ในมุมมองของผมเหตุการณ์ที่อิสราเอลถล่มเลบานอนอย่างรุนแรงนั้นเป็นเรื่องปกติในบรรยากาศตะวันออกกลางที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและสงครามในหลายรูปแบบ การที่มุสลิมเป็นเหยื่อหรือฝ่ายที่ถูกอธรรมก็เป็นเรื่องปกติเช่นเดียวกัน(ถึงแม้ว่าความรุนแรงในบางครั้งจะมากกว่าก็ตาม) แต่ภาพที่จะปรากฏคือภาพของมุสลิมที่ไม่สามารถตอบโต้ผู้อธรรม เพราะประเทศมหาอำนาจ สังคมโลก ตลอดจนองค์การสหประชาชาติ มักจะเข้าข้างฝ่ายผู้อธรรมซึ่งเป็นประเทศที่ไม่ใช่มุสลิม
ในเหตุการณ์ครั้งนี้มีเรื่องที่ผิดปกติบางประการ จึงสร้างความสับสนแก่พี่น้องมุสลิมมากมาย เนื่องจากว่าสงครามครั้งนี้เป็นการปะทะระหว่างยิวกับฮิซบุลลอฮฺ ซึ่งเป็นขบวนการที่มีอุดมการณ์ของชีอะฮฺอิมามียะฮฺและมีข้อเกี่ยวพันกับประเทศอิหร่านด้านลัทธิอย่างเหนียวแน่น หลายๆคนมองว่านี่เป็นสงครามระหว่างยิวกับมุสลิม แต่สำหรับผมและนักวิชาการมุสลิมมากมายได้มองอีกมุมมองหนึ่ง เพราะกลุ่มฮิซบุลลอฮฺถึงแม้จะอ้างตนว่าเป็นมุสลิม แต่ในเชิงหลักศรัทธามั่นและข้อแตกต่างระหว่างซุนนีกับชีอะฮฺถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อนอกรีตอิสลาม เพราะกลุ่มนี้มีความเชื่อว่าคัมภีร์อัลกุรอานไม่สมบูรณ์ และมีความเชื่อในว่าอะฮฺลุลบัยตฺบางท่านนั้นผู้ศรัทธาสามารถวิงวอนหรือกราบไหว้เขาได้ รวมถึงความเชื่อในบรรดาอิมามของเขาว่าเป็นมะอฺศูมเหมือนบรรดานบีและร่อซูล ตลอดจนความเชื่อต่อสาวกนบีว่าเป็นผู้ทรยศและตกศาสนา ซึ่งเมื่อพิจารณาความเชื่อของลัทธินี้อย่างละเอียดจะพบว่าสวนกับหลักศรัทธาของอัลกุรอานและซุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อย่างสิ้นเชิง ข้อวิพากษ์นี้เกี่ยวกับความเชื่อ ไม่เกี่ยวกับการตัดสินต่อบุคคลคนหนึ่งว่านอกรีตศาสนาหรือไม่ ดังนั้นความเชื่อต่อฮิซบุลลอฮฺนั้นก็หมายถึง เชื่อว่ากลุ่มนี้มีความเชื่อที่ไม่ใช่อิสลาม จึงไม่สมควรที่จะถือว่าฮิซบุลลอฮฺนั้น(โดยนิติบุคคล)เป็นกลุ่มมุสลิม
นอกเหนือจากนั้นวัตถุประสงค์ในการเคลื่อนไหวของอิหร่านกับกลุ่มฮิซบุลลอฮฺคือ เพื่อขยายอำนาจของชีอะฮฺไปทั่วโลกโดยเฉพาะในตะวันออกกลาง เพื่อเป้าหมายนี้อิหร่านจึงได้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์สำหรับข่มขู่ประเทศเพื่อนบ้านซึ่งล้วนเป็นประเทศซุนนีทั้งสิ้น อาวุธปรมาณูของอิหร่านไม่ได้ถูกพัฒนาเพื่อข่มขู่อเมริกาหรืออิสรออีล เพราะในประวัติของอิหร่านเคยร่วมมือกับอเมริกาและอิสรออีลในสงครามระหว่างอิรักกับอิหร่านสมัยที่ ซัดดัม ฮุสเซ็น ยังเป็นประธานาธิบดีของอิรัก และได้ร่วมมือกับประเทศอเมริกาเพื่อถล่มรัฐบาลฏอลีบันและกลุ่มกออิดะฮฺในอัฟฆอนิสถาน จนถึงช่วงที่อเมริกาเข้าไปยึดครองอิรักนั้นก็ไม่มีใครที่ยื่นมือให้การสนับสนุนเหมือนกลุ่มชีอะฮฺในประเทศอิหร่านและในประเทศอิรักด้วย
