อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

ลูกวัวทองคำ



หลังจากที่นบีมูซาเดินทางไปที่ภูเขาฏูร เพื่อไปรับบัญญัติ 10 ประการ ขณะเดียวกันั้นชาวบนีอิสรออีลกลับรวบรวมทองคำมาหล่อเป็นลูกวัวทองคำแล้วนำมาเคารพบูชากัน อัลกุรอานเล่าให้ฟังดังนี้ อัลลอฮฺได้ตรัสกับมูซาว่า [แท้จริงเราได้ทดสอบกลุ่มชนของเจ้า]
(อัลกุรอาน 20 : 85)

คือทดสอบพวกเขาด้วยการบูชาลูกวัว หลับจากที่มูซาได้ออกจากพวกเขาไปยังภูเขาฏูร [หลังจากทีเจ้าได้จากมา และซามีรีย์ก็ได้ทำให้พวกเขาหลงทาง]
(อัลกุรอาน 20 : 85)

นักตัฟซีรกล่าวว่า ขณะที่มูซากำลังสนทนาอยู่กับพระเจ้าของเขานั้น เขาได้มอบให้ฮารูนพี่ชายของเขาอยู่ร่วมกับชาวบนีอิสรออีลและใช้ให้เขาทำสัญญากับพวกเขาให้พำนักอยู่ด้วยความจงรักภักดีต่ออัลลอฮฺ ในขณะนั้นซามีรัย์ได้รวบรวมเครื่องประดับเอามาหลอมเป็นลูกวัว แล้วได้เชิญชวนพวกเขาไปบูชา พวกเขาจึงเฝ้าบูชาอยู่ เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากมูซาได้จากพวกเขาไปเป็นเวลา 20 วันเท่านั้น

ครั้นเมื่อ [มูซา ได้กลับมายังกลุ่มชนของเขาด้วความกริ้วโกรธเสียใจ]
(อัลกุรอาน 20 : 86)

คือมูซาได้กลับมาจากภูเขาฏูร หลังจากที่ได้พำนักอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 40 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เขาได้รับวะฮีย์คัมภีร์เตารอด มูซากล่าวว่า : [โอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย พระเจ้าของท่านมิได้ทรงสัญญากับพวกท่านด้วยสัญญาที่ดีดอกหรือ คำมั่นสัญญานั้นนานเกินไปสำหรับพวกท่านกระนั้นหรือ ? หรือว่าพวกท่านประสงค์ที่จะให้ความกริ้่วจากพระเจ้าของท่านเกิดขึ้นแก่พวกท่าน พวกท่านจึงได้บิดพริ้วสัญญาของฉัน]
(อัลกุรอาน 20 : 86)

กลุ่มชนของมูซากล่าวว่า [เราไม่ได้บิดพริ้วสัญญาของท่าน ตามความสมัครใจของเราดอก แต่ว่าเราต้องแบกน้ำหนักเครื่องประดับของพรรคพวกอย่างมากมาย]
(อัลกุรอาน 20 : 87)

คือเราถูกบังคับให้กระทำเช่นนั้น [เราจึงโยนมันลงไปเช่นเดียวกับซามีรีย์ก็ได้โยนมันลงไปด้วย]
(อัลกุรอาน 20 : 87)

คือโยนเครื่องประดับที่แบกกันมานั้นลงในกองไฟ โดยคำสั่งของซามีรีย์ [แล้วซามีรีย์กก็ได้ทำลูกวัวออกมาเป็นรูปร่าง มีเสียงร้อง]
(อัลกุรอาน 20 : 88)

คือจากเครื่องประดับเหล่านั้นเขาหลอมเป็นลูกวัว มันไม่มีวิญญาณ แต่มีเสียงร้องคล้ายลูกวัว [พวกเขาจึงกล่าวว่า นี่คือพระเจ้าของพวกท่าน และพระเจ้าของมูซา แต่เขาลืมเสีย]
(อัลกุรอาน 20 : 88)

คือมูซาได้ลืมพระเจ้าของเขาไว้ที่นี่และไปขอพระเจ้าที่ภูเขาฏูร [พวกเขาไม่รู้่ดอกหรือว่า มันไม่อาจจะให้คำตอบแก่พวกเขา และมันไม่สามารถจะใ้หโทษและให้คุณแก่พวกเขาเลย]
(อัลกุรอาน 20 : 89)

แล้วมันจะเป็นพระเจ้าได้อย่างไร ? [และโดยแน่นอน ฮารูนได้กล่าวกับพวกเขาก่อน]
(อัลกุรอาน 20 : 90)

คือก่อนที่มูซาจะกลับมายังพวกเขา ว่า [โอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย แท้จริงพวกท่านถูกทดสอบให้หลงเสียแล้ว และแท้จริงพระเจ้าของพวกท่านนั้นคือพระผู้ทรงกรุณาปรานี ดังนั้น พวกท่านจงปฏิบัติตามฉัน และจงเพื่อฟังคำสั่งของฉัน]
(อัลกุรอาน 20 : 90)

ด้วยด้วยการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺองค์เดียว พร้อมกันนั้นก็จงเชื่อฟังคำสั่งของฉันด้วยการเลิกบูชาลูกวัวที่หล่อขึ้นมานั้นด้วย พวกเขาตอบโต้ฮารูนว่า [เรายังคงจะบูชามัน โดยจะจงรักภักดีต่อมัน จนกว่ามูซาจะกลับมาหาพวกเรา]
(อัลกุรอาน 20 : 91)

