อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อิสรออ์และมิอฺรอจญ์



พระองค์อัลลอฮฺ (ศุบอานะฮูวะตะอาลา) ตรัสว่า

سُبْحَانَ الَّذِي أَسْرَى بِعَبْدِهِ لَيْلاً مِّنَ الْمَسْجِدِ الْحَرَامِ إِلَى الْمَسْجِدِ الأَقْصَى الَّذِي بَارَكْنَا حَوْلَهُ لِنُرِيَهُ مِنْ آيَاتِنَا إِنَّهُ هُوَ السَّمِيعُ البَصِيرُ

"พระองค์ผู้ทรงมหาบริสุทธิ์ยิ่งนัก  พระองค์ผู้ทรงนำบ่าวของพระองค์(มุฮัมมัด) ให้เดินทางในยามค่ำคืนจากมัสยิดอัลฮะรอมสู่มัสยิดอัลอักซอ  ซึ่งเราได้ให้ความสิริมงคลแก่รอบ ๆ ของมัน  ทั้งนี้เพื่อเราจะให้เขามองเห็นบางส่วนแห่งสัญลักษณ์ของเรา  แท้จริงพระองค์ทรงเป็นผู้ได้ยินยิ่ง  อีกทั้งทรงมองเห็นยิ่ง" (อัลกุรอาน สุเราะฮฺอัลอัสรออฺ :1)


وَمَا جَعَلْنَا الرُّؤيَا الَّتِي أَرَيْنَاكَ إِلاَّ فِتْنَةً لِّلنَّاسِ

“และเรามิได้ทำให้การมองเห็นภาพต่างๆที่เราได้แสดงแก่เจ้า (ในค่ำคืนมิอฺรอจญ์) นอกจากเพื่อเป็นการทดสอบศรัทธาอย่างหนึ่งสำหรับมวลมนุษย์” (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัลอิสรออฺ :60)

รายงานอิบนิอับบาส และญาบิร (รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา) กล่าวว่า

(وُلِدَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَامَ الْفِيْلِ يَوْمَ الاِثْنَيْنِ الثَّانِي عَشَرَ مِنْ رَبِيْعِ الأَوَّلِ، وَفِيْهِ بُعِثَ، وَفِيْهِ عُرِجَ بِهِ إِلَى السَّمَاءِ، وَفِيْهِ هَاجَرَ، وَفِيْهِ مَاتَ)

“รสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถูกให้กำเนิดในปีช้าง วันจันทร์ที่ 12 เดือนเราะบีอุลเอาวัล ในเดือนนี้ท่านถูกแต่งตั้งเป็นรสูล และในเดือนนี้ท่านถูกพาขึ้นสู่ฟากฟ้า (มิอฺรอจญ์) และในเดือนนี้ท่านเดินทางฮิจญ์เราะฮฺ (สู่มหานครมะดีนะฮฺ) และในเดือนนี้ (อีกเช่นกัน) ท่านได้เสียชีวิตลง” (บันทึกโดยอิบนุ อบีชัยบะฮฺ ในอัลมุศ็อนนัฟ และอัลญูซกอนีย์ ในอัลอะบาฏิล เล่ม 1 หน้า 126 ด้วยสายรายงานที่เศาะหีหฺตามเงื่อนไขของอัลบุคอรีย์ (ดูหนังสือ ตารีฆเมาลิด อันนะบี ของฏ็อรฮุนีย์))


ท่านอิมามบุคอรีย์และมุสลิมได้รายงานเรื่องราวดังกล่าวจากท่านอะนัส ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  ซึ่งมีเนื้อความว่า
 "ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า ฉันได้เดินทางโดยบุร๊อก  ซึ่งบุร๊อกมีลักษณะคล้ายมากกว่าลาแต่ก็ไม่ถึงกับคล้ายล่อ  ซึ่งมันสามารถเดินเพียงก้าวเดียวก็ไปสุดลิบตา  ฉันได้ขี่มันจนไปถึงบัยตุลมักดิส คือ มัสยิดอัลอักซอ ฉันได้เข้าไปในมัสยิดและทำการละหมาดสองรอกะอัต  และฉันก็ออกมาจากมัสยิด  ดังนั้นญิบรีลได้มาหาฉันโโยนำภาชนะที่มีเหล้า และก็อีกภาชนะหนึ่งเป็นน้ำนม  และฉันก็เลือกดื่มน้ำนม  ญิบรีลกล่าวว่า "ท่านได้เลือกความบริสุทธิ์ (ซึ่งชี้ให้เห็นว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งความบริสุทธิ์นั่นเอง)

