อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ความเชื่อของชีอะฮฺรอฟีเฎาะฮฺเกี่ยวกับชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์



พวกชีอะฮ์อิมาม 12 มีความเชื่อเกี่ยวกับชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์อย่างไร?

เนื่องจาก ผู้รู้อันเป็นที่นับถือของชีอะฮ์ คือ ท่าน อัลมัจญฺลิซีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ บิหาร อัลอันวาร ว่า

اتفقت الإمامية على أن من أنكر أمامة أحد من الأئمة وجحد ما أوجبه الله له من فرض الطاعة فهو كافر ضال مستحق للخلود فى النار

"ชีอะฮ์อิมามียะฮ์มีมติสอดคล้องว่า ผู้ใดที่ปฏิเสธการเป็นอิมามบุคคลใดจากบรรดาอิมามทั้งหลาย และปฏิเสะสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงบัญญัติแก่เขาจากสิ่งที่จำเป็นต้องภักดี เขาย่อมเป็นกาเฟร ที่ลุ่มหลง สมควรอยู่ในนรกตลอดกาล" ดู ยุซฺที่ 23 หน้า 270

จากคำกล่าวนี้ เราพอสรุปได้ว่า ผู้ใดที่ปฏิเสธการเป็นอิมามบุคคลใดจากอิมาม 12 ย่อมเป็นกาเฟร ตกนรกตลอดกาลตามทัศนะของชีอะฮ์ อันนี้ ชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์โดนเต็มๆ

ท่าน อัล-มัจญฺลิซีย์ ได้กล่าวไว้เช่นกันว่า

وقد وردت أخبار متواترة أنه لا يقبل عمل من الأعمال ألا بالولاية

"ได้มีบรรดาหะดิษมุตะวาติร(ตามทัศนะของชีอะฮ์) รายงานว่า อะมัล(ความดี)หนึ่ง จากบรรดาอะมัลทั้งหลาย จะไม่ถูกตอบรับ นอกจาก (ศรัทธา) ด้วยกับวิลายะฮ์(การเป็นอิมาม 12) " แหล่งอ้างอิงเดียวกัน ยุซฺที่ 7 หน้า 369



ดังนั้น อะฮ์ลิสซุนนะอ์วัลญะมาอะฮ์ทำความดีอะไร ย่อมไร้ค่าเหมือนพวกกาเฟรตามทัศนะของชีอะฮ์ โดยที่คุณงามความดีที่กระทำจะไม่ถูกตอบรับแต่อย่างใด นอกจากต้องศรัทธากับอิมาม 12

รุกุนอิสลาม หมายถึง องค์ประกอบในการเป็นมุสลิมนั้น มีอยู่ 5 ประการตามทัศนะของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์

ท่านอิมามมุสลิม ได้รายงานถึงท่านญิบรีล(อะลัยอิสลาม)มาสอนเรื่องของศาสนาว่า

قال يا محمد أخبرنى عن الإسلام ، فقال رسول الله صلى الله عليه وسلم الإسلام : أن تشهد أن لا اله إلا الله وأن محمداَ رسول الله وتقيم الصلاة وتؤتى الزكاة وتصوم رمضان وتحج البيت ، إن إستطعت إليه سبيلا

"ท่านญิบรีลกล่าวว่า โอ้ มุฮัมมัด ท่านจงบอกข้าพเจ้า เกี่ยวกับอิสลาม ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ (ซ.ล.) กล่าวว่า อัลอิสลาม คือ การกล่าวปฏิญานว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลเลาะฮ์และแท้จริงมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลเลาะฮ์ และท่านจงดำรงละหมาด จ่ายทานซะกาต ถือศีลอดรอมะฏอน และทำหัจญฺที่บัยตุลเลาะฮ์ หากท่านมีความสามารถกับการเดินทาง" รายงาน โดยมุสลิม



และตามสายรายงานของท่านอัลกุลัยนีย์ที่ซอฮิหฺ ได้รายงานรุกุ่นอิสลามตามทัศนะของชีอะฮ์ มี 5 ประการเช่นเดียวกัน ท่านอัลกุลัยนีย์ ได้รายงานถึง ซุรอเราะฮ์ จากท่านอบีญะฟัร(อัลบากิร อิมาม คนที่ 5) ท่านกล่าวว่า

بنى الإسلام على خمسة أشياء ، على الصلاة والزكاة والحج والصوم والولاية ، قال زرارة وأي شيئ من ذلك أفضل ؟ فقال : الولاية أفضل

