อคตินี้มาจากไหน ส่วนหนึ่งคงนอนก้นในใจฝรั่งซึ่งทำสงครามกับมุสลิมมายาวนานในประวิติศาสตร์ ซ้ำยังยกเอามุสลิมเป็นศัตรูในจินตนาการของตัวมานาน (ศัตรูกับศาสนาและศัตรูกับอำนาจการเมืองของตัวในยุโรปตะวันออก) แต่อีกส่วนหนึ่งของอคติฝรั่งคงมาจากการที่ต้องอยู่ร่วมกับผู้อพยพชาวมุสลิมในสังคมตัวเองด้วย ในฐานะประชากรที่ยังอยู่ในบนไดขั้นต่ำสุดของสังคม
ชาวมุสลิมทั้งจากตะวันออกกลาง, แอฟริกา และเอเชียใต้ จึงตกเป็นเหยื่อของความล้มเหลวทั้งหลาย คนตกงานก็โทษมุสลิม รัฐบาลปราบโจรผู้ร้ายไม่ได้ก็โทษมุสลิม เทศบาลเก็บขยะไม่หมดก็โทษมุสลิม โรงเรียนสอบแข่งกับใครไม่ได้เลยก็โทษมุสลิม สรุปคือไม่ว่าความล้มเหลวของบุคคลหรือความล้มเหลวของสังคม ก็มี “อ้ายพวกนี้” แหละที่ช่วยทำให้คนผิวขาวสามารถอธิบายความล้มเหลวของตัวหรือสถาบันของตัวได้ โดยไม่ต้องสูญเสียความนับถือตัวเอง
อีกส่วนหนึ่งของอคติคงมาจากอเมริกัน แม้ว่าประชาชนในยุโรปจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับสงครามรุกรานอิรัก แต่ในโลกแห่งข่าวสารทุกวันนี้ ใครคือผู้ผลิตข่าวสารรายใหญ่ที่สุด ผมคิดว่าคือรัฐบาลและสื่อภายใต้อาณัติของรัฐบาลอเมริกัน
ภาพของมุสลิมที่อเมริกันเสนอให้แก่โลก คือภาพของความรุนแรง ไร้ระเบียบ ยึดถือค่านิยมผิดฝาผิดตัวกัลชาวโลกทั่วไป และทั้งหมดนี้มาจากคำสอนทางศาสนา
ข่าวสารทำนองนี้ อเมริกันไม่ได้ป้อนให้แก่โลกอย่างตรงไปตรงมา แต่ละเมียดเอามากๆ โดยผู้รับสารไม่ทันได้คิดวิเคราะห์อะไรได้ทัน ก็รับมายึดไว้โดยไม่รู้สึกตัวเสียแล้ว ดูหนังจารกรรมของฮอลลีวู้ดเรื่องเดียว ก็เริ่มรู้สึกกับ “แขก” ว่าไม่ใช่มนุษย์เต็มคนไปเสียแล้ว
....................................
: นิธิ เอียวศรีวงศ์
http://dokamikado.wordpress.com/2006/02/13/เสรีภาพและความยุติธรรม/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น