กลุ่มฮิซบุลลอฮฺก็เช่นเดียวกันได้รับนโยบายให้กระจายอำนาจของกลุ่มชีอะฮฺทั่วประเทศเลบานอน เพราะเลบานอนเคยเป็นแหล่งของชีอะฮฺในอดีต และการปะทะระหว่างฮิซบุลลอฮฺ กับอิสรออีลตลอดอดีตนั้นก็เป็นการปะทะที่มีกติกากรอบและขอบเขต เสมือนเป็นการเล่นเกมระหว่างสองฝ่าย เพราะกลุ่มฮิซบุลลอฮฺที่เฝ้าชายแดนทางใต้ของเลบานอน(ซึ่งติดกับชายแดนตอนเหนือของประเทศอิสรออีล)ได้ทำหน้าที่ปราบปรามทุกกลุ่มที่ต้องการปฏิบัติการถล่มหรือระเบิดพลีชีพทางตอนบนของอิสรออีล จึงนับเป็นตำรวจตระเวนชายแดนที่อาสาปกป้องดินแดนของอิสรออีล
บางคนอาจสับสนว่าการถล่มอย่างรุนแรงและมีผู้เสียชีวิตมากขนาดนี้ จะเรียกว่าเป็นเกมได้อย่างไร แท้จริงการที่มีความเสียหายเกิดขึ้นกับฝ่ายประเทศเลบานอนนั้นไม่ใช่หมายรวมว่าฮิซบุลลอฮฺเสียหายอยู่ฝ่ายเดียว เพราะมีกลุ่มซุนนีและศาสนาอื่นที่ร่วมอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นด้วย และฮิซบุลลอฮฺก็ไม่ได้กังวลมากนักเกี่ยวกับจำนวนผู้เสียชีวิต เพราะชาวเลบานอนมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ และความเสียหายนี้จะเป็นเครื่องมือสำหรับฮิซบุลลอฮฺในการเรียกร้องความสงสารและการสนับสนุนจากโลกมุสลิมทั้งหลาย ซึ่งใครที่ติดตามสถานการณ์จะพบว่าฮิซบุลลอฮฺได้ใช้สื่อมวลชนในทำนองนี้อย่างคุ้มค่า ไม่ใช่เฉพาะโฆษณาความเป็นวีรบุรุษของตน แต่ยังโฆษณาความเชื่อของลัทธิชีอะฮฺไปด้วย ซึ่งข้อสรุปที่หนีพ้นไม่ได้ในเหตุการณ์นี้คือ ฮิซบุลลอฮฺไม่ได้ญิฮาดเพื่ออิสลาม และไม่ใช่ญิฮาดเพื่อมุสลิม แต่สร้างสถานการณ์เพื่อผลประโยชน์ให้แก่ตนเองและประเทศอิหร่าน ประโยชน์ที่ประเทศอิหร่านได้มาคือข้อต่อรองกับประเทศมหาอำนาจที่กำลังเล่นงานอิหร่านเกี่ยวกับปัญหาอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งอิหร่านสามารถบอกกับประเทศมหาอำนาจได้ว่า เราไม่ใช่ประเทศธรรมดาๆ เราเป็นประเทศที่มีอำนาจกว้างขวางเหมือนกัน และสามารถสร้างสถานการณ์ที่อาจกระทบความมั่นคงของประเทศที่เป็นพันธมิตรกับอเมริกาด้วย(คือประเทศอิสรออีล) ประโยชน์ที่กลุ่มฮิซบุลลอฮฺจะได้จากสถานการณ์นี้คือ ความเชื่อถือที่ชาวเลบานอนจะให้แก่ฮิซบุลลอฮฺ เพราะแน่นอนในบรรดาพรรคและกลุ่มที่มีอำนาจในเลบานอนนั้นมีอยู่กลุ่มเดียวที่คะแนนขึ้นสูงมากในช่วงสถานการณ์นี้ เพราะฮิซบุลลอฮฺได้เหมารับผิดชอบปกป้องดินแดนเลบานอนและอาสาทำหน้าที่ตอบโต้ประเทศอิสรออีลแทนประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ซีเรีย อิหร่าน และเลบานอนด้วย ภาพพจน์คือโลกมุสลิมไม่มีใครสามารถเผชิญหน้ากับอิสรออีลนอกจากฮิซบุลลอฮฺ(ซึ่งเป็นเครื่องมือของอิหร่าน) ซึ่งจะเป็นข้อสรุปในอนาคตว่า กลุ่มชีอะฮฺเท่านั้นที่มีผลงานในการต่อต้านศัตรูอิสลาม