"อิสลามนั้น ถูกสร้างอยู่บน 5 ประการ คือ การละหมาด ซะกาต ฮัจญ์ ศีลอด และวิลายะฮ์(อำนาจปกครองอิมามทั้ง 12) ซุรอเราะฮ์กล่าวว่า จากสิ่งดังกล่าวนั้น อันใหนที่ดีเลิศที่สุด(ของรุ่กุนอิสลาม) ท่านอบูญะฟัร กล่าวว่า อัลวิลายะฮ์ดีเลิศที่สุด" ดู หนังสือ อุซูล อัลกาฟีย์ บทว่าด้วยเรื่อง อิมามและกุฟร เล่ม 2 หน้า 17

จากหะดิษตามทัศนะของชีอะฮ์นี้ ชี้ให้เห็นว่า หากผู้ใดไม่ศรัทธาเรื่องอิมาม 12 เขาย่อมไม่ใช่มุสลิม แต่เมื่อผมได้อ่านหนังสือนะญุลบะลาเฆาะฮ์ ที่รวบรวม บรรดาคำกล่าว คำสุทรพจน์ และถ้อยคำวิทยปัญญาต่างๆ ของท่าน อิมามอะลี ซึ่งเป็นอิมามท่านที่ 1 ตามทัศนะของชีอะฮ์ ผมได้พบคำพูดของท่านอิมามอะลีที่กล่าวเกี่ยวกับรุกุ่นอิสลามที่ไม่ตรงกับแนวทางของชีอะฮ์ แต่กลับตรงกับแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์



ท่านอิมามอะลี ได้กล่าวไว้ใน สุนทรพจน์ ที่ 109 ว่า

إن أفضل ما توسل به المتوسلون إلى الله سبحانه وتعالى : الإيمان به وبرسوله والجهاد فى سبيله فإنه ذروة الإسلام وكلمة الإخلاص فإنها الفطرة وإقام الصلاة فإنها الملة وإيتاء الزكاة فإنها فريضة واجبة وصوم شهر رمضان فإنه جنة من العقاب وحج البيت وإعتماره فإنهما بنفيان الفقر وترحضان الذنب

"แท้จริง สิ่งที่ผู้ทำให้เป็นสื่อ ได้ทำเป็นสื่อ(ภักดี)ไปยังอัลเลาะฮ์ ที่ประเสริฐสุด คือ การศรัทธาในอัลเลาะฮ์และร่อซูลของพระองค์ และการญิฮาดในวิถีทางของพระองค์ เพราะมันเป็นสุดยอดของอิสลาม และถ้อยคำอันบริสุทธิ์(สองกะลิเมาะฮ์ชะฮาดะฮ์) เพราะมันเป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์ และการดำรงละหมาด เพราะมันเป็นศาสนา และการจ่ายทานซะกาต เพราะมันเป็นสิ่งฟัรดูจำเป็น และการถือศีลอดในเดือนรอมะฏอน เพราะมันเป็นโล่ห์ป้องกันการลงโทษ และการทำฮัจญ์ที่บัยตุลเลาะฮ์และทำอุมเราะฮ์ เพราะทั้งสองจะไม่ทำให้ยากจนและลบล้างบาป.." ดู ชัรห์ นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ ของ ท่าน อิบนุ อะบี อัลหะดีด เล่ม 2 หน้า 734

จากคำสุนทรพจน์ของท่านอิมามอะลี ได้ชี้ให้เห็นว่า ท่านได้กล่าวถึง ถ้อยคำอันบริสุทธิ์ คือ สองกะลิเมาะฮ์ชะฮาดะฮ์ ที่ใช้ให้ยอมรับในการศรัทธาต่ออัลเลาะฮ์และร่อซูลของพระองค์ กล่าวถึงเรื่องการละหมาด จ่ายซะกาต ถือศีลอดในเดือนรอมะฏอน และการทำฮัจญ์ โดยไม่ได้กล่าวถึงเรื่อง วิลายะฮ์หรืออิมามัตเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่มันสำคัญกว่าตามทัศนะของชีอะฮ์



อิมามัตตามทัศนะของชีอะฮ์นั้น เป็นหลักอุซูล(หลักพื้นฐาน)หนึ่ง จากหลักอุซูล(หลักพื้นฐานต่างๆ)ของศาสนา เพราะฉะนั้น เขาจะยังไม่เป็นผู้ศรัทธานอกจากต้องยึดมั่นการเป็นอิมามัต ยิ่งไปกล่าวนั้น การปฏิเสธเรื่องอิมามัตตามทัศนะของชีอะฮ์นั้น มีความเลวร้ายมากกว่าการเป็นปฏิเสธการเป็นนบี!!

