อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

คุณกำลังสร้างความทุกข์ทรมานต่อตัวเองอยู่หรือเปล่า?




หนึ่งในเรื่องราวที่น่าจดจำที่สุดในชีวิต
ของผม (ดร. มุหัมมัด) เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ผมและเพื่อนๆ ไปเที่ยวกันที่ทะเลทราย เพื่อนผมคนหนึ่ง หรือ “อบู คอลิด” สายตาของเขาไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นพวกเราจึงคอยให้การดูแลและ
คอยเสิร์ฟน้ำอินทผลัมและกาแฟให้เขาโดยที่ตัวเขาเองก็มักจะยืนกรานที่จะให้ความช่วยเหลือพวกเรา “ผมต้องช่วยพวกคุณ ผมอยากทำอะไรกับพวกคุณ ให้ผมทำอะไรบ้างเถอะ”

ขณะเดียวกันนั้นพวกเราก็มักจะห้ามไม่ให้เขาทำอะไรทั้งนั้นครั้งนั้นพวกเราทำการเชือดแกะ หั่นเนื้อเป็นชิ้นๆและนำเนื้อใส่ลงในหม้อ พร้อมที่จะทำอาหาร แต่พวกเราก็ยังไม่ได้ทำการก่อไฟ เพราะกำลังยุ่งอยู่กับการกางเต้นท์และจัดเตรียมข้าวของอื่นๆดังนั้นอบู คอลิดจึงอาสาทำหน้าที่ดังกล่าว ถึงแม้ว่าพวกเราหวังว่าเขาจะไม่ทำเช่นนั้นอย่างไรก็ตามเขาได้ลุกขึ้นเดินไปยังหม้อที่เตรียมไว้เมื่อเขาเห็นเนื้อแกะอยู่ในหม้อ เขาจึงตัดสินใจว่า สิ่งแรกที่จำต้องทำคือการเทน้ำใส่ลงไปในหม้อ เขาจึงเดินไปที่รถเพื่อหาน้ำ ในรถนั้นมีของมากมายไม่ว่าจะเป็น
เครื่องทำไฟฟ้า สายไฟ หลอดไฟ ขวดน้ำและขวดน้ำมัน 4 ขวด และเครื่องใช้อื่นๆ อย่างไรก็ตาม เขาได้หยิบขวดที่ใกล้มือเขาที่สุดและเดินกลับมาที่หม้อด้วยความเบิกบาน จากนั้นก็เทสิ่งที่อยู่ในขวดลงไปในหม้อประมาณครึ่งขวด

แต่เมื่อเพื่อนของเราคนหนึ่งเห็นดังนั้น จึงตะโกนออกมาว่า “อย่า อย่านะ อบู คอลิด” ขณะที่อบูคอลิดเองก็ตอบออกมาว่า “ให้ผมทำอะไรให้พวกคุณบ้างเถอะ”
พวกเราจึงรีบเข้าไปคว้าขวดนั้นออกจากมือเขาและพากันหัวเราะจนน้ำตาไหล เพราะว่าสิ่งที่อยู่ในขวดนั้นคือ “น้ำมัน” ไม่ใช่น้ำเปล่า..

ดังนั้นในมื้อเที่ยงนั้นเราจึงมีเพียงแค่ขนมปังและชาเป็นอาหารแต่การเดินทางครั้งนั้นก็ไม่ได้ล่มหรือแย่แต่อย่างใด หากแต่มันเป็นการเดินทางที่ดีที่สุดที่พวกเราเคยมีด้วยซ้ำ

ดังนั้นด้วยเหตุใดเราจึงต้องทรมานตัวเราเองกับบางสิ่งบางอย่างที่มันจบไปแล้วและเสร็จสิ้นไปแล้วด้วย?

