พระองค์อัลลอฮฺทรงรู้ดีว่ามนุษย์อาจเกิดความคลางแคลงในความถูกต้องเป็นสัจธรรมของอัลกุรอาน ที่ท่านนบี (ศ็อลลัลลฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้นำมาประกาศ พระองค์จึงเลือกสรรมนุษย์ที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้มาเป็นศาสทูตท่านสุดท้ายของพระองค์ เพือ่ที่จะได้หุบปากนักพูด นักคิด นักวิชาการจนกระทั้งพวกเขาต่างปราสจากหลักฐานใดๆที่จะมาสร้างความสงสัยในศาสนทูตของพระองค์อีก
وَمَا كُنتَ تَتْلُو مِن قَبْلِهِ مِن كِتَابٍ وَلَا تَخُطُّهُ بِيَمِينِكَ إِذًا لَّارْتَابَ الْمُبْطِلُونَ
"และก่อนหน้านั้นเจ้ามิได้อ่านคัมภีร์ใด ๆ และเจ้ามิได้เขียนมันด้วยมือขวาของเจ้า มิฉะนั้นแล้วพวกกล่าวความเท็จจะสงสัยอย่างแน่นอน" (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-อันกะบูต 29:48)
الَّذِينَ يَتَّبِعُونَ الرَّسُولَ النَّبِيَّ الْأُمِّيَّ الَّذِي يَجِدُونَهُ مَكْتُوبًا عِندَهُمْ فِي التَّوْرَاةِ وَالْإِنجِيلِ يَأْمُرُهُم بِالْمَعْرُوفِ وَيَنْهَاهُمْ عَنِ الْمُنكَرِ وَيُحِلُّ لَهُمُ الطَّيِّبَاتِ وَيُحَرِّمُ عَلَيْهِمُ الْخَبَائِثَ وَيَضَعُ عَنْهُمْ إِصْرَهُمْ وَالْأَغْلَالَ الَّتِي كَانَتْ عَلَيْهِمْ فَالَّذِينَ آمَنُوا بِهِ وَعَزَّرُوهُ وَنَصَرُوهُ وَاتَّبَعُوا النُّورَ الَّذِي أُنزِلَ مَعَهُ أُولَٰئِكَ هُمُ الْمُفْلِحُونَ
“คือบรรดาผู้ปฏิบัติตามร่อซูล ผู้เป็นนบีที่เขียนอ่านไม่เป็นที่พวกเขา พบเขาถูกจารึกไว้ ณ ที่พวกเขา ทั้งในอัต-เตารอต และในอัล-อินญีลโดยที่เขา จะใช้พวกเขาให้กระทำในสิ่งที่ชอบและห้ามพวกเขามืให้กระทำในสิ่งที่ไม่ชอบและจะอนุมัติให้แก่พวกเขาซึ่งสิ่งดี ๆ ทั้งหลาย และจะให้เป็นที่ต้องห้ามแก่พวกเขา ซึ่งสิ่งที่เลวทั้งหลาย และจะปลดเปลื้องออกจากพวกเขา ซึ่งภาระหนักของพวกเขาและห่วงคอ ที่ปรากฏอยู่บนพวกเขา ดังนั้นบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อเขา และให้ความสำคัญแก่เขาและช่วยเหลือเขา และปฏิบัติตามแสงสว่าง ที่ถูกประทานลงมาแก่เขาแล้วไซร้ ชนเหล่านี้แหละคือบรรดาผู้ที่สำเร็จ” (อัลกุรอาน สูเราะฮ์อัล-อะอฺรอฟ 7:157)
ขณะที่ ท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) อยู่ในถ้ำอัลฮิรออ์ มาลีกะฮ์ญิบรีลได้นำวะฮียืมาจากพระผู้เป็นเจ้ายังท่านนบีครั้งแรก ว่า إِقْرَأْ (อิกเราะ) " จงอ่าน" แต่ท่านนบีปฏิเสธว่า "ฉันอ่านไม่เป็น"
حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ بُكَيْرٍ، قَالَ حَدَّثَنَا اللَّيْثُ، عَنْ عُقَيْلٍ، عَنِ ابْنِ شِهَابٍ، عَنْ عُرْوَةَ بْنِ الزُّبَيْرِ، عَنْ عَائِشَةَ أُمِّ الْمُؤْمِنِينَ، أَنَّهَا قَالَتْ أَوَّلُ مَا بُدِئَ بِهِ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم مِنَ الْوَحْىِ الرُّؤْيَا الصَّالِحَةُ فِي النَّوْمِ، فَكَانَ لاَ يَرَى