ผู้รู้ของชีอะฮ์ คือ ท่านอัลฮิลลีย์ ได้กล่าวทัศนะของชีอะฮ์ไว้ว่า

الإمامة لطف عام ، والنبوة لطف خاص لإمكان خلو الزمان من نبي حي بخلاف الإمام ... وإن إنكار اللطف العام شر من إنكار اللطف الخاص

"อิมามะฮ์นั้น เป็นความเมตตาที่ครอบคลุม , และการเป็นนบีนั้น เป็นความเมตตาที่เฉพาะ เนื่องจากเป็นไปได้ที่ช่วงเวลาหนึ่งปราศจากนบีที่มีชีวิตอยู่ ซึ่งแตกต่างจากอิมาม...และแท้จริงการปฏิเสธความเมตตาที่ครอบคลุม(อิมามัต) ย่อมชั่วร้ายกว่าการปฏิเสธความเมตตาที่เฉพาะ(การเป็นนบี)" ดู หนังสือ อัลอัลฟัยน์ ฟี อิมามะฮ์ อะมีรุลมุอฺมินีน เล่ม 1 หน้า 3

ข้อความดังกล่าวอ้างอิงจาก น้อง al-azhary



หลังจากที่ชีอะฮ์เชื่อว่า  ผู้ที่ไม่เชื่อความเป็นอิมามคนใดจาก 12 ตามทัศนะของพวกเขา  แน่นอนว่า ย่อมเป็นกาเฟร ตกนรกตลอดกาล อะมัลความดีจะไม่ถูกตอบรับ  เพราะการปฏิเสธบรรดาอิมามของพวกเขานั้น ชั่วร้ายกว่าการปฏิเสธนบี  และนั่นก็คือความเชื่อของชีอะฮ์ที่มีต่ออะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์

แล้วคำกล่าวของท่าน อิมามฟัครุดดีน อัรรอซีย์ นั้น  ถือว่าผิดไปจากข้อเท็จจริงหรือไม่ ?  ซึ่งท่านได้กล่าวว่า

17.อิหม่าม ฟัครุดดีน อัร-รอซีย์(ร.ฏ.) ท่านกล่าวว่า"บรรดาอุลามะอฺอะชาอิเราะห์ได้ทำการกล่าวกาเฟรกับพวกชีอะฮ์จากสามหนทางด้วยกัน

(1) พวกเขาได้กล่าวกุฟุรกับบรรดามุสลิมมีนระดับชั้นอวุโสคนสำคัญ ดังนั้นผู้ใดที่ทำการกล่าวกาเฟรกับมุสลิมคนหนึ่ง เขาก็ย่อมเป็นกาเฟรด้วย ท่านศาสนทูต(ซ.ล.)กล่าวว่า"ผู้ใดที่กล่าวกับพี่น้องของเขาว่า "โอ้ กาเฟร แน่นอนว่าคำกล่าวนั้นจำกลับไปสู่คนใดคนหนึ่งจากนั้นสอง" ดังนั้นจีงวายิบ(จำเป็น)ที่จำต้องกล่าวว่าพวกชีอะฮ์เป็นกาเฟร

(2) พวกชีอะฮ์ได้ทำการกล่าวกาเฟรกับชนกลุ่มหนึ่งที่ท่านร่อซุลลุลลอ ฮ์ได้กล่าวสรรญเสริญพวกเขาและให้เกียตริในสถานภาพของพวกเขา ดังนั้นการที่ชีอะฮ์ได้กล่าวกาเฟรกับพวกเขานั้น ย่อมเป็นการกล่าวโกหกมุสาต่อท่านร่อซูลลุลลอฮ์(ซ.ล.)

(3) ประชาชาติอิสลามได้มติเป็นเอกฉันท์บนการกล่าวกาเฟรกับผู้ที่ทำก ารกล่าวกุฟุรกับบรรดาซอฮะบะฮ์ระดับอวุโส"(หนังสือ นิฮายะฮฺ อัล-อุกูล หน้า212 ของท่าน อิหม่าม อัรรอซีย์)

แล้วชีอะฮ์เป็นกาเฟรหรือมุสลิมกันแน่??

..............................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น