อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ความอิจฉา



ท่านนบีมุฮัมหมัด ห้ามประชาชาติของท่านจากการเป็นผู้อิจฉา นอกจาก 2 ประการ คือ
“ห้ามอิจฉา ยกเว้น 2 ประการ คือ
ชายคนหนึ่งที่อัลลอฮฺทรงประทานทรัพย์สมบัติแก่เขา แล้วเขาก็ใช้จ่ายทรัพย์นั้นในหนทางที่เป็นสัจธรรม
และชายคนหนึ่งที่อัลลอฮฺประทานวิทยปัญญาให้แก่เขา และเขาใช้วิทยปัญญานั้นและสอนผู้อื่น”
ความอิจฉาทั้งสองประการนี้ เป็นที่อนุญาตตามฮะดิษที่กล่าวมาข้างต้น"

ความอิจฉา คือ การหวังที่จะให้ความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่ทรงประทานให้กับผู้อื่นหมดไป ถึงแม้ว่าความโปรดปรานของอัลลอฮฺนั้น จะกลับมาสู่ตัวเองหรือไม่ก็ตาม ความอิจฉาดังกล่าวนี้เป็นสิ่งต้องห้ามในศาสนาอิสลาม เพราะจะส่งผลกระทบต่อความดีที่ได้กระทำมาแล้ว
ความอิจฉา ที่อนุญาต หมายถึง ความหวังที่จะได้ความโปรดปรานจากอัลลอฮฺเสมือนเขาและความโปรดปรานนั้นยังคงอยู่กับเขาเหมือนเดิม และความอิจฉาดังกล่าวเป็นสิ่งที่อนุญาตในศาสนาอิสลาม เพราะไม่กระทบคนอื่น
ผู้ที่มีโรคอิจฉานั้น จะทำให้การใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขและไม่สบายใจกับความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่ทรงให้ต่อผู้อื่น และทำให้เกิดมีการสงสัยที่ไม่ดีและสิ่งชั่วร้ายต่างๆ


การเยียวยารักษาโรคอิจฉาริษยาที่ดีที่สุด ก็คือ การยินดีกับการที่เห็นคนอื่นได้ดี และอยากได้รับความดีโดยการแข่งขันกับคนอื่นในการทำความดีและใช้สิ่งนี้เป็นแรงจูงใจให้ทำดีมากกว่า

ท่านนบี ได้กล่าวว่า
“ฉันขอสาบานด้วยพระองค์ผู้ทรงกำชีวิตของฉันไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ว่า
พวกท่านจะยังไม่ศรัทธา จนกว่าเขาจะรักเพื่อพี่น้องของเขาเช่นเดียวกับที่เขารักเพื่อตัวของเขาเอง” 
(รายงานโดย บุคอรีและมุสลิม)

อัลลอฮฺได้สั่งให้ผู้ศรัทธาขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺให้พ้นจากความชั่วของคนที่ริษยาและความชั่วโดยทั่วไปด้วย ความว่า
“และจากความชั่วร้ายของผู้อิจฉา เมื่อเขาอิจฉา”
(ซูเราะฮฺอัลฟะลัก 113:5)

จงจำไว้เถิดว่า ผู้ที่มีความสุขในการใช้ชีวิต คือ ผู้ที่ปราศจากโรคอิจฉาและริษยา และมีความภูมิใจกับความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่ทรงให้ต่อผู้อื่น และมั่นใจว่าความโปรดปรานนั้นมาจากพระองค์อัลลอฮฺ

อิมามฆอซาลีได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อัลอิฮฺยา” ที่มีชื่อเสียงว่า

“จงระวังไว้ให้ดีว่า ความอิจฉิษยาเป็นโรคร้ายแรงที่สุดโรคหนึ่งของหัวใจ และไม่มียารักษาสำหรับโรคของหัวใจ นอกไปจากความรู้และการปฏิบัติ”

ความรู้ที่จะรักษาโรคอิจฉาริษยาก็คือ การรู้ว่าความอิจฉาเป็นพิษร้ายแรงสำหรับชีวิตโลกนี้ เช่นเดียวกับศาสนาของเขา และการรู้ว่าผู้ถูกอิจฉาริษยานั้นจะไม่ได้รับอันตรายเกี่ยวกับชีวิตของเขาหรือศาสนาของเขา ในทางตรงกันข้าม ผู้ถูกอิจฉาริษยาจะได้รับประโยชน์จากมัน การที่ความอิจฉาริษยาเป็นอันตรายสำหรับศาสนาของผู้ที่อิจฉาริษยา ก็เพราะความอิจฉาริษยานี้เองที่ทำให้เขาเกลียดชังสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดไว้และความดีงามที่พระองค์ได้ทรงจัดแบ่งไว้ให้แก่บ่าวของพระองค์ อีกทั้ง เขายังเกลียดชังความยุติธรรมของพระองค์ที่ได้สร้างไว้ในโลก

ดังนั้น ผู้อิจฉาริษยาจึงต่อสู้และต่อต้านมันซึ่งเป็นการขัดกับความเชื่อในเอกภาพของอัลลอฮฺ นอกจากนี้แล้ว ผู้อิจฉาริษยาก็จะมีส่วนร่วมกับซัยฎอนและบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในการที่จะให้ความวิกฤติเกิดขึ้นแก่ผู้ศรัทธาและให้ความดีงามหมดสิ้นไปจากพวกเขา

สิ่งเหล่านี้คือ ความอิจฉาริษยาในหัวใจที่กลืนกินความดี และลบล้างความดีเหมือนกับกลางคืนเข้ามาลบกลางวัน คนที่เป็นทุกข์จากความอิจฉาริษยา ในชีวิตจะเจ็บปวดเพราะความอิจฉาริษยา และเขาจะเศร้าโศกเสียใจทุกครั้งที่เขาเห็นคนที่เขาอิจฉาริษยาได้รับความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ

................
Dunt Bung


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น