ผมยังจำได้ด้วยว่าเมื่อตอนที่ผมเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมผมได้ไปเที่ยวกับเพื่อนสองสามคนและตอนนั้นแบตเตอรี่รถคันหนึ่งของพวกเราดับเราจึงนำรถอีกคันมาจอดหน้ารถที่เสียเพื่อที่จะทำการเชื่อมต่อแบตเตอรี่รถทั้งสองเข้าด้วยกัน ขณะเดียวกันนั้น

ฎอริคก็เข้ามาและยืนอยู่ระหว่างรถทั้งสองคันเพื่อต่อสายแบตเตอรี่ตัวแรกไปยังตัวที่เสียแล้วจากนั้นเขาก็บอกให้เพื่อนอีกคนติดเครื่องรถยนตร์เมื่อเพื่อนอีกคนของเราเข้าไปนั่งในรถ โดยไม่ทันได้สังเกตว่ารถยังค้างอยู่ที่เกียร์หนึ่ง ดังนั้นทันทีที่เขาติดเครื่องรถ รถก็พุ่งไปข้างหน้าและกันชนก็ไปชนเข่าของฎอริกจนทำให้เขาล้มลงกับพื้น ขณะที่เพื่อนของเราที่อยู่ในรถก็ถามออกมาว่า “ผมควรติดเครื่องอีกครั้งมั้ย”ตอนนั้น เราจึงเคลื่อนย้ายรถออกจากกันและพาฎอริกเดินเขาเดินกระโผลกกระเผลกและมีอาการเจ็บที่เข่าเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจคือ ฎอริกไม่ได้เพิ่มความเจ็บปวดให้กับตัวเขาด้วยการโอดครวญ ด่าทอ หรือตำหนิใครเลยเขาเพียงแค่ยิ้มอย่างมีความสุข ..

เพราะอะไรเราจึงต้องร้องคร่ำครวญ
เมื่อเหตุการณ์มันได้จบไปแล้วและเพื่อนของเราก็ได้สำนึกในความผิดของเขาแล้ว?

เช่นนั้นหากคุณปรารถนาที่จะมีความสุขในการใช้ชีวิตของคุณคุณก็ควรที่จะปฏิบัติต่อสถานการณ์ต่างๆ ด้วยหลักการนี้ คือ “จงอย่าให้ความใส่ใจต่อเรื่องเล็กๆ น้อยๆ”หลายครั้งที่เรามักจะทำร้าย ตำหนิตัวเอง เกิดความหงุดหงิด โศกเศร้า และอยู่ในความเจ็บปวด หากแต่ “ความเจ็บปวด” นั้นไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเลยลองสมมุติว่า

หากคุณไปที่งานแต่งงานงานหนึ่ง คุณสวมเสื้อผ้าที่สวยงามดูดี พร้อมกับ “อิก๊อล” (Iqalห่วงที่ผู้ชายอาหรับมักสวมทับผ้าคลุมหัวเพื่อทำให้ผ้าคลุมหัวเข้าที่) เพื่อที่คุณจะได้ดูหล่อกว่าเจ้าบ่าวของงาน จากนั้นคุณก็เริ่มทำการจับมือทักทาย “สลาม” กับผู้คน ทีละคน และทันใดนั้นก็มีเด็กคนหนึ่งมาจากด้านหลังของคุณและดึงปลายผ้าคลุมหัวของคุณจนผ้าคลุมหลุดลงมาพร้อมกับห่วงและหมวก และมันทำให้คุณดูเป็นตัวตลก .. หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น คุณจะทำเช่นไร?พวกเราหลายคนมักจะจัดการกับเหตุการณ์เช่นนี้ด้วยวิธีที่ไม่ช่วยแก้ไขปัญหา บางคนอาจจะวิ่งตามเด็กคนนั้น พร้อมทั้งร้องตะโกน ด่าทอ และสาบแช่ง ซึ่งผลที่ได้รับคือ?