رُؤْيَا إِلاَّ جَاءَتْ مِثْلَ فَلَقِ الصُّبْحِ، ثُمَّ حُبِّبَ إِلَيْهِ الْخَلاَءُ، وَكَانَ يَخْلُو بِغَارِ حِرَاءٍ فَيَتَحَنَّثُ فِيهِ ـ وَهُوَ التَّعَبُّدُ ـ اللَّيَالِيَ ذَوَاتِ الْعَدَدِ قَبْلَ أَنْ يَنْزِعَ إِلَى أَهْلِهِ، وَيَتَزَوَّدُ لِذَلِكَ، ثُمَّ يَرْجِعُ إِلَى خَدِيجَةَ، فَيَتَزَوَّدُ لِمِثْلِهَا، حَتَّى جَاءَهُ الْحَقُّ وَهُوَ فِي غَارِ حِرَاءٍ، فَجَاءَهُ الْمَلَكُ فَقَالَ اقْرَأْ. قَالَ " مَا أَنَا بِقَارِئٍ ". قَالَ " فَأَخَذَنِي فَغَطَّنِي حَتَّى بَلَغَ مِنِّي الْجَهْدَ، ثُمَّ أَرْسَلَنِي فَقَالَ اقْرَأْ. قُلْتُ مَا أَنَا بِقَارِئٍ. فَأَخَذَنِي فَغَطَّنِي الثَّانِيَةَ حَتَّى بَلَغَ مِنِّي الْجَهْدَ، ثُمَّ أَرْسَلَنِي فَقَالَ اقْرَأْ. فَقُلْتُ مَا أَنَا بِقَارِئٍ. فَأَخَذَنِي فَغَطَّنِي الثَّالِثَةَ، ثُمَّ أَرْسَلَنِي فَقَالَ {اقْرَأْ بِاسْمِ رَبِّكَ الَّذِي خَلَقَ * خَلَقَ الإِنْسَانَ مِنْ عَلَقٍ * اقْرَأْ وَرَبُّكَ الأَكْرَمُ} ". فَرَجَعَ بِهَا رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَرْجُفُ فُؤَادُهُ، فَدَخَلَ عَلَى خَدِيجَةَ بِنْتِ خُوَيْلِدٍ رضى الله عنها فَقَالَ " زَمِّلُونِي زَمِّلُونِي ". فَزَمَّلُوهُ حَتَّى ذَهَبَ عَنْهُ الرَّوْعُ، فَقَالَ لِخَدِيجَةَ وَأَخْبَرَهَا الْخَبَرَ " لَقَدْ خَشِيتُ عَلَى نَفْسِي ". فَقَالَتْ خَدِيجَةُ كَلاَّ وَاللَّهِ مَا يُخْزِيكَ اللَّهُ أَبَدًا، إِنَّكَ لَتَصِلُ الرَّحِمَ، وَتَحْمِلُ الْكَلَّ، وَتَكْسِبُ الْمَعْدُومَ، وَتَقْرِي الضَّيْفَ، وَتُعِينُ عَلَى نَوَائِبِ الْحَقِّ. فَانْطَلَقَتْ بِهِ خَدِيجَةُ حَتَّى أَتَتْ بِهِ وَرَقَةَ بْنَ نَوْفَلِ بْنِ أَسَدِ بْنِ عَبْدِ الْعُزَّى ابْنَ عَمِّ خَدِيجَةَ ـ وَكَانَ امْرَأً تَنَصَّرَ فِي الْجَاهِلِيَّةِ، وَكَانَ يَكْتُبُ الْكِتَابَ الْعِبْرَانِيَّ، فَيَكْتُبُ مِنَ الإِنْجِيلِ بِالْعِبْرَانِيَّةِ مَا شَاءَ اللَّهُ أَنْ يَكْتُبَ، وَكَانَ شَيْخًا كَبِيرًا قَدْ عَمِيَ ـ فَقَالَتْ لَهُ خَدِيجَةُ يَا ابْنَ عَمِّ اسْمَعْ مِنَ ابْنِ أَخِيكَ. فَقَالَ لَهُ وَرَقَةُ يَا ابْنَ أَخِي مَاذَا تَرَى فَأَخْبَرَهُ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم خَبَرَ مَا رَأَى. فَقَالَ لَهُ وَرَقَةُ هَذَا النَّامُوسُ الَّذِي نَزَّلَ اللَّهُ عَلَى مُوسَى صلى الله عليه وسلم يَا لَيْتَنِي فِيهَا جَذَعًا، لَيْتَنِي أَكُونُ حَيًّا إِذْ يُخْرِجُكَ قَوْمُكَ. فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم " أَوَمُخْرِجِيَّ هُمْ ". قَالَ نَعَمْ، لَمْ يَأْتِ رَجُلٌ قَطُّ بِمِثْلِ مَا جِئْتَ بِهِ إِلاَّ عُودِيَ، وَإِنْ يُدْرِكْنِي يَوْمُكَ أَنْصُرْكَ نَصْرًا مُؤَزَّرًا. ثُمَّ لَمْ يَنْشَبْ وَرَقَةُ أَنْ تُوُفِّيَ وَفَتَرَ الْوَحْىُ.