ครั้ืงเมื่อกลับมาแล้ว และได้เห็นพวกเขาพวกเขาเฝ้าบูชาลูกวัว มูซาโกรธมาก ตรงเข้าไปหาฮารูนผู้เป็นพี่ชาย มือหนึ่งดึงผมอีกมือหนึ่งดึงเครา พร้อมกล่าวว่ [โอ้ ฮารูนเอ๋ย อันใดเล่าที่ยังยั้งท่าน เมื่อท่านเห็ฯพวกเขาหลงผิด]
(อัลกุรอาน 20 : 92)

คือ มีอะไรมาห้ามท่านหรือ เมื่อท่านเห็นพวกเขาปฏิเสธต่ออัลลอฮิ แล้วไม่ห้่ามปรามพวกเขา [ทำไมท่านจึงไม่ปฏิบัติตามฉัน ท่านฝ่าฝินคำสั่งของฉันกระนั้นหรือ]
(อัลกุรอาน 20 : 93)

ฮารูนกล่าวว่า [โอ้ลูกของแม่ฉันเอ๋ย อย่าดึงเคราและศีรษะของฉันซิ แท้จริงฉันกลัวว่าท่านจะกล่าวกับฉันว่า ท่านได้ก่อการแตกแยกขึ้นในหมู่ชาวบนีอิสรออีล]
(อัลกุรอาน 20 : 94)

ฉันกลัวว่า หากฉันห้ามพวกเขาด้วยกำลัง ก็จะเกิดการฆ่ากันขึ้น แล้วท่านก็จะมาว่าฉันว่า ท่านได้ก่อให้เกิดหายนะขึ้นในระหว่างพวกเขา [และท่านไม่คอยฟังคำสั่งของฉัน]
(อัลกุรอาน 20 : 94)

ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเห็นว่า ฉันจะไม่ทำอะไรจนกว่าท่านจะกลับมาหาพวกเขา เืพื่อท่านจะได้รู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตัวของท่านเอง ดังนั้น มูซาจึงหันไปกล่าวกับซามีรีย์ว่า [เ้จ้าต้องการอะไร โอ้ ซามีรีย์ เอ๋ย]
(อัลกุรอาน 20 : 95)

ซามีรีย์กล่าวว่า [ฉันเห็นในสิ่งที่พวกเขามองไม่เห็น (คือเห็นญิบรีล) ดังนั้น ฉันจึงกำเอากอบหนึ่งจากรอย (เท้า) ของศาสนทูต (ญิบรีล) แล้ว ฉันได้โยนมันลงไปและเช่นนั้นแหละจิตใจของฉันได้เห็นดีงามด้วย]
(อัลกุรอาน 20 : 96)

มีรายงานหลายกระแสกล่าวถึงเีรื่องนี้ว่า ซามีีรีย์ได้เห็นญิบรีลในสภาพที่ท่านแหลงกายลงมาที่พื้นดิิน แล้วเขาก็ได้กำเอาฝุ่นมากอบหนึ่งจากรอยเท่านของญิบรีล หรือจากรอยเท้าของพาหนะที่ญิบรีลขี่ลงมา แล้วเอาโยนลงไปที่ลูกวัวที่หล่อมาจากทองคำแท้ ลูกวัวจึงมีเสียงร้องออกมาเหมือนมีชีวิต มูซากล่าวว่า [ท่านจงออกไป แท้จริงสำหรับท่านในชีวิตนี้จะได้รับการลงโทษโดยท่านกล่าวว่า อย่ามาแตะต้องฉัน]
(อัลกุรอาน 20 : 97)

มูซากล่าวกับซามีรีย์ว่า การลงโทษแก่ท่านในโลกนี้คือ ท่านอย่าไปแตะต้องหรืออย่างไปยุ่งกับผู้ใดและก็ไม่มีผุ้ใดมาแตะต้องหรือยุ่งเกี่ยวกับท่านทั้งในทางดีหรือทางชั่ว นี่คือวิธีหนึ่งของการลงโทษในศาสนาของมูซา คือการลงโทษให้อยุ่อย่างโดดเดี่ยว [และแท้จริงสำหรับท่านนั้นมีสัญญาหนึ่ง ท่านจะไม่ถูกทำให้ผิดสัญญาและจงดูพระเจ้าของท่าน ซึ่งท่านยึดถือบูชามัน แน่นอนเราจะเผามัน แล้วเราจะโปรยมันลงในทะเลให้กระจาย]
(อัลกุรอาน 20 : 97)

การลงโทษในโลกอาคิเราะฮฺนั้นคือการตอบแทนจากอัลลอฮฺ ท่านจะิิผิดสัญญาไม่ได้ หมายถึงท่านจะได้รับกาารตอบแทนอย่างแน่นอน [แท้จริงพระเจ้าของพวกท่านนั้นคืออัลลอฮฺ ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่เที่ยงแท้นอกจากอัลลอฮฺ พระองค์ทรงแผ่ความรอบรุ้ไปยังทุกสิ่ง]
(อัลกุรอาน 20 : 98)



(จากหนังสือ : เรื่องเล่ากุรอาน เล่ม 2)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น