แปลกใจครับ !! วันนี้ผู้รู้หรือผู้นำมุสลิมหายไปไหนกันหมด เหตุใดจึงไม่มีผู้ชี้แจงขอบเขตของศาสนาให้พวกเขาได้ทราบ
ไม่ใช่มุสลิมจะไม่รักแผ่นดินนี้ แต่ความรักต้องอยู่ในกรอบของศาสนา และมุสลิมต้องรักศาสนา
ไม่ใช่จะปล่อยให้ใครนำพาไปเช่นไรก็ได้
สำหรับคนที่ไม่ใช่มุสลิมจะกระทำหรือร่วมในพิธีกรรมดังกล่าวนี้หรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของท่านที่จะทำตามความเชื่อของศาสนาที่ท่านนับถืออยู่ซึ่งเราไม่อาจก้าวก่าย
แต่ถ้ามุสลิมจะกระทำหรือร่วมพิธีดังปรากฏตามที่ปรากฏก็เป็นหน้าที่ของเราจะต้องบอกกล่าวตักเตือนพี่น้องร่วมศาสนาถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อมุสลิมและศาสนาอิสลาม

ด้วยเหตุที่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่เราจะมองข้ามไป แต่การกระทำเช่นนี้ถูกเรียกว่า “ชิรก์” หมายถึงการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์
มีผลทำให้ผู้ปฏิบัติสิ้นสภาพจาการเป็นมุสลิม ซึ่งเรื่องนี้เราไม่อาจนิ่งเฉย
เพราะอัลกุรฺอานตรัสไว้ว่า “สำหรับพวกท่านคือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉัน คือศาสนา (ของฉัน)
” 1 ด้วยนัยยะของอัลกุรฺอานข้างต้นระบุชัดเจนแล้วว่า เรื่องความเชื่อ หรือหลักยึดมั่นของศาสนาอื่นๆ แล้ว ห้ามมุสลิมเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือมีส่วนร่วมได้เลยแม้แต่น้อย
ศาสนาไหนก็มีความเชื่อ หรือคำสอนตามศาสนานั้นๆ
ฉะนั้น เมื่อศาสนาอื่นมีความเชื่อว่า การจัดงานทำบุญนั้นๆ จะให้ได้รับสิ่งนั้น สิ่งนี้ นั่นก็เป็นความเชื่อของศาสนานั้นๆ แต่ถ้าถามว่า
แล้วความเชื่อดังกล่าวอิสลามมีทัศนะอย่างไร? คำตอบคือ
อิสลามเป็นศาสนาแห่งพระเจ้า ที่มุสลิมทุกคนจะต้องปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้า ที่มีนามว่า “อัลลอฮฺ” เพียงองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งการระบุให้ทำบุญร่วม2ศาสนาไม่ถูกระบุในคำสอนของอิสลาม (ทั้งๆ ที่ในอดีตมุสลิมเองก็มีอาณาจักรเป็นของตนเอง)
อีกทั้งอิสลามไม่เชื่อในเรื่องของฤกษ์, การทำนาย และการดูหมอ หรือไม่เชื่อสิริมงคลอื่นใด นอกจากที่มาจากพระองค์อัลลอฮฺเท่านั้น ฉะนั้นมุสลิมจึงไม่สามารถเข้าร่วม หรือทำพิธีกรรมร่วมกับศาสนาอื่นที่มีเป้าหมายขัดกับหลักการของอิสลามโดยเด็ดขาด (ขอย้ำว่า โดยเด็ดขาด)
เมื่อเป็นเช่นนี้การที่มุสลิมเข้าไปร่วมพิธีกรรมทำบุญประเทศ หรือพิธีกรรมตามรูปจึงขัดกับหลักการของอิสลามอย่างสิ้นเชิง
เพราะเรื่องหลักอะกีดะฮฺ (หลักความเชื่อ) ถือว่ามีหลักเดียวที่ให้เลือกเท่านั้น โดยไม่มีการรอมชอม หรือผ่อนปรนใดๆ ทั้งสิ้น
............................
Sulaimarn Darakai
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น