อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เรื่องอิบาดะฮฺต้องตามไม่ใช่ต่อเติม




ศาสนาอิสลามสมบูรณ์แล้ว

อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

ٱلْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ وَأَتْمَمْتُ عَلَيْكُمْ نِعْمَتِى وَرَضِيتُ لَكُمُ ٱلإسْلاَمَ دِيناً} [المائدة: 3].

วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งศาสนาของพวกเจ้าและข้าได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งความกรุณาเมตตาของข้า และข้าได้ยินยอมอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้าแล้ว

1. อิบนุกะษีร(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) อธิบายว่า

هذه أكبر نعم الله ، عز وجل، على هذه الأمة حيث أكمل تعالى لهم دينهم ، فلا يحتاجون إلى دين غيره، ولا إلى نبي غير نبيهم، صلوات الله وسلامه عليه؛ ولهذا جعله الله خاتم الأنبياء، وبعثه إلى الإنس والجن، فلا حلال إلا ما أحله، ولا حرام إلا ما حرمه، ولا دين إلا ما شرعه، وكل شيء أخبر به فهو حق وصدق لا كذب فيه ولا خُلْف،

นี่คือ ความกรุณาอันยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ ต่อประชาชาตินี้ โดยที่พระองค์ผซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงให้ศาสนาของพวกเขาสมบูรณ์สำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องพึงพาศาสนาอื่นจากมันอีกแล้ว และไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพานบีใดๆออื่นจากนบีของพวกเขา(ขออัลลอฮโปรดประทานพรและความสันติสุขจงประสบแด่ท่าน)อีก และเพราะเหตุนี้ อัลลอฮทรงให้ท่านเป็นศาสดาองค์สุดท้ายในบรรดานบีทั้งหลาย และทรงส่งท่านมายังมวลมนุษย์และญิน ดังนั้น ไม่มีสิ่งอนุมัติใดๆ เว้นแต่สิ่งซึ่งพระองค์ทรงอนุมัติมัน , ไม่มีสิ่งต้องห้ามใดๆ เว้นแต่ สิ่งซึ่งพระองค์ได้ทรงห้ามมันไว้ และไม่ใช่ศาสนา เว้นแต่สิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติมันไว้ และทุกสิ่ง ที่ทรงบอกมันไว้ นั้น คือ ความถูกต้องและความจริง ไม่มีเท็จและการขัดแย้งในนั้น
................
แล้วท่านอิบนิกะษีร (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) อธิบายโดยกล่าวอีกว่า

قال علي بن أبي طلحة، عن ابن عباس قوله: ( الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ ) وهو الإسلام، أخبر الله نبيه صلى الله عليه وسلم والمؤمنين أنه أكمل لهم الإيمان، فلا يحتاجون إلى زيادة أبدا، وقد أتمه الله فلا ينقصه أبدا، وقد رضيه الله فلا يَسْخَطُه أبدا

อะลี บุตร อบีฏอ็ลหะฮ รายงานจากอิบนิอับบัส ท่านได้กล่าวไว้ว่า (วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งศาสนาของพวกเจ้า ) มันคือ อัลอิสลาม อัลลอฮ ได้ทรงบอกแก่นบีของพระองค์ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายว่า พระองค์ทรงให้การศรัทธาสมบูรณ์สำหรับพวกเขาแล้ว ดังนั้น ไม่จำเป็นจะต้องไปเพิ่มเติมมันตลอดไป และแท้จริงอัลลอฮทรงให้มันครบถ้วนแล้ว แล้วพระองค์จะไม่ให้มันบกพร่องตลอดไป และแท้จริง อัลลอฮทรงยินยอมมันแล้ว ดังนั้น พระองค์จะมิทรงกริ้วมันตลอดไป
- ดูตัฟสิรอิบนิกะษีร อรรถาธิบาย อายะฮที่ 3 ซูเราะฮอัล-มาอิดะฮ

2.อิหม่ามเชากานีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน ได้อธิบายว่า

فإذا كان الله قد أكمل دينه قبل أن يقبض نبيه صلى الله عليه وسلم، فما هو الرأي الذي أحدثه أهله بعد أن أكمل الله دينه، إن كان من الدين في اعتقادهم فهو لم يكمُل عندهم إلا برأيهم، وهذا فيه ردٌّ للقرآن، وإن لم يكن من الدين فأي فائدة بالاشتغال بما ليس من الدين؟!

แล้วเมื่อปรากฏว่า อัลลอฮทรงได้ให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์แล้ว ก่อนที่ทรงเอาชีวิตท่านศาสดาของพระองค์ศ็อลลอ็ลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ดังนั้นสิ่งที่เป็นความคิดเห็น ที่นักแสดงความคิดเห็น อุตริขึ้นมา หลังจากที่อัลลอฮทรงให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์แล้ว หากมันเป็นส่วนหนึ่งจากศาสนา ตามความเชื่อของพวกเขา ดังนั้นมันเท่ากับว่า ในทัศนะของพวกเขานั้น มันยังไม่สมบูรณ์ นอกจาก ด้วยความคิดเห็นของพวกเขา(มาเสริมให้สมบูรณ์) และนี้คือ การปฏิเสธอัลกุรอ่าน และถ้าหากมันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของศาสนา แล้วประโยชน์อะไร ที่จะไปสาละวน(ไปเสียเวลา)อยู่กับสิ่ง ซึ่งไม่ใช่ศาสนา ?

หากผู้ที่นิยมชอบอุตริต่อเติมในเรื่องศาสนากล่าวว่า
”การต่อเติมเรื่องศาสนาเป็นเรื่องดีที่เรารู้ที่มาจากสติปัญญาของเราเอง?” เราขอกล่าวชี้แจงว่า สติปัญญาของมนุษย์นั้นไม่มี สิทธิกำหนดเรื่อง อิบาดะฮ์(ศาสนพิธี)เพราะเรื่องอิบาดะฮฺต้องมาจากการกำหนดโดยศาสนาไม่ใช่กำหนด โดยสติปัญญาของมนุษย์.

หากผู้ที่นิยมอุตริต่อเติมศาสนากล่าวว่า”

สิ่งที่เราอุตริต่อเติมในเรื่องศาสนาขึ้นมาเป็นเรื่องที่บรรพบุรุษของเราปฏิบัติกันมา

” เราขอชี้แจงว่าขนบธรรม เนียมประเพณีของบรรพบุรุษ ไม่ใช่ตัวกำหนดเรื่องหนึ่งเรื่องใดให้เป็นเรื่องศาสนาได้ จงระมัดระวังการกล่าวเช่นนี้

إِنَّا وَجَدْنَا آَبَاءَنَا عَلَى أُمَّةٍ وَإِنَّا عَلَى آَثَارِهِمْ مُهْتَدُونَ

“แท้จริงเราเห็นบรรพบุรุษของเราอยู่ในแนวทางนี้ ดังนั้นเราจึงดำเนินตามแนวทางของพวกเขา”

(อัซซุครุฟ : 22)

ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ผิดต่อหลักการศาสนาจะนำมาเป็นหลักฐานในการปฏิบัติไม่ได้ เพราะเรื่องอิบาดะฮฺ ต้องตามไม่ใช่ต่อเติม



والله أعلم بالصواب

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น