อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความโกรธเคืองของมารดาปิดกั้นลิ้นของเขา



         ท่านอบู อักลัยษ์ อัส-สะมัรฺกอนดีย์ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวจากท่านอะนัส อิบนิ มะลิก ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ ว่า : มีชายหนุ่มผู้หนึ่งถูกเรียกขานกันว่า : อัลเกาะมะห์ ในสมัยท่านรสูลลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ชายหนุ่มผู้นี้ได้ล้มป่วยและมีอาการหนัก และจวนจะสิ้นใจ จึงมีผู้กล่าวขึ้นแก่เขาว่า : ท่านจงกล่าว “ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ”

ปรากฏว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่อาจกระดิกลิ้นของตน เพื่อกล่าวประโยคดังกล่าวได้แม้แต่น้อย จึงมีผูนำข่าวไปแจ้งแก่ท่านรสูล ท่านจึงถามว่า : ชายผู้นี้มีบิดามารดาหรือไม่? จึงมีผู้กล่าวว่า : บิดาของเขานั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่เขายังมีมารดาผู้แก่ชราอยู่อยู่กับเขา ท่านรสูลจึงได้ส่งคนไปตามนางมา

 เมื่อนางมาถึง ท่านก็ได้ถามนางถึงสภาพของชายหนุ่มผู้ล้มป่วยปางตาย

นางก็กล่าวว่า : โอ้ ท่านรสูลแห่งอัลลอฮฺ เขาเป็นผู้ดำรงการละหมาดและถือศิลอดทั้งฟัรฎูและสุนนะฮฺเสมอๆ และมักบริจาคทานเป็นทรัพย์สินมากมายจนเรามิอาจทราบได้ว่ามันมีจำนวนมากน้อยเพียงใด?

 ท่านรสูลจึงซักนางต่อว่า : และสถานภาพของเธอกับเขาเล่าเป็นเช่นใด?

 นางก็ตอบว่า : โอ้ ท่านรสูลแห่งอัลลอฮฺ ฉันมีเรื่องโกรธเคืองต่อเขา

ท่านจึงกล่าวถามว่า : ด้วยเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?

นางก็ตอบว่า : เขาเห็นว่าภรรยาของเขาดีกว่าฉัน และยอมเชื่อฟังนางในทุกๆเรื่อง”

 ท่านรสูลจึงกล่าวว่า : ความโกรธเคืองของผู้เป็นแม่ของชายผู้นี้ได้ปิกกั้นลิ้นของเขาจากการกล่าวปฏิญาณตนนั่นเอง ด้วยเหตนี้เขาจึงไม่สามารถกล่าวคำว่า “ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ” ได้

ต่อมาท่านก็กล่าวขึ้นว่า : โอ้ บิล้าลเอ๋ย! ท่านจงออกไปและจงไปเก็บรวบรวมไม้ฟืนให้มากที่สุด เพื่อที่ฉันได้จุดไฟเผาเขาผู้นั้นเสีย

 นางผู้เป็นมารดาจึงกล่าวขึ้นว่า : โอ้ ท่านรสูลแห่งอัลลอฮฺ ลูกชายของฉันผู้เป็นดั่งดวงใจ ท่านจะเผาเขาต่อหน้าฉันกระนั้นหรือ? แล้วหัวใจฉันจะยอมรับได้เชียวหรือ?

  ท่านรสูลจึงกล่าวขึ้นว่า ถ้าเช่นนั้น ย่อมเป็นการดีสำหรับเธอในการที่พระองค์อัลลอฮฺทรงอภัยให้แก่เขา ฉะนั้นเธอจงพึงพอใจและยกโทษให้แก่เขาเถิด ขอสาบานต่อพระผู้ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์ การละหมาดและการบริจาคทานของเขาย่อมมิเกิดประโยชน์อันใด ตราบใดเธอคงโกรธเคืองต่อเขา

 เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ นางจึงได้ยกมือของนางขึ้นพร้อมกล่าวขึ้นว่า : ฉันขอยืนยันต่อพระองค์อัลลอฮฺพระผู้ทรงอยูในชั้นฟ้าอันสูงสุดของพระองค์ และท่าน โอ้ ท่านรสูล ตลอดจนบุคคลที่อยู่ ณ ที่นี้ให้ทราบทั่วกันว่า บัดนี้ฉันพึงพอใจต่อเขาแล้ว

 ท่านรสูลจึงกล่าวขึ้นว่า : โอ้ บิล้าลเอ๋ย! ท่านจงออกไปแล้วไปดูซิว่า อัลเกาะมะห์สามารถกล่าว “ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ” ได้หรือไม่? ทั้งนี้เป็นไปได้ว่า แม่ของเขาอาจจะกล่าวเช่นนั้นด้วยสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในหัวใจของนางอันเนื่องจากละอายต่อท่านรสูลแห่งอัลลอฮฺ

 ท่านบิล้าลจึงได้ออกไป ครั้นเมื่อท่านมาสุดที่ประตูบ้าน ท่านก็ได้ยินอัลเกาะมะห์กล่าวว่า : “ลาออิลาฮะอิลลัลลอฮฺ” แล้วอัลเกาะมะห์ก็ได้สิ้นใจในวันนั้น

เขาจึงถูกอาบน้ำศพให้และถุกห่อศพ และท่านรสูลก็ได้ละหมาดให้แก่ศพของอัลเกาะมะห์

ครั้นต่อมาเมื่อท่านรสูลยืนอยู่ที่ริมศพท่านได้กล่าวขึ้นว่า : โอ้ปวกผู้ชนมุฮาญีรีนและอันศอรฺ บุคคลใดเทิดทูนภรรนยาของตนเหนือมารดาของตน บุคคลผู้นั้นย่อมได้รับการสาปแช่งจากพระองค์อัลลออฺ และพระองค์จะมิทรงรับการกลับเนื้อกับตัวหรือค่าไถ่ใดๆจากบุคคลนั้น”

ท่านอัฏ-เฏาะบะรอนีย์ และอิมามอะหฺมัดได้รายงานเรื่องราวจากหะดิษในอีกสำนวนหนึ่ง
(จาก “ตัรฺบียะตุ้ลเอาลาด 1/379-380)

.................................










ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น