อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ผู้รู้หรือผู้นำมุสลิมหายไปไหนกันหมด


แปลกใจครับ !! วันนี้ผู้รู้หรือผู้นำมุสลิมหายไปไหนกันหมด เหตุใดจึงไม่มีผู้ชี้แจงขอบเขตของศาสนาให้พวกเขาได้ทราบ

ไม่ใช่มุสลิมจะไม่รักแผ่นดินนี้ แต่ความรักต้องอยู่ในกรอบของศาสนา และมุสลิมต้องรักศาสนา

ไม่ใช่จะปล่อยให้ใครนำพาไปเช่นไรก็ได้

สำหรับคนที่ไม่ใช่มุสลิมจะกระทำหรือร่วมในพิธีกรรมดังกล่าวนี้หรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของท่านที่จะทำตามความเชื่อของศาสนาที่ท่านนับถืออยู่ซึ่งเราไม่อาจก้าวก่าย

แต่ถ้ามุสลิมจะกระทำหรือร่วมพิธีดังปรากฏตามที่ปรากฏก็เป็นหน้าที่ของเราจะต้องบอกกล่าวตักเตือนพี่น้องร่วมศาสนาถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อมุสลิมและศาสนาอิสลาม




ด้วยเหตุที่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่เราจะมองข้ามไป แต่การกระทำเช่นนี้ถูกเรียกว่า “ชิรก์” หมายถึงการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์

มีผลทำให้ผู้ปฏิบัติสิ้นสภาพจาการเป็นมุสลิม ซึ่งเรื่องนี้เราไม่อาจนิ่งเฉย

เพราะอัลกุรฺอานตรัสไว้ว่า “สำหรับพวกท่านคือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉัน คือศาสนา (ของฉัน)

” 1 ด้วยนัยยะของอัลกุรฺอานข้างต้นระบุชัดเจนแล้วว่า เรื่องความเชื่อ หรือหลักยึดมั่นของศาสนาอื่นๆ แล้ว ห้ามมุสลิมเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือมีส่วนร่วมได้เลยแม้แต่น้อย

ศาสนาไหนก็มีความเชื่อ หรือคำสอนตามศาสนานั้นๆ

ฉะนั้น เมื่อศาสนาอื่นมีความเชื่อว่า การจัดงานทำบุญนั้นๆ จะให้ได้รับสิ่งนั้น สิ่งนี้ นั่นก็เป็นความเชื่อของศาสนานั้นๆ แต่ถ้าถามว่า

แล้วความเชื่อดังกล่าวอิสลามมีทัศนะอย่างไร? คำตอบคือ

อิสลามเป็นศาสนาแห่งพระเจ้า ที่มุสลิมทุกคนจะต้องปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้า ที่มีนามว่า “อัลลอฮฺ” เพียงองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งการระบุให้ทำบุญร่วม2ศาสนาไม่ถูกระบุในคำสอนของอิสลาม (ทั้งๆ ที่ในอดีตมุสลิมเองก็มีอาณาจักรเป็นของตนเอง)

อีกทั้งอิสลามไม่เชื่อในเรื่องของฤกษ์, การทำนาย และการดูหมอ หรือไม่เชื่อสิริมงคลอื่นใด นอกจากที่มาจากพระองค์อัลลอฮฺเท่านั้น ฉะนั้นมุสลิมจึงไม่สามารถเข้าร่วม หรือทำพิธีกรรมร่วมกับศาสนาอื่นที่มีเป้าหมายขัดกับหลักการของอิสลามโดยเด็ดขาด (ขอย้ำว่า โดยเด็ดขาด)

เมื่อเป็นเช่นนี้การที่มุสลิมเข้าไปร่วมพิธีกรรมทำบุญประเทศ หรือพิธีกรรมตามรูปจึงขัดกับหลักการของอิสลามอย่างสิ้นเชิง

เพราะเรื่องหลักอะกีดะฮฺ (หลักความเชื่อ) ถือว่ามีหลักเดียวที่ให้เลือกเท่านั้น โดยไม่มีการรอมชอม หรือผ่อนปรนใดๆ ทั้งสิ้น


............................
Sulaimarn Darakai


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น