หลังจากนั้นท่านญิบรีลนำฉันขึ้นไปยังชั้นฟ้าที่ 1  ท่านญิบรีลจึงขออนุญาตเพื่อให้เปิดประตูชั้นฟ้าชั้นแรก  จึงเสียงกล่าวขึ้นว่า "ท่านเป็นใคร?" ญิบรีลตอบว่า "ฉันคือญิบรีล" และมีเสียงกล่าวขึ้นอีกว่า "ใครมาพร้อมกับท่านหรือ?" ญิบรีลตอบว่า "เขาคือมุฮัมมัด" และมีเสียงกล่าวอีกว่า "เขาถูกส่งมาที่นี้หรือ?" ญิบรีลตอบว่า "ใช่แล้ว เขาถูกส่งมาที่นี้"  ดังนั้นท้องฟ้าชั้นแรกจึงถูกเปิดให้แก่เรา  ทันใดนั้น  ฉันจึงพบกับนบีอาดำ  เขาได้ต้อนรับฉันและขอพรให้แก่ฉัน

จากนั้นญิบรีลได้นำฉันไปสู่ท้องฟ้าชั้นที่ 2 และขอเปิดชั้นฟ้าที่ 2 จึงมีเสียพูดอย่างเดิมเหมือนกับชั้นฟ้าชั้นแรก  แล้วทอ้งก็ถูกเปิดให้แก่เรา  ทันใดนั้นฉันจึงพบกับท่านนบียะห์ยาและนบีอีซา บุตร มัรยัม  ซึ่งทั้งสองได้ต้อนรับฉันและขอพรให้แก่ฉัน

หลังจากนั้นท่านญิบรีลจึงนำฉันไปสู่ท้องฟ้าชั้น 3  และขอเปิดท้องฟ้าชั้นที่  3  และมีเสียงพูดอย่างเดิมเหมือนชั้นแรก  และท้องฟ้าก็ถูกเปิดให้แก่ฉัน  และฉันได้พบกับนบียูซุฟ  เขาได้ให้การต้อนรับและขอพรให้แก่ฉัน  จากนั้นเราขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าชั้นที่ 4 ฉันจึงได้พบกับนบีอิดรีส  ดังนั้นเขาได้ต้อนรับฉันและขอพรให้แก่ฉัน  อัลเลาะฮ์ทรงตรัสไว้ในซูเราะฮ์มัรยัมความว่า "เราได้ยกเขา(คือนบีอิดรีส)สู่ที่พำนักอันสูงส่ง"  คือชั้นฟ้าชั้นที่ 4 นั่นเอง

หลังจากนั้นเราได้ขึ้นสู่ชั้นฟ้าชั้นที่ 5 ซึ่งเราได้พบกับนบีฮารูณ  เขาได้กล่าวต้อนรับฉันและขอพรให้แก่ฉัน  จากนั้นเราขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าที่ 6 ซึ่งฉันได้เจอกับนบีมูซา  เขาได้ทำการต้อนรับฉันและขอพรให้แก่ฉัน  จากนั้นเราได้ขึ้นไปสู่ฟากฟ้าชั้นที่ 7 และได้พบกับนบีอิบรอฮีม นั่งพิงอยู่  ณ  ที่บัยตุลมะอฺมูร  ซึ่งจะมีมะลาอิกะฮ์เข้าไปทุกวันถึง 70000 (เจ็ดหมื่น) ท่าน

หลังจากนั้น  ญิบรีล นำฉันไปสู่ต้นพุทรา(ซิดร่อตุลมุนตะฮา) ซึ่งเป็นต้นไม้ในสรวงสวรรค์  ซึ่งใบของมันเหมือนใบหูของช้าง  ผลขอมันเหมือนโอ่งดินเผา  ซึ่งบางครั้งต้นซิดร่อตุลมุนตะฮา ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงบ้าง  สีเหลืองบ้าง  เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินบ้าง  สีเงินบ้าง  ซึ่งไม่มีผู้ใดที่จะสามารถพรรณาถึงความงดงามของมันได้

