บางคนคงกำลังตามหาหลักฐานว่า
อะไรคือสิ่งที่พิสูจน์ว่าอิสลามคือของจริง...
วันนี้อยากนำเสนอหลักฐานชิ้นใหญ่เบ้งเลยครับ
คาดว่าหลายๆคนคงรู้จักกันดี..."มัมมี่ ฟาโร Ramses II นั่นเอง"
ปี 1981 รัฐบาลฝรั่งเศสได้ดำเนินการขออนุญาตจากรัฐบาลอียิปต์ ให้ส่งมัมมี่ฟาโรห์ไปยังประเทศฝรั่งเศสเพื่อทำการชันสูตรและบำรุงรักษา แพทย์ผู้เป็นห้วหน้าทีมของการชันสูตรศพในครั้งนี้คือ ศ.นพ.มอริส บูกายย์(Dr.Maurice Bucaille) (คนขวาในรูป)
ศพของราเมสิสที่สองนี้ มีสภาพที่แตกต่างจากศพฟาโรห์อื่นๆ ที่มีการชันสูตรก่อนหน้านี้
เพราะลักษณะการสิ้นชีวิตของฟาโรห์องค์นี้แปลกพิสดารมาก ขณะที่ทีมแพทย์แกะผ้าพันศพออก พวกเขาต้องตระหนกตกใจเมื่อมือซ้ายของมัมมี่นี้ได้ยื่นออกอย่างรวดเร็ว คล้ายกับว่าผู้ที่ห่อศพได้ออกแรงดันให้มือทั้งสองข้างชิดแนบอกเหมือนศพ ฟาโรห์องค์อื่นที่สิ้นชีวิตก่อนหน้านี้ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ?
ช่วงดึกของคืนหนึ่ง ศ.นพ.มอริสได้พิสูจน์ผลการทดสอบครั้งสุดท้าย ซึ่งค้นพบว่า มีเกร็ดเกลือติดอยู่กับศพ ฟาโรห์ หลังจากมีการเอ็กซ์เรย์ เขายังพบอีกว่า กระดูกของศพได้หักเป็นท่อน ๆ ในขณะที่ผิวหนังไม่มีร่องรอยการฉีกขาดเลย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการยืนยันว่าฟาโรห์องค์นี้จมน้ำตายอย่างแน่นอน เนื่องจากถูกกระแทกด้วยน้ำอย่างรุนแรง ทำให้กระดูกหัก แต่ผิวหนังไม่ฉีกขาด หลังจากเสียชีวิต ศพฟาโรห์ องค์นี้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากทะเลและประชาชนได้เร่งรีบห่อศพเป็นมัมมี่เพื่อป้องกันจากการเน่าเปลื่อย
แต่สิ่งหนึ่งที่สร้างความประหลาดใจแก่ ศ.นพ มอริส คือ ทำไมศพฟาโรห์องค์นี้มีสภาพที่สมบูรณ์กว่าศพฟาโรห์องค์ อื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่ศพฟาโรห์องค์นี้ถูกนำมาจากท้องทะเล?
จนกระทั่งหนึ่งในทีมแพทยช์ชันสูตรได้กระซิบกับเขาว่า ท่านจะรีบร้อนไปทำไม ชาวมุสลิมรู้เรื่องฟาโรห์ จมทะเลตายมาก่อนแล้ว อัลกุรอานของพวกเขาได้เล่าเรื่องนี้มาตั้งแต่ 14 ศตวรรษที่ผ่านมาแล้ว
คำพูดนี้ทำให้ ศ.นพ. มอริส แปลกใจมาก เขาจึงปฏิเสธอย่างแข็งขันว่า ไม่มีทางที่อัลกุรอานจะค้นพบสิ่งเร้นลับนี้ได้ เว้นแต่ต้องอาศัยอุปกรณ์อันทันสมัยและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีศักยภาพสูงมาก ยิ่งไปกว่านั้น มัมมี่ องค์นี้ได้รับการค้นพบครั้งแรกเมื่อป 1898!