แต่ข้อเท็จจริงที่ผู้วิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิดจะเห็นได้ชัดคือ อิหร่านและฮิซบุลลอฮฺไม่มีนโยบายและไม่เคยมีประวัติในการทำสงครามกับประเทศอิสรออีล และกลุ่มชีอะฮฺดังกล่าวพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับอิสรออีลและอเมริกาเพื่อถล่มกลุ่มซุนนีดังที่เคยปรากฏในประเทศอัฟฆอนิสถานและอิรัก ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ขบวนการของ มุคตะดา อัศศอด ผู้นำชีอะฮฺในอิรักได้แสดงนโยบายของกลุ่ม มุคตะดา อัศศอด ว่า "เราพร้อมที่จะร่วมมือกับกลุ่มฮิซบุลลอฮฺในการต่อต้านอเมริกาและอิสรออีล ในขณะเดียวกันเราก็พร้อมที่จะร่วมมือกับอเมริกาและอิสรออีลเพื่อถล่มกลุ่มมุญาฮิดีนซุนนีที่ประเทศอิรัก" ประชาชนส่วนมากไม่รู้ว่ากลุ่มชีอะฮฺในอิรักได้สังหารชาวซุนนีไปจำนวนมากกว่าหนึ่งแสนคน ตามแถลงการณ์ของอัชชัยคฺฮาริษ อัฎฎอรียฺ (เลขาธิการคณะอุละมาอฺมุสลิมีนในประเทศอิรัก ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของกลุ่มซุนนี) และผลงานของประเทศอิหร่านในการสังหารชาวซุนนะฮฺภายในประเทศอิหร่านก็เป็นที่รู้กันอย่างดีในวงนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งกล่าวได้ว่าในอิหร่านนั้น ชาวยิว ชาวคริสต์ และศาสนาอื่นๆ มีสิทธิมากกว่าชาวซุนนะฮฺ
จากข้อมูลข้างต้นผมไม่อยากให้ผู้อ่านเข้าใจว่าผมยินดีที่จะให้ประเทศอิสรออีลได้รับชัยชนะ เพราะความประสงค์เช่นนี้ไม่เป็นความประสงค์ของบรรดาผู้ศรัทธาที่มีอุดมการณ์ ผมสนับสนุนทุกวิถีทางที่จะเป็นการถล่มและยับยั้งอุบายของประเทศอิสรออีลในตะวันออกกลาง ทั้งนี้ถ้าชาวซุนนะฮฺทั่วโลกต้องการต่อต้านประเทศอิสรออีลก็มีทางเลือกที่เป็นขบวนการต่อต้านอิสรออีลอื่นจากฮิซบุลลอฮฺ กล่าวคือ การสนับสนุนฮิซบุลลอฮฺ(ในฐานะที่เป็นตัวแทนของชีอะฮฺ)นั้นไม่ถูกต้องและจะไม่สัมฤทธิ์ผล เพราะเป้าหมายของฮิซบุลลอฮฺไม่ใช่เป้าหมายของชาวซุนนะฮฺทั่วโลก ดังนั้น ไม่เป็นจุดยืนที่แปลกประหลาดถ้าเราประกาศว่า ไม่สนับสนุนฮิซบุลลอฮฺและไม่อยากให้อิสรออีลได้รับชัยชนะในสงครามนี้ แต่เราต้องการให้มีขบวนการของซุนนะฮฺเองที่ทำหน้าที่ต่อต้านประเทศอิสรออีล ซึ่งปัจจุบันนี้มีทางเลือกหลายกลุ่ม แต่ไม่เป็นที่นิยมในสายตาโลกมุสลิม เพราะถูกระบุในแบล๊คลิสต์ของอเมริกาว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย อาทิเช่น กลุ่มฮามาส กลุ่มญิฮาดอิสลามียฺ(ประเทศปาเลสไตน์) และกลุ่มอิควานมุสลิมีน(ประเทศเลบานอน)
