ละครเรื่อง”ฟ้าจรดทราย”นั้นเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากในสังคมออนไลน์ สังคมเฟสบุ๊ค อันเนื่องมาจากว่า มุสลิมหลายคนออกมาวิจารณ์ว่า เนื้อหาที่ฉายนั้นไม่ถูกต้องตามหลักการศาสนา ตลอดจนพฤติกรรมต่าง ๆ ของบทบาทตัวละคร เนื้อหาเชิงชู้สาวที่บิดเบือนหลักการศาสนา จนทำให้กลุ่มมุสลิมเพื่อสันตินั้นต้องออกมา ดำเนินการให้ยุติการออกอากาศ และเป็นข่าวขึ้นหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ จึงส่งผลให้มีการวิพากษ์ วิจารณ์กันอย่างแพร่หลายในสังคม
หลังจากนั้นก็มีคนดังคนหนึ่ง ที่สังคมให้ฉายานามว่า “เจ้าแม่จอมแฉ” พูดออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ผ่านดาวเทียมช่องหนึ่ง โดยวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานา ประมาณว่ามุสลิมที่ออกมาเรียกร้องให้ยุติละครเรื่องนี้นั้น “เรื่องเยอะ คิดมาก แยกแยะไม่ออก “ เป็นต้น
เมื่อผมได้มีโอกาสดูคลิปการวิจารณ์แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ เกรงว่ามุสลิมที่ไม่ค่อยจะเคร่งครัดในหลักการนั้น จะเห็นดีเห็นชอบกับผู้วิจารณ์ทางทีวีผ่านดาวเทียมด้วย จึงต้องการจะชี้แจงคำพูดของผู้วิจารณ์ผ่านทีวีดาวเทียม ให้บรรดามุสลิมได้พิจารณาเท่านั้น
“เจ้าแม่จอมแฉ” คนนี้นั้นเป็นบุคคลที่ชอบแฉเรื่องส่วนตัวของบรรดาดารา นักร้อง นักแสดง หรือบุคคลอื่น ๆ ส่วนตัวผมเองไม่ติดอกติดใจอะไร ที่เขาจะไปแฉพฤติกรรมใครด้วยวิธีไหน ด้วยวาจาอย่างไร เพราะนั่นคือวิถีชีวิต ของเขา แต่ที่ผมแปลกใจคือ ทำไมเขาต้องมาวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องที่พาดพิงถึงศาสนาที่ตัวเองก็ไม่ได้มีความรู้ อย่างละเอียดเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม เพราะถ้าเราไม่รู้รายละเอียดในเรื่องใด เราก็ควรอยู่เฉย ๆ คงไม่มีใครเขาว่า อะไรหรอกจริงไหม ?
คำวิจารณ์จากทีวีดาวเทียม : “จริง ๆ มันก็คือละครนะ จะไปอะไรกันนักกันหนา ไม่งั้นก็สร้างอะไร ไม่ได้เลย มันก็คือละคร มันก็คือมายา มันคือเรื่องที่สมมุติขึ้น เขาทำให้มันสนุกสนาน จะอะไรกันนัก กันหนาละ”
ขอชี้แจงว่า : ใช่ครับมันคือละคร ไม่ได้เถียง แต่มันคือละครที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม ตัวละคร ตลอดจนพฤติกรรมต่าง ๆ ของตัวละคร ดังนั้นเมื่อมันมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามแล้ว แน่นอนภาพที่ฉาย ออกมานั้น มันก็เปรียบเป็นเหมือนสื่อที่สะท้อนภาพวิถีของชาวมุสลิมในตะวันออกกลาง ซึ่งสร้างภาพที่คลาด เคลื่อนไปจากความเป็นจริง ที่ไม่ถูกต้อง จะทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดหรือเข้าใจคาดเคลื่อนได้