ท่านหญิงอาอิชะห์ (มารดาแห่งศรัทธาชน) ได้กล่าวว่า
"เริ่มแรกของวะฮีย์ที่มีมายังท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ในรูปของการฝันดีในยามหลับ ซึ่งสิ่งที่ท่านฝันเห็นนั้นเป็นดั่งแสงอรุณยามเช้า หลังจากนั้นท่านจะชอบอยู่ตามลำพัง โดยปลีกตัวไปอยู่ที่ถ้ำฮิรออ์ และที่นั่น ท่านได้ทำการวิงวอน คือการเคารพภักดี หลายคืนอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่ท่านจะกลับมาหาครอบครัว และเตรียมเสบียง หลังจากนั้นท่านได้กลับมาหาท่านหญิงคอดิญะห์ เพื่อนำเสบียงกลับไปใหม่
จนกระทั่งสัจธรรมได้มายังท่านขณะที่ท่านอยู่ในถ้ำฮิรออ์ โดยมะลักได้มาหาท่านแล้วกล่าวว่า จงอ่าน ท่านตอบว่า ฉันอ่านไม่เป็น ท่านกล่าวว่า เขาจับฉันและบีบฉันอย่างแรงจนฉันทนแทบไม่ไหว เขาจึงได้ปล่อย แล้วกล่าวว่า จงอ่าน ฉันตอบว่า ฉันอ่านไม่เป็น เขาได้บีบฉันอีกเป็นครั้งที่สองจนกระทั่งฉันทนไม่ไหว เขาจึงได้ปล่อย แล้วกล่าวว่า จงอ่าน ฉันตอบว่า ฉันอ่านไม่เป็น เขาได้จับและบีบฉันอย่างแรงเป็นครั้งที่สามแล้วจึงปล่อย และกล่าวว่า
“จงอ่านด้วยนามแห่งองค์อภิบาลของเจ้า ผู้ทรงสร้าง พระองค์ทรงสร้างมนุษย์จากก้อนเลือด จงอ่านเถิด และองค์อภิบาลของเจ้าผู้ทรงเอื้ออารีย์”
หลังจากนั้นท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมได้กลับมาพร้อมกับเรื่องราวเหล่านี้ด้วยหัวใจที่ตื่นตระหนก ท่านได้ไปหาท่านหญิงคอดิญะห์ บุตรสาวของ คุวัยวิด (ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาต่อนางด้วยเถิด) แล้วกล่าวว่า เอาผ้ามาคลุมฉัน! เอาผ้ามาคลุมฉัน! พวกเขาเอาผ้ามาคลุมท่านจนกระทั่งความหวาดกลัวได้คลายไปจากท่าน แล้วท่านก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านหญิงคอดิญะห์ทราบ
ท่านกล่าวว่า ฉันกลัวว่าอาจจะเกิดเหตุบางอย่างกับฉัน ท่านหญิงคอดิญะห์ได้กล่าวว่า มิได้เป็นเช่นนั้นหรอก ขอสาบานต่อพระองค์อัลลอฮ์, พระองค์อัลลอฮ์จะมิทรงให้ท่านระทมอย่างแน่นอน เพราะท่านได้สัมพันธ์ดีต่อเครือญาติ และแบกภาระของคนยากจน ท่านขวนขวายเพื่อคนอนาถา ท่านช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ท่านเป็นปากเป็นเสียงแทนพวกเขาเหล่านั้น
แล้วท่านหญิงคอดิญะห์ก็พาท่านนบีไปพบกับวะรอเกาะห์ อิบนุเนาว์ฟัล อิบนุอะซัด อิบนุอับดิลอุซซา เขาเป็นลูกผู้พี่ของท่านหญิงคอดิญะห์ และเข้ารีตศาสนาคริสต์ ในสมัยญาฮิลียะห์ (ยุคก่อนการประกาศอิสลามของท่านนบี) เขาเคยเขียนคัมภีร์ภาษายิว เขาคัดลอกคัมภีร์อินญีลเป็นภาษายิว ตามพระประสงค์แห่งอัลลอฮ์ที่ให้เขาเขียน เวลานั้นเขาแก่มากและตาพร่ามัว