ศ.นพ.มอริส รู้สึกแปลกใจยิ่งขึ้น และถามตนเองว่า ไม่มีทางที่ปัญญาของมนุษย์จะยอมรับคำบอกเล่าของอัลกุรอานในเรื่องนี้ได้ มนุษย์ ทั้งมวลซึ่งไม่เพียงแต่ชาวอาหรับเท่านั้นต่างก็ไม่รู้ดัวยซ้ำว่า ชาวอียิปต์ยุคก่อนรู้วิธีรักษาศพด้วยการห่อศพเป็นมัมมี่ เว้นแต่ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น
ศ.นพ มอริส หวนคิดคำพูดของเพื่อนๆว่า อัลกุรอานของชาวมุสลิม ได้พูดถึงศพฟาโรห์ที่ถูกนำออกจากทะเลหลังจากจมน้ำ ในขณะที่คัมภีร์ไบเบิลได้เล่าเพียงการจมน้ำตายของฟาโรห์ช่วงที่ไล่ล่านบีมูซา เท่านั้น โดยไม่มีการพูดถึงว่าศพฟาโรห์ได้ถูกนำ ณ ที่ใดบ้าง
ศ.นพ มอริส ยังคงแปลกใจอยู่ว่า แม้กระทั่งไบเบิลก็ไม่เคยพูดถึงศพของฟาโรห์ว่าถูกรักษาไว้อย่างดี คัมภีร์โตราห์ก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดจุดจบของศพ ฟาโรห์เลย
หลังจากการตรวจชันสูตรสำเร็จไปด้วยความเรียบร้อย รัฐบาลฝรั่งเศสก็ส่งคืนมัมมี่ฟาโรห์กลับคืนไปยังอียิปต์ แต่ ศ.นพ มอริส ยังคงกระวนกระวายใจ หลังจากที่เขาทราบว่าชาวมุสลิมรู้มาก่อนหน้านี้ว่าศพฟาโรห์ถูกเก็บรักษา อย่างปลอดภัย
เขาจึงจัดแจงสัมภาระ และตัดสินใจเดินทางไปยังประเทศมุสลิม เพื่อขอพบกับบรรดาศัลยแพทย์มุสลิม ณ ที่นั่น เขาได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับศัลยแพทย์มุสลิม พร้อมทั้งเล่าสิ่งที่เขาค้นพบเกี่ยวกับศพฟาโรห์ที่ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่าง ดีหลังจากจมน้ำตาย หนึ่งในศัลยแพทย์มุสลิมได้ลุกขึ้น พร้อมเปิดอัลกุรอานและอ่านพจนารถของอัลลอฮฺว่า
“ดังนั้น วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้ารอดพ้นจากทะเล
เพื่่อจักได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า
และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่อ สัญญาณต่าง ๆ ของเรา” (ยูนุส/92)
ประโยคนี้ทำให้เขาได้ลุกขึ้นยืนท่ามกลางสายตาผู้คน พร้อมตะโกนว่า
"ฉันขอประกาศรับอิสลาม และฉันศรัทธาต่ออัลกุรอานนี้"
ศ.นพ. มอริส บูกายย์ ได้กลับสู่ประเทศฝรั่งเศสในสภาพที่ต่างจากช่วงที่เขาออกมาอย่างสิ้นเชิง หลัง จากนั้น เขาจึงได้ทุ่มเทเวลานานนับสิบปีศึกษาวิจัยความสอดคล้องของวิทยาการและการค้น พบทางวิชาการยุคใหม่กับเนื้อหาที่ปรากฏในอัลกุรอาน
นอกจากนี้ เขายังใช้ความพยายามค้นหาข้อผิดพลาดทางวิชาการ
ที่อาจมีอยู่ในอัลกุรอาน แต่เขาก็ไม่เจอะเจอ แม้เพียงเรื่องเดียว
และแล้ว เขาก็ต้องยอมจำนนกับพจนารถของอัลลอฮฺที่ได้ดำรัสความว่า
“ความเท็จจากข้างหน้าและจากข้างหลังจะไม่สามารถย่างเข้าไปสู่อัลกุรอานได้ (เพราะ) เป็นการประทานจากพระผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ”
.....................................
เครดิต : Tif Chuensukjit
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น