ส่วนคำพุดที่ว่า “ไม่งั้นก็สร้างอะไรไม่ได้เลย” ผมสงสัยมาก ว่า คุณอายุมากแล้วเทียบเป็นคุณย่า คุณยายผมได้ คุณไม่เคยดูละครเลยหรือ ประเทศไทยเพิ่งจะมีละครเมื่อปีนี้หรือ ? ละครไทยสร้างมาเป็นสี่สิบ-ห้าสิบปี ก็มีละคร ออกฉายมากมายเป็นปกติไม่มีปัญหาแต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่บางเรื่องที่มีปัญหาสั่งแบน ยุติการออกอากาศนั้น ส่วนมากเป็นเรื่องราวที่เนื้อหาไปมีผลกระทบต่อความมั่นคงของบุคคล องค์กร ความเชื่อของศาสนาที่สื่อออกมา ผิดไปจากความจริง หรืออื่น ๆ ถ้าเป็นเรื่องราวน้ำเน่าปกติ ใครละจะไปสั่งยุติ ? สั่งแบน ? ฉะนั้นผู้กำกับ ผู้เขียนบท จะไปสร้างละครอะไรก็เรื่องของพวกเขา แต่เนื้อหา สาระที่ไปเกี่ยวกับความเชื่อของศาสนา ความมั่นคงนั้น คงจะต้องพิจารณากันให้ถี่ถ้วนกว่านี้ ดังนั้นถ้าจะพูดว่า “ไม่งั้นก็สร้างอะไรไม่ได้เลย” แล้วละครเป็นพัน ๆ เรื่องที่ผ่านมาเขาสร้างอย่างไรล่ะ ช่วยบอกหน่อย ?
ละครในบ้านเมืองของเรานั้นจะมีหลายประเภท
- ละครที่ดัดแปลงมาจากนิยาย
- ละครที่สร้างมาจากเค้าโครงชีวิตจริง
- ละครที่สมมุติขึ้น
- ละครย้อนรอยประวัติศาสตร์ในอดีต และอีกมากมาย
ฉะนั้นคุณจะมาสรุปเอาเองว่าละครคือเรื่องสมมุติ ก็คงไม่ถูกซะทีเดียว เพราะในบ้านเรามีละครหลายประเภท หลายแนว ยกตัวอย่างเช่น ละครเรื่อง “เหนือเมฆ“ ก็เป็นละครเรื่องหนึ่ง ถ้าละครคือเรื่องสมมุติ แล้วทำไมละคร เรื่อง “เหนือเมฆ” ถูกแบน ยุติการออกอากาศ ทำเอาคอหนังมึนงงไปตาม ๆ กันจนถึงปัจจุบัน แน่นอนว่ามัน ต้องมีเนื้อหาที่พาดพิงไปกระทบองค์กรใดสักแห่งจึงถูกยุติ จะยุติทำไมก็มันแค่ละคร คือเรื่องสมมุติกระนั้นหรือ ?
ก็เพราะผู้ที่เกี่ยวข้องกับละครเรื่องนี้กลัวว่าละครจะฉายภาพที่สร้างความเสียหายให้กับเขา ก็เลยกดดันจนทำให้ ละครต้องยุติ ดังนั้นมุสลิมก็มีสิทธิ์โดยชอบธรรมตรงนี้ เพื่อกดดันให้ยุติละครฟ้าจดทรายบ้างเพราะเราเห็นว่า มีการบิดเบือนคำสอนที่ถูกต้อง มันคือเรื่องของศาสนาที่มีความละเอียดอ่อนมากกว่าเรื่องใดทั้งสิ้น ถ้าผมถามย้อนกลับว่า ถ้าผู้เขียนบทนำละครที่เกี่ยวกับศาสนาของคุณมาบิดเบือนละ คุณจะว่าอะไรไหม ? หรือคุณไม่คิดอะไรเลย ?