เด็กคนดังกล่าวย่อมบรรลุความสำเร็จตามที่เขาปรารถนาคือการได้รับความสนใจการได้สร้างความวุ่นวายและทำให้ผู้คนหัวเราะหรืออาจจะมีบางคนถ่ายคลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและส่งต่อกันผ่านบูลทูธ แน่นอนว่า การกระทำเช่นนั้น มันไม่ได้เป็นการลงโทษเด็ก หากแต่คุณกำลังลงโทษตัวคุณเองอยู่ .....หรือสมมุติว่าหากคุณใส่เสื้อผ้าตัวใหม่ที่คุณยังชำระเงินไม่ครบเพื่อไปสัมภาษณ์งานที่บริษัทแห่งหนึ่งคุณเดินผ่านประตูบานหนึ่งที่เพิ่งทาสี และข้างๆ ประตูนั้นก็มี “ป้ายเตือน” แต่คุณไม่ได้สังเกตเห็นป้ายนั้น และเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้น ชุดของคุณเปื้อนสีที่ยังไม่แห้งตรง
ประตูนั้น จากนั้นช่างทาสีได้ร้องตะโกน ด่าทอคุณด้วยความโกรธ .. คุณจะจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร?

หลายครั้งที่เรามักจะจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้ด้วยวิธีการที่ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาเรามักจะแสดงความเกรี้ยวกราดและด่าทอช่างทาสีว่า “ทำไมคุณไม่ทำป้ายให้มันชัดหละ!!?” ซึ่งคำถามเช่นนี้ย่อมทำให้เขาตอบโต้คุณด้วยความโมโหมากยิ่งขึ้น และผลที่ได้รับคือ คุณอาจถูกทำให้เปื้อนไปด้วยฝุ่นมากกว่าสี!!ใจเย็นๆ เถิด คุณตระหนักหรือไม่ว่า การแสดงกริยาเช่นนั้นมันเป็นการลง
โทษตัวของคุณเอง?

และสมมุติว่าหากคุณแต่งตัวออกจากบ้านเพื่อไปทำการบรรยายที่ไหนสักแห่ง และมีรถคันหนึ่งขับผ่านมาขณะที่คุณกำลังออกจากบ้านรถคันดังกล่าวได้ขับลุยบ่อโคลนเล็กๆและโคลนนั้นได้สาดใส่เสื้อผ้าคุณคุณจะลงโทษตัวเองด้วยการร้องตะโกนหรือแผดเสียงด่าทอรถคันดังกล่าวหรือไม่ขณะที่รถคันนั้นได้ผ่านคุณไปแล้ว?....

เช่นเดียวกันมันไม่จำเป็นที่เราจะต้องจดจำความเจ็บปวดในอดีตที่เราเคยมีในชีวิตของเราท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัมเคยทุกข์ทรมานกับเหตุการณ์อันเจ็บปวดมากมายในชีวิตของท่าน

ครั้งหนึ่งท่านนั่งอยู่กับภรรยาที่รักของท่าน “ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฏิยัลลอฮุ อันฮา” อย่างเงียบๆ นางได้ถามท่านว่า “มีวันใดในชีวิตของท่านที่เจ็บปวดยิ่งสำหรับท่าน มากกว่าวันแห่งสงครามอุฮุดหรือไม่?” ภาพความทรงจำเกี่ยวกับสงครามครั้งนั้นได้เข้ามาในความคิดของท่านเราะสูล มันช่างเป็นวันที่เลวร้ายยิ่ง วันที่ลุงของท่าน “ฮัมซะฮฺ” ถูกฆ่า ลุงผู้เป็นที่รักยิ่งกว่าผู้ใดของท่าน ท่านเราะสูลยืนอยู่ตรงนั้นจ้องมองลุงสุดที่รักเห็นร่างกายไร้วิญญาณที่ผิดรูปผิดร่างของท่าน จมูกของท่าน และหูของท่านถูกเฉือนออก ท้องของท่านเป็นแผลยาวลึกและถูกเปิดออกอวัยวะภายในถูกควักออกมา มันเป็นวันที่ฟันหลายซี่ของท่านเราะสูลหัก ใบหน้าของท่านเต็มไปด้วยบาดแผลและมีเลือดไหลออกมาวันแห่งสงครามอุฮุดเป็นวันที่บรรดาสหายของท่านเราะสูลถูกฆ่าตายต่อหน้าท่าน