ท่านหญิงคอดิญะห์ได้กล่าวแก่เขาว่า โอ้ลูกผู้พี่ของฉัน โปรดฟังหลานของท่านด้วยเถิด วะรอเกาะได้กล่าวแก่ท่านนบีว่า โอ้หลานเอ๋ย เจ้าเห็นอะไรหรือ ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์จึงได้บอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทราบ ทันใดนั้นวะรอเกาะห์ก็กล่าวขึ้นว่า นี่คือผู้กุมความลับที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ส่งมาพบนบีมูซาก่อนหน้านี้แล้ว ฉันอยากกลับไปเป็นหนุ่มอีก ฉันอยากมีชีวิตอยู่ขณะที่กลุ่มชนของเจ้าขับไล่เจ้า
ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า พวกเขาจะขับไล่ฉันอย่างนั้นหรือ เขาตอบว่า ใช่แล้ว ไม่มีผู้ใดที่ได้รับอย่างที่เจ้าได้รับนอกจากเขาจะถูกนับเป็นศัตรู และหากฉันยังคงมีชีวิตอยู่ถึงวันที่เจ้าถูกนับเป็นศัตรูแล้วฉันจะให้ความช่วยเจ้าอย่างเต็มที่ แต่หลังจากนั้นไม่นานวะรอเกาะฮ์ก็เสียชีวิต และช่วงนั้นวะฮีย์ก็ขาดตอนไประยะหนึ่ง" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบุคอรีย์ เลขที่ 3)
"ความเป็นศาสนทูตผู้ไม่รู้หนังสือ อ่านเขียนไม่ออก ยังปรากฎหลักฐานอีกครั้ง เมื่อท่านนบีได้ทำสนธิสัญญาฮุดัยบียะฮฺกับตัวแทนของฝ่ายอาหรับเดียรถีย์นามว่าสุฮัยลฺ โดยในการทำสัญญาครั้งนี้ท่านนบีได้ให้อะลีย์ลงประทับชื่อของท่านว่ามุหัมศาสนทูตของพระองค์อัลลฮ์ แต่สุฮัยลฺได้ปฏิเสธการลงตำแหน่งทางศาสนาของท่านโดยขอให้ท่านลงชื่อว่า มุหัมมัด บินอับดุลลอฮ์แทน ท่านนบีซึ่งในขณะนั้นอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้จึงให้ท่านอลีย์เป็นผู้ลบคำว่า ศาสนทูตของพระองค์อัลลฮ์ ในกระดาษสนธิสัญญาแทนตัวท่าน ทว่าด้วยกับความเคารพที่อะลีย์มีต่อตำแหน่งดังกล่าวจึงทำการปฏิเสธไม่ยอมลบข้อความตามที่ท่านนบีได้สั่งไว้ ท่านนบีจึงถามอะลีย์ว่าประโยคไหนคือคำว่า ศาสนทูตของพระองค์อัลลฮ์ จากนั้นท่านก็ใช้หัวแม่มือของท่านลบแทนเอง"
และในคัมภีร์ไบเบิล ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
"และเมื่อเขาให้หนังสือแก่คนหนึ่งที่อ่านไม่ได้กล่าวว่า "อ่านนี่ซี" เขาว่า "ข้าไม่รู้หนังสือ" (อิสยาห์ 29:12)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น