ดังนั้นมุสลิมต้องตื่นตัวกับเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา คุณจะสร้างละครเรื่องอะไรสักพันสักหมื่นหากมันไม่กระทบใคร ก็คงไม่มีใครไปตำหนิ จี้ให้ยุติหรอก ละครบางเรื่องไปเสียดสีนักการเมือง ก็ยังโดนแบนเลย นี่มันเรื่องความเชื่อ ความศรัทธาของคนนะ มิหนำซ้ำเอารูปแบบการปฏิบัติมาบิดเบือน แบบนี้จะให้อยู่เฉยได้ไงกัน
คำวิจารณ์จากทีวีดาวเทียม : “จะจี้ให้ยุติ เขาลงทุนไปร้อยล้านแล้ว ถ่ายตั้งสามปี ถ่ายที่อียิปต์ ค่าใช้จ่ายเขาตั้งเท่าไหร่ ถ่ายเจอปัญหาตลอด เสร็จแล้วจะมาให้ยุติ”
ขอชี้แจงว่า : ความจริงแล้วก่อนที่จะเลือกละครถ่ายทำนั้น ผู้กำกับต้องศึกษารายละเอียดให้รอบคอบทุกแง่มุม โดยเฉพาะละครที่มีเนื้อหาพาดพิงถึงศาสนานั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ให้กระจ่าง ส่วนจะใช้ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือเนื้อหามันบิดเบือนศาสนา ทำให้ผู้คนมีความเข้าใจผิด ถามว่าความเชื่อศาสนานั้นมีค่าไม่ถึงร้อยล้านหรือ ? แน่นอนว่าค่าของศาสนานั้นไม่สามารถประเมินมูลค่าใด ๆ ได้ทั้งสิ้น มันคือหลักความเชื่อ แนวทางในการดำเนินชีวิตให้เป็นคนมีจริยธรรม ทำให้สังคมสงบสุขมากขึ้น และเมื่อมีการบิดเบือนศาสนาในรูปแบบใดก็ตามก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ส่วนจะถ่ายทำกี่ปี ถ่ายที่ไหน เจอปัญหาอะไร นั่นมันเรื่องของผู้กำกับละคร
คำวิจารณ์จากทีวีดาวเทียม : “ขอร้องเหอะแยกแยะให้มันถูก ละครคือเรื่องที่สมมุติขึ้น”
ขอชี้แจงว่า : ผมก็อยากจะขอร้องให้คุณแยกแยะให้ถูกต้องว่าเรื่องไหนควรจะวิจารณ์ และไม่ควรวิจารณ์ เพราะคุณไม่ได้มีความรู้ในหลักการอิสลาม แล้วคุณยังจะมาอวดรู้ได้ยังไงกัน ว่าละครเป็นเรื่องสมมุติสามารถ นำเอาศาสนามาแสดง มาบิดเบือนได้ อย่างที่ผมได้กล่าวไปว่า ละครไม่ได้มาจากเรื่องสมมุติทุกเรื่อง แต่ละครบางเรื่องก็นำชีวิตจริงมานำเสนอ ผมมิอาจทราบได้หรอกว่าผู้ที่สร้างละครเรื่องฟ้าจรดทรายนั้นมีจุด ประสงค์อะไรในการสร้าง ในเมื่อผู้สร้างไม่ได้มีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับศาสนาหรือวัฒนธรรมทางตะวันออก กลางหรือโลกอาหรับ ก็ไม่สมควรที่จะสร้าง และควรแยกแยะให้ออกด้วยว่าเรื่องศาสนาไม่สามารถแสดง เป็นละครสมมุติขึ้นมาได้ เพราะจะทำให้ผู้ชมเกิดความเข้าใจผิดได้
คำวิจารณ์จากทีวีดาวเทียม : “คนอิสลามเขาไม่มีปัญหาหรอก”
ขอชี้แจงว่า : แค่พูดก็ผิดแล้ว อิสลามไม่ใช่คน อิสลามคือศาสนา ส่วนผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามนั้น เรียกว่า มุสลิม ฉะนั้นแล้วอิสลามคือศาสนาที่บริสุทธิ์ ส่วนมุสลิมนั้นคือคนที่มีทั้งผิดและถูก ถ้าคุณจะบอกว่าอิสลามไม่มี ปัญหาคงจะผิดแล้ว อิสลามไม่มีละคร ส่วนมุสลิมที่เล่นละครหรือชอบละครก็เป็นมุสลิมที่ทำผิดนั่นเอง แต่ถ้าคุณจะหมายความว่า คนมุสลิมนั้นเขาไม่มีปัญหาหรอก ก็คงจะเป็นเฉพาะมุสลิมที่ไม่สนใจต่อหลักการ ไม่สนใจคำสั่งใช้ คำสั่งห้าม ก็เหมือนกับบุคคลทั่ว ๆ ไป มีศาสนาแต่ไม่สนใจในหลักคำสอน