วันที่ท่านเดินทางกลับมาดีนะฮฺโดยปราศจากสหายจำนวน 70 คนของท่าน ท่านเห็นเพียงแต่บรรดาแม่ม้าย และเด็กกำพร้าวิ่งตามหาคนรักของพวกเขาและบิดาของพวกเขาวันนั้นเป็นวันที่เลวร้ายยิ่งท่านหญิงอาอิชะฮฺยังคงรอคอยคำตอบจากท่าน ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม จึงกล่าวว่า “การที่ฉันได้รับความทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของผู้คนของเธอ นั่นคือความเจ็บปวดยิ่งสำหรับฉัน ในวันอะเกาะบะฮฺเมื่อฉันเสนอตัวฉันเอง..” และท่านก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับการที่ท่านได้ขอความช่วยเหลือจากผู้คนแห่งอัฏฎออิฟ และได้รับการปฏิเสธจากพวกเขา อีกทั้งยังถูกติดตามด้วยบรรดาผู้โง่
เขลาโดยการที่พวกเขาโยนก้อนหินใส่ท่านจนเท้าของท่านเลือดออก
ถึงแม้ว่าท่านเราะสูลจะมีความทรงจำอันแสนเจ็บปวดในชีวิต

หากแต่ท่านก็ยังคงดำเนินชีวิตของท่านด้วยความสุขและไม่ยอมปล่อยให้ความทรงจำอันขมขื่นเหล่านั้นทำให้ท่านละทิ้งการมีความสุขกับชีวิต ความทรงจำอันแสนเจ็บปวดไม่คู่ควรแก่การจดจำความเจ็บปวดได้ผ่านพ้นไปแล้วและสิ่งที่เหลืออยู่ทั้งหมดคือ
“ความสุข”

ดังนั้นจงอย่าฆ่าตัวคุณเองด้วย “ความโศกเศร้า” เช่นเดียวกันคุณก็จงอย่าฆ่าผู้อื่นด้วย “ความโศกเศร้าของคุณ” และการกล่าวโทษต่อพวกเขา....