จากนั้นอัลเลาะฮ์ทรงวาฮีให้แก่ฉันกับการรับบทบัญญัติละหมาด 50 เวลาในหนึ่งวันกับหนึ่งคืน  ฉันจึงลงไปหาท่านนบีมูซา  เขากล่าวว่า "อะไรหรือที่พระผู้อภิบาลของท่านได้ฟัรดูเหนือประชาชาติของท่าน"  ฉันตอบว่า "ละหมาด 50 เวลา" นบีมูซากล่าวว่า "ท่านจงกลับไปขอผ่อนปรน (ไม่ใช่ต่อรอง) ต่อพระผู้อภิบาลของท่าน  เพราะอุมมะฮ์ของท่านไม่มีความสามารถในการปฏิบัติดังกล่าวเพราะฉันได้เคยทดสอบกับชาวนบีอิสรออีลมาแล้ว ท่านนบีมุฮัมมัดจึงกล่าวว่า "ฉันได้กลับไปยังพระผู้อภิบาลของฉันและกล่าวขอต่อพระองค์ว่า "โอ้พระเจ้าของฉัน  โปรดทรงผ่อนปรนให้อุมมะฮ์ของฉันด้วยเถิด  ดังนั้น พระองค์ทรงลดให้ฉันจนกระทั่งหลือ 5 เวลา"  จนกระทั่งอัลเลาะฮ์ตาอาลา ทรงตรัสกับนบีมุฮัมมัดว่า "โอ้มุฮัมมัดเอ๋ย ละหมาดนั้นมี 5 เวลา ในทุกหนึ่งวันและหนึ่งคืน  และทุกหนึ่งเวลาเท่ากับ 10 เวลาละหมาด  ดังกล่าวนั้นจึงเท่ากับ 50 เวลา  และผู้ใดที่ตั้งใจกระทำ 1 ความดี  แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติมัน  ก็ย่อมถูกบันทึกให้แก่เขาหนึ่งความดี  และผู้ใดตั้งใจกระทำ 1 ความชั่ว แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติมัน  ก็ไม่ถูกบันทึกบาปใด ๆ แก่เขา  และผู้ใดตั้งใจกระทำ 1 ความชั่ว  และได้กระทำมันลงไป  ก็จะถูกบันทึกให้แก่เขา 1 ความชั่วเท่านั้น

 ดังนั้นฉันจึงลงจากฟากฟ้าและได้พบกับนบีมูซาและทำการเล่าให้นบีมูซาฟัง  ท่านนบีมูซากล่าวว่า "ท่านจงกลับไปขอผ่อนปรนต่ออัลเลาะฮ์อีกเถิด"  ท่านนบีมุฮัมมัดกล่าวว่า "ฉันได้กลับไปยังพระผู้อภิบาลของฉันจนกระทั่งละอายต่อพระองค์เสียแล้ว"

