อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

“ชิงสุขก่อนห่าง” ความรักในหนทางอัลอิสลาม



คนทุกคนต่างก็ต้องคาดหวังกับ “ความรัก” เป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะการคาดหวังจะมีใครสักคนเป็นที่รัก เป็นคนที่จะอยู่เคียง

ข้างกันตลอดไป ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วมันคงไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไปหรอก เมื่อเป็นเช่นนี้จึงก่อเกิดวลีว่า “ชิงสุขก่อนห่าง” (ไม่ใช่ชิงสุกก่อนห่าม) ขึ้น ซึ่งก็คือการทำความรักวันนี้ให้มีความสุขเพราะไม่แน่ใจในวันข้างหน้า...แม้จะเป็นคำพูดที่ดูดี แต่ในมุมมองของอิสลามเราสามารถชิงสุขก่อนห่างได้หรือ?

ผู้นับถือศาสนาอิสลามและบอกตัวเองว่าเป็นมุสลิมจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงพฤติกรรมดังกล่าว ท่านนบีมูฮัมหมัด(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้บอกและห้ามการกระทำดังกล่าว พร้อมมีทางออกให้สำหรับผู้ที่ตกอยู่ในภาวะดังกล่าวด้วย หรือเรียกกันง่ายๆ ว่าความต้องการที่จะมีความสุขกับบุคคลที่เราปรารถนาท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) จึงส่งเสริม “ให้มีการแต่งงาน สำหรับผู้ที่มีความสามารถ”ซึ่งผู้ที่มีความสามารถหมายถึง ทางด้านร่างกาย การปกครองดูแล ดังนั้นจึงจำเป็นสำหรับผู้ศรัทธาที่จะต้องเรียนรู้ถึงวิถีการใช้ชีวิตและการแต่งงานในรูปแบบของอัลอิสลาม ถึงแม้ว่าสังคมจะชี้นำให้เรานั้นมีค่านิยมของการมีแฟน และการมีความสุขร่วมกันก่อนวัยอันควรหรือก่อนการนิกะห์ ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่รักและฝักใฝ่ในความสุข โดยเฉพาะความสุขทางเพศ ท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)ได้บอกถึงทางออกกับมุสลิมที่ตกอยู่ในภาวะดังกล่าวว่า ให้ถือศีลอดเพราะการถือศีลอดจะเป็นการลดและบรรเทาอารมณ์ความต้องการแบบผิดๆ ของประชาชาติในสังคมปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีการใช้ถ้อยคำหรือวลีต่างๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิดของกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชนให้เกิดความยอมรับและไขว่คว้าในสิ่งที่สังคมอื่นยื่นให้ ปัจจุบันเราจึงได้ยินคำพูดและวลีต่างๆ ที่ออกมาเพื่อให้สอดคล้องกับคำพูดเดิม เช่น คำว่า “ชิงสุกก่อนห่าม” แต่เพี้ยนไปเป็น “ชิงสุขก่อนห่าง” ถ้ามาดูแล้วจะเห็นถึงเป้าหมายหรือจุดประสงค์ของผู้นำเสนอวลีต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งเหมือนเป็นการชักจูง ยุยง และส่งเสริมให้หนุ่มสาววัยรุ่นทุกยุคทุกสมัยให้มีค่านิยมในการมีแฟนและมีคู่ชีวิตก่อนวัยอันควรเพราะฉะนั้น หากวันนี้เราเพียงหยุดและคิดในการเป็นอยู่ของตัวเราเองและมองออกไปรอบๆ พิจารณาด้วยความเป็นจริงโดยใช้หลักการของอัลอิสลามแล้ว จะเห็นได้ว่ามุสลิมไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็แล้วแต่จะต้องไม่ลืมคำสั่งสอนและคำสั่งใช้ของอิสลามอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นความปั่นป่วนที่อาจจะเกิดขึ้นในสังคมและประเทศชาติมันคงหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอนจึงอยากให้วัยรุ่นหนุ่มสาวและเยาวชนให้มีจุดยืนของการเป็นมุสลิมและภูมิใจในการเป็นมุสลิม ไม่จำเป็นที่เราจะต้องเลียนแบบสังคมตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นความบ้าคลั่งในกาม ความเสรีเรื่องเพศและการอิสระในการที่ไม่นับถือศาสนาใด สิ่งเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นเครื่องมือที่จะมาทำลายสังคมมุสลิมและอีหม่านที่อยู่ในตัวของมุสลิมตราบใดที่เรายึดมั่นในหลักอิสลามและมีจุดยืนในการดำเนินชีวิตของอัลลอฮฺ(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เราจะพบว่า คำว่าตกต่ำ ล้าหลัง หรือไม่ทันสมัยมันจะใช้ไม่ได้กับการเป็นมุสลิมของเรา ซึ่งมีคำพูดหนึ่งที่เป็นคติเตือนใจให้แก่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือไม่ เพื่อให้เราภูมิใจในการใช้ชีวิตตามหลักการที่ถูกต้องนั่นคือ“ไม่มีใครทำให้เราตกต่ำ ถ้าเราไม่อนุญาต” คำพูดนี้ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ถ้าพิจารณาดู มันเป็นคำบอกและคำสอนที่จะช่วยให้เราใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ด้วยจุดยืนและความเชื่อมั่นในศาสนาอย่างชัดเจน”
......................
(อาจารย์มูฮัมมัดอาลี มูซานัดวี/นัง สือ พิมพ์กัมปงไทย ฉบับที่ 25 ประจำเดือนมกราคม 2555 หน้า 30)

มีน รักบ้านเรา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น