบออกไปหลบอยู่ตามหุบเขา ตามตรอกซอกซอยรอบๆบริเวณ แล้วเขาก็ชวนบุคคลสำคัญของชาวกุเรชเข้าไปที่กะอฺบะห์ อับดุลมุฏฏอลิบ จับห่วงประตูก๊ะอฺบะห์กล่าวคำวิงวอนต่ออัลเลาะห์ให้พระองค์ทรงทำลายทหารของอับรอฮะห์ เสร็จแล้วก็ออกมาซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ที่หุบเขาด้านนอก รอคอยนาทีระทึกใจที่จะเกิดขึ้นภายในไม่ช้า

*วันรุ่งขึ้น อับรอฮะห์เตรียมพร้อมที่จะนำกองทัพช้างเข้าทำลายกะอฺบะห์ ขณะที่ควาญช้างบังคับให้มันบ่ายโฉมหน้าเขาสู่มักกะห์เพื่อทำลายกะอฺบะห์ ปรากฏว่าช้างจะคุกเข่าลงทันที ไม่ยอมก้าวไปข้างหน้า ควาญช้างใช้โซ่เหล็กฟาด เอาหอกทิ่มแทง ใช้ขอสับลงบนใบหู และตามจุดต่างๆที่ลำตัวให้มันรู้สึกและเคลื่อนไหว แต่มันก็นอนนิ่งกับพื้น แต่พอให้มันหันไปทางเยเมน มันกลับออกวิ่งไปอย่างง่ายดาย

* บัดนั้นเอง ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม เหมือนมีอะไรมาบดบังแสงอาทิตย์ไม่ให้สาดแสงมาสู่พื้นดินแถบนั้น คล้ายกับว่าเวลากลางคืนมาถึงก่อนกำหนด ทางทิศด้านริมทะเลมีฝูงนกปรากฏให้เห็นเป็นกลุ่มใหญ่ ที่ปากคาบหินไป ที่เท้าของมันทั้งสองข้างก็คีบหินไฟมาด้วย ฝูงนกบินตรงเข้าหาทหารของอับรอฮะห์ โฉบลงบนศีรษะ พร้อมกับปล่อยหินไฟลงมาใส่ทหารเหล่านั้น ทำให้ล้มตายระเนระนาด ทหารอีกบางส่วนก็พยายามหนีเอาตัวรอด แต่เขาจะหนีไปทางไหนพ้น บัดนี้แผ่นดินเป็นที่คับแคบสำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ว่าจะหนีไปทางไหน นกก็บินโฉบเฉียวเข้าใส่ โปรยหินไฟลงบนศีรษะ ทำให้พวกเขาดิ้นพราดด้วยความเจ็บปวด และล้มตายลงอย่างทุกข์ทรมาน

*กองกำลังของอับรอฮะห์ แตกกระเจิงอย่างสิ้นท่า แผนร้ายของอับรอฮะห์ต้องจบลงอย่างเจ็บปวดที่สุดในชีวิต อับรอฮะห์ถูกนกโปรยหินไฟเข้าใส่ แต่เขากับพวกไม่กี่คนเผ่นหนีกลับสู่เยเมน ระหว่างทางเขาล้มเจ็บเพราะพิษหินไฟ ร่างกายซูบผอม เนื้อหนังเริ่มเปื่อยยุ่ยหลุดออกเป็นชิ้นๆ เขากับพวกพยายามกระเสือกกระสนไปจนกระทั่งถึงซอนอ๊าอฺ ซึ่งเป็นเมืองหลวงเยเมน และจบชีวิตลงที่นั่น โดยไม่ได้รับความสำเร็จดังใจหมายเช่นนี้แหละ คือเหตุการณ์ครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่อัลเลาะห์ ทรงปกป้องคุ้มครองกะอฺบะห์ของพระองค์ ให้พ้นจากแผนร้ายของผู้อิจฉาริษยา และในปีนี้เอง ท่านนบีมูฮัมหมัด(ศ้อลฯ) ก็กำเนิดขึ้น

*เหตุการณ์ครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นนี้ เป็นการปูทางไปสู่เหตุการณ์สำคัญยิ่งกว่าวันข้างหน้า เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติ หลังจากที่ต้องตกอยู่ในความมืดแห่งยุคงมงายมาหลายศตวรรษ เมื่อท่านนบีมูฮัมหมัด(ศ้อลฯ) ประสูติ ท่านได้ทำหน้าที่เผยแผ่สัจธรรม ท่านได้ทำลายเจว็ดรูปเคารพ ความมืดแห่งการชิรกฺ ทำลายการหลงผิด การอิจฉาริษยา การสร้างความเสื่อมเสียให้เกิดขึ้นในแผ่นดิน และท่านได้แนะนำมนุษยชาติทั้งมวลไปสู่แนวทางอันเที่ยงตรง แนวทางของอัลเลาะห์ พระเจ้าผู้ทรงเอ็นดู ผู้ทรงเมตตาเสมอ

...............................
Credit :Islammore.com




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น