หลังจากนั้นท่านนบีจึงกลับไปยังนครมักกะฮ์ในตอนกลางคืน  เมื่อถึงตอนเช้าท่านจึงออกไปยังที่ชุมนุมชาวกุเรช  อบูญะฮัลจึงไปหาท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  และท่านนบีก็พูดกับอบูญะฮัลในเรื่องที่เกิดขึ้นกับท่านเกี่ยวกับการเดนิทางไปยังบัยตุลมักดิส  อบูญะฮัลจึงกล่าวกับชาวมักกะฮ์ว่า "โอ้ นบีกะอับ บิน ลุอัยย์  พวกท่านทั้งหลายจงมาที่นี่ซิ"  พวกกุฟฟารจึงหันไปทางอบูญะฮัล  ดังนั้นท่านนบีจึงทำการบอกสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่านในเมื่อคืนที่ผ่านมา (คือเรื่องอิสรออฺเมี๊ยะอฺร๊อจญ์) เมื่อพวกกุฟฟารได้ยินเรื่องดังกล่าว  พวกเขาต่างพากันปรบมือ หัวเราะ (เย้ยหยัน) และเอามือวางบนศีรษะเพื่อแสดงความแปลกใจและปฏิเสธ  ดังกล่าวจึงทำให้ผู้มีอีหม่านอ่อนแอตกศาสนา  เพราะเวลาเดินทางจากมักกะฮ์สู่บัยตุลมักดิสต้องใช้เวลาเดินทาง 2 เดือน แต่ท่านนบีไปกลับแค่คืนเดียว พวกเขาเชื่อว่าท่านนบีโกหก  จากนั้นพวกกุฟฟารกุร๊อชก็ไปหาท่านอบูบักรและเล่าเรื่องอิสรออ์ให้ฟัง  แต่ท่านอบูบักรกล่าวว่า "ถ้าหากมุฮัมมัดกล่าวเช่นนั้นแล้ว เขาย่อมพูดจริง" พวกกุฟฟารกล่าวกับอบูบักรว่า "ท่านเชื่อว่าสิ่งดังกล่าวนั้นเขาพูดจริงกระนั้นหรือ?" อบูบักรกล่าวตอบว่า "แท้จริงฉันจะเชื่อเขาในเรื่องที่เหลือเชื่อกว่านี้เสียอีก" และในวันนั้นอบูบักรจึงได้รับสมญานามว่า "อัศศิดดีก" (ผู้เชื่อในสัจธรรม)

ต่อมาพวกกุฟฟารกุร๊อชฺทำการทดสอบท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ซึ่งพวกเขาถามท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถึงคุณลักษณะของบัยตุลมักดิส  แต่ท่านนบีไม่เคยเห็นและไม่ได้สังเกตุลักษณะของมันมาก่อนเลย  ดังนั้นอัลเลาะฮ์ตาอาลา ทรงทำให้มันปรากฏต่อสองตาของท่านนบีและท่านก็ทำการบอกพรรณาทีละประตู  ทีละสถานที่  พวกเขาจึงกล่าวว่า "สำหรับการบอกถึงลักษณะบัยตุลมักดิสนั้น  ท่านบอกได้อย่างถูกต้อง  ดังนั้นท่านจงบอกเกี่ยวกับกองคาราวานของเราซิ  ซึ่งเวลานี้พวกเขายังมาไม่ถึง  ดังนั้นท่านนบีจึงบอกพวกเขาถึงจำนวนอูฐ  และลักษณะของมัน  และท่านนบียังกล่าวอีกว่า "กองคาราวานจะเดินทางมาถึงในวันนั้น  วันนั้น  ตอนดวงอาทิตย์ขึ้น  นำขบวนโดยอูฐสีเทา" เมื่อถึงวันนั้นพวกเขาจึงออกไปรอดูที่ อัษษะนียะฮ์ (ชื่อสถานที่) คนหนึ่งจากพวกเขากล่าว "ขอสาบาน นี้ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว"  แล้วอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า "ขอสาบาน  กองคาราวานได้มุ่งหน้ามาแล้วโดยมีอูฐสีเทานำขบวน  ตามที่มุฮัมมัดเคยกล่าวเอาไว้"  แต่กระนั้นพวกเขากลับโอหังและดันทุรัง จนกระทั่งพวกเขากล่าวว่า "สิ่งนี้ย่อมเป็นมายากลอย่างชัดเจน"  

ก่อนซุบฮ์เล็กน้อยของคืนอิสรออฺ  ท่านญิบรีลได้มาหาท่านร่อซูลุลลอฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เพื่อทำการสอนท่านเกี่ยวกับวิธีละหมาด  และเวลาละหมาดคือ มี 2 ร่อกะอัตเมื่อแสงอรุณขึ้น  มี 4 ร่อกะอัตเมื่อดวงอาทิตย์คล้อย  4 ร่อกะอัตเมื่อเงาของสิ่งหนึ่งเท่าตัวมันเอง  3 ร่อกะอัตเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า  4 ร่อกะอัตเมื่อแสงแดงลับขอบฟ้า  ก่อนที่ละหมาด 5 เวลา จะถูกบัญญัติขึ้นนั้น  ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เคยละหมาด 2 เวลา คือตอนเช้าและตอนเย็นเหมือนกับที่ท่านนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม เคยปฏิบัติมาก่อนหน้านี้



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น