ความขัดแย้งระหว่างซุนนีกับชีอะฮฺอยู่ในระดับความมั่นคงที่ต้องจัดการทุกเวลา หมดยุคแล้วสำหรับคำพูดที่ว่า ความขัดแย้งกับชีอะฮฺเก็บไว้ก่อน เพราะมีศัตรูที่ฉกาจกว่าชีอะฮฺ เพราะความขัดแย้งดังกล่าวไม่เคยถูกพิจารณาอย่างเป็นธรรม มิหนำซ้ำจะถูกเก็บโดยตลอดและบางกลุ่มจะพยายามกลบความขัดแย้งดังกล่าวเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ถึงแม้ว่าหลักการศาสนาจะเสียหายก็ตาม
จุดยืนอันบริสุทธิ์ของชาวซุนนะฮฺคือไม่เคยร่วมมือกับศัตรูอิสลามเพื่อถล่มชาวชีอะฮฺตลอดประวัติศาสตร์ และในสงครามครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน แต่จุดยืนของชีอะฮฺตรงข้ามกับจุดยืนของชาวซุนนะฮฺตลอดประวัติศาสตร์ เมื่ออิบนุลอัลกอมีรกับ นะศีรุดดีน อัตตูซียฺ ได้ร่วมมือกับกองทัพมองโกล(ใน ฮ.ศ.7) เพื่อยึดเมืองบัฆแดด, และอาณาจักรศ็อฟวียะฮฺแห่งอิหร่าน(เป็นชาวชีอะฮฺที่ขัดขวางมิให้อาณาจักรอุษมานียะฮฺได้ขยายอิสลามในยุโรปและพยายามยุแหย่สร้างสถานการณ์มาโดยตลอด(ช่วง ฮ.ศ.9-10)), ตลอดจน อะลี อัสซิซตานียฺ ผู้นำสูงสุดของชีอะฮฺในประเทศอิรักที่ออกฟัตวาห้ามมิให้ชีอะฮฺต่อต้านทหารอเมริกาและส่งเสริมให้ชาวชีอะฮฺในอิรักร่วมมือกับรัฐบาลอเมริกา หากใครถามว่า แล้วฮิซบุลลอฮฺเกี่ยวอะไรกับข้อมูลดังกล่าว ? คำตอบก็คือ เพราะทุกชื่อทุกกลุ่มที่ระบุข้างต้นล้วนเป็นกลุ่มชีอะฮฺ 12 อิมามเหมือนกันและมีอุดมการณ์เหมือนกัน
หะซัน นัศรุลลอฮฺ ได้ออกฟัตวาว่า กลุ่มวะฮะบียฺไม่เกี่ยวกับอิสลามแต่อย่างใด และเคยมีบทบาทเข่นฆ่าชาวซุนนีในสงครามระหว่างกลุ่มต่างๆที่ขัดแย้งทางการเมืองภายในเลบานอน เพราะฉะนั้นในทัศนะของผมไม่เห็นด้วยที่จะยอมให้เห็นว่า หะซัน นัศรุลลอฮฺ เป็นวีรบุรุษของประชาชาติ เพราะเป็นบุคคลที่ทำร้ายอิสลามอย่างชัดเจน ทำนองเดียวกับกลุ่มชีอะฮฺในประเทศไทยที่มีอะกีดะฮฺ จุดยืน และนโยบาย เป็นกันหนึ่งอันเดียวกับอิหร่านและฮิซบุลลอฮฺ ซึ่งไม่เคยมีความเป็นธรรมกับชาวซุนนีในประเทศไทยมาโดยตลอด และความแตกแยกในภาคใต้ก็เพราะกลุ่มชีอะฮฺที่ทำให้ประชาชนกลายเป็นสองฝ่ายสองซีกที่ไม่เห็นพ้องกัน สถานทูตอิหร่านในประเทศไทยก็มีบทบาทสูงในการสร้างความแตกแยกในสังคมมุสลิมไทย เพราะมีเป้าหมายที่ต้องการขยายลัทธิชีอะฮฺและได้กระทำทุกวิถีทางเพื่อให้ชื่อเสียงของชีอะฮฺปรากฏในทุกสนาม กระนั้นสำหรับชาวซุนนะฮฺเป็นที่ประจักษ์แจ้งว่าปัญหาชีอะฮฺไกล่เกลี่ยไม่ได้ หรือประนีประนอมให้เป็นกลางไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะการเห็นชอบกับกลุ่มนี้ก็เสมือนว่าได้สละสิทธิ์ในความเป็นมุสลิมอย่างแท้จริง
.............................
Marco Solomon
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น