ในสมัยนบีนั้นลูกๆ ทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงต้องอ้างสกุลพ่อของตัวเอง ด้วยการอ้างชื่อพ่อของตนต่อท้ายชื่อ เช่น
ฟาติมะฮฺ บุตรสาวของมุหัมมัด หรือ หะสัน บุตรของอะลีย์ เป็นต้น
ฉะนั้นศาสนาจึงไม่อนุญาตให้บุคคลใดไม่ว่าชายหรือหญิงอ้างผู้อื่นเป็นพ่อด้วยการต่อชื่อบุคคลอื่นแทนพ่อของตนเอง ดังหลักฐานจากหะดีษข้างต้น
ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า
« مَنِ ادَّعَى إِلَى غَيْرِ أَبِيهِ وَهُوَ يَعْلَمُ فَالْجَنَّةُ عَلَيْهِ حَرَامٌ »
"บุคคลใดก็ตามที่อ้างบุคคลอื่นจากพ่อของเขา (ว่าเป็นพ่อของตน) ทั้งๆ ที่เขารู้ดีว่า (นั่นไม่ใช่พ่อของตน) เช่นนี้สวนสวรรค์จึงเป็นที่ต้องห้ามสำหรับเขา" (หะดีษเศาะหี้หฺ, บันทึกโดยบุคอรีย์ ลำดับหะดีษที่ 4326)
สำหรับ ในเมืองไทยเราไม่ใช่คำว่า "บุตรของ" เหมือนอาหรับ แต่ใช้นามสกุลของพ่อแทน ดังนั้นหุก่มก็เช่นเดียวกันกับการใช้คำว่า "บุตรของ" เพราะเป็นการอ้างอิงถึงพ่อของตนเอง
ฉะนั้นแล้ว หากมุสลิมะฮฺท่านใดแต่งงานก็ไม่ต้องเปลี่ยนนามสกุลเป็นนามสกุลของสามี (เหมือนคนต่างศาสนิก) เพราะการที่มุสลิมะฮฺท่านนั้นเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของสามี เท่ากับว่าได้เปลี่ยนสกุลที่อ้างอิงถึงพ่อแท้ๆของนาง ไปสู่การใช้นามสกุลของบิดาของสามี ซึ่งศาสนาถือว่าไม่อนุญาต นางต้องอ้างถึงสกุลพ่อของนางเท่านั้น
ทั้ง กฎหมายไทยปัจจุบันก็มิได้บังคับว่าต้องเปลี่ยนนามสกุลมาเป็นนามสกุลของสามี
والله أعلم بالصواب
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น