บ่อยครั้งที่เรามักจะจัดการกับปัญหาด้วยวิธีการที่ไม่นำมาซึ่งการแก้ไขอีกตัวอย่างหนึ่ง ท่านอะฮฺนัฟบินก็อยซฺเป็นผู้นำแห่งบะนู ตอมิมท่านไม่ได้เป็นผู้นำเพราะร่างกายที่แข็งแรงกำยำของท่าน หรือเพราะทรัพย์สินอันมากมายของท่าน หรือเชื้อสายวงค์ตระกูลของท่าน หากแต่เป็นเพราะความอดทนและสติปัญญาของท่านที่ทำให้ท่านได้เป็นผู้นำอย่างไรก็ตาม มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มีความอิจฉาท่าน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไปหาชายโง่เขลาคนหนึ่งและวานให้เขากระทำสิ่งหนึ่งโดยกล่าวว่า “นี่คือเงินหนึ่งพันดิรฮัมสำหรับท่าน จงไปยังผู้นำแห่งบะนู ตอมิม อัล อะฮฺนัฟ บิน ก็อยซ์ และตบที่ใบหน้าของเขาเสีย” ชายโง่เขลานั้นจึงตามหาท่านอัล อะฮฺนัฟและเขาก็ได้พบกับท่านนั่งอยู่กับบุรุษบางท่าน ขณะนั้นท่านกำลังนั่งชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นถึงหน้าอกในผ้าคลุมด้วยความสุขุม และพูดคุยกับผู้คนของท่านชายโง่เขลาคนดังกล่าวได้เดินไปยังท่านอัล อะฮฺนัฟอย่างช้าๆ จนกระทั่งเขายืนอยู่ข้างๆ ท่าน ท่านอัลอะฮฺนัฟมองไปยังเขา คิดว่าเขาจะมีอะไรดีดีมาแสดงให้ท่านดู แต่ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและตบที่ใบหน้าของท่านอย่างแรง เสมือนว่าแก้มของท่านจะฉีกออกจากกัน จากนั้นท่านอัล อะฮฺนัฟจึงมองเขา และแทนที่ท่านจะดึงผ้าคลุมออกเพื่อยืดขาออก (เพื่อลุกขึ้น) แต่ท่านกลับกล่าวต่อเขาด้วยความสุขุมว่า “เหตุใดท่านจึงตบฉัน?”ชายคนดังกล่าวจึงตอบว่า “คนของฉันได้ให้เงินจำนวนหนึ่งพันดิรฮัมแก่ฉันเพื่อให้ฉันตบใบหน้าของผู้นำแห่งบะนู ตอมิม”ท่านอัล อะฮฺนัฟจึงกล่าวว่า “โอ้ หากเช่นนั้น ท่านก็ยังไม่บรรลุเป้าหมายน่ะสิ เพราะฉันไม่ใช่ผู้นำแห่งบะนู ตอมีม”ชายผู้นั้นกล่าวว่า “เป็นเรื่องที่น่าแปลกจริง หากเช่นนั้น ผู้นำแห่งบะนู ตอมีมอยู่ที่ใดเล่า”อัลอะฮฺนัฟตอบว่า “
ท่านเห็นบุรุษที่นั่งอยู่เพียงลำพัง และมีดาบอยู่ข้างๆเขาหรือไม่? ท่านชี้
ไปยังบุรุษที่มีชื่อว่า ฮะริษะฮฺบินกุดามะฮฺ
ผู้ที่เต็มไปด้วยความโกรธและความเกลียดชังอยู่ตลอดเวลา เสมือนว่าหาก “ความโกรธ” ของเขาถูกแบ่งออกมาในหมู่อุมมะฮฺ มันก็จะเพียงพอสำหรับพวกเราชายดังกล่าวตอบว่า “โอ้ ฉันเห็นเขาแล้ว เขาคือบุรุษที่นั่งอยู่ตรงนั้นใช่หรือไม่”ท่านอัล อะฮฺนัฟตอบว่า
“ใช่จงไปหาเขาเถอะและตบที่ใบหน้าเขาเพราะเขาคือผู้นำแห่งบะนูตอมิม”
ชายโง่เขลาดังกล่าวจึงเดินเข้าไปหาฮะริษะฮฺขณะที่ดวงตาของฮะริษะฮฺนั้นเปล่งประกายเต็มไปด้วยความชั่วร้าย

เมื่อชายคนดังกล่าวนั้นยืนอยู่ตรงหน้าฮะริษะฮฺ เขาได้ยกมือขึ้น จากนั้นก็ตบที่ใบหน้าของฮะริษะฮฺ ขณะที่มือของเขาเพิ่งจะโดนที่ใบหน้าของฮะริษะฮฺฮะริษะฮฺก็ได้หยิบดาบของเขาขึ้นมาและใช้มันตัดมือของชายโง่
เขลาคนนั้น มีถ้อยคำของคนยุคก่อนที่กล่าวไว้ว่า “ผู้ชนะคือผู้ที่หัวเราะเป็นคนสุดท้าย”___________________________________________

การจัดการกับปัญหาด้วยวิธีที่ไม่เป็น
ทางออก”นั้นเป็นเพียงการลงโทษตัวคุณเอง อีกทั้งยังไม่ช่วยแก้ปัญหาใดๆ เลย

About these ads

...................................................
แหล่งที่มา หนังสือ Enjoy your life
โดย ดร. มุหัมมัด อับดุล อัลเราะหฺมาน อัลอะรีฟิยฺบท Self Torture
ถอดความ بنت الاٍسلام
แวนิต้า โรส

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น