แต่มุสลิมที่เขาสนใจในหลักการศาสนานั้น ก็คงไม่สบายใจที่มีละครที่พาดพึงถึงศาสนาในเรื่องใดก็ตามและ ไม่ต้องการที่จะให้ออกอากาศต่อไป เพราะจะทำให้ผู้ที่แยกแยะไม่ออกเข้าใจไปว่า ภาพที่ฉายออกมานั้นคือวิถี ของชาวมุสลิม คือหลักธรรมคำสอนของศาสนาอิสลาม
เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ณ ปัจจุบัน มุสลิมถูกวาดภาพให้เป็นผู้ก่อการร้าย ให้เป็นศาสนาที่น่ากลัว ศาสนาแห่ง สงครามโดยบรรดาสื่อตะวันตกทั้งหลาย และสื่อเหล่านั้นก็เข้าสู่แนวคิดของคนทั่วโลกแม้กระทั่งในเมืองไทย ก็ตาม ทั้งที่ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ อิสลามคือความสันติ ความสงบสุข นี่คือความหมายที่ถูกต้อง ของวิถีชีวิตของชาวมุสลิม
ฉะนั้นแล้วในเรื่องของศาสนานั้นเป็นความเชื่อของบุคคลที่มีความละเอียดอ่อนมาก ยากเกินกว่าที่ผู้ที่ไม่ได้นับ ถือศาสนานั้นจะเข้าใจได้ดี โปรดอย่านำมาปะปนกับละครที่ท่านอ้างว่ามันคือเรื่องสมมุติ แต่ละคนต่างก็รักและ ยึดมั่นในแต่ละศาสนา ไม่มีการเหยียดหยามดูถูกซึ่งกันและกันถึงแม้จะเป็นเพียงละครก็ตาม ในหลักคำสอนของ อิสลามนั้นห้ามไปละเมิดหลักความเชื่อของศาสนาอื่นเป็นอันขาด
“สำหรับพวกท่านก็คือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉันก็คือศาสนาของฉัน”
(อัลกุรอ่าน , อัล-กาฟิรูน : 6)
เพราะขนาดเป็นเรื่องของอาชีพ การเมือง ที่ปะปนไปกับละครบางเรื่อง ละครเหล่านั้นยังถูกยุติห้ามฉาย สัมมหา อะไรกับละครที่เกี่ยวข้องพาดพิงถึงศาสนาในลักษณะที่บิดเบือนด้วยแล้วนั้น บรรดาผู้นับถือศาสนานั้นจะนิ่งเฉย นอนดูสบายใจ โดยไม่ทำอะไรเลยนั้น ก็คงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นบุคคลที่คุณควรวิจารณ์นั้น สมควรไปวิจารณ์ผู้สร้างมากกว่าจะมาวิจารณ์มุสลิม ที่เขาเพียงแค่ต้องการไม่ให้ พี่น้องต่างศาสนานั้นเข้าใจผิดในหลักการศาสนา เพราะทุกวันนี้พี่น้องต่างศาสนาในบ้านเมืองของเรานั้น ก็เข้าใจผิดในหลักการอิสลามหลาย ๆ เรื่องอยู่แล้ว อย่ามาตำหนิกันเลยครับ ผมรักศาสนาผม คุณรักศาสนาคุณ เรื่องศาสนาต่างคนต่างเชื่อไม่ละเมิดซึ่งกันและกัน ผมว่ามันจะทำให้สังคมนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้น
สิ่งใดที่ผู้อ่านเห็นว่าผิดพลาด หรือคลาดเคลื่อน ผู้เขียนยินดีน้อมรับคำตักเตือนเป็นอย่างยิ่ง
.......................................
โดย วะร่อซะตุซซุนนะฮฺ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น