อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ภาระหน้าที่และความเสียใจ





เมื่อมีปัจจัยหรือสิ่งจำเป็นต่าง ๆ สำหรับการดำรงชีพอยู่ในโลกนี้แล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดเกิดมาแล้วไมมีหน้าที่รับผิดชอบใดเลย ทุกคนเกิดมาล้วนมีหน้าที่ทั้งสิ้นไม่มากก็น้อย แต่อนิจจา ยังมีภาระหน้าที่สำคัญมากมายที่ถูกเจ้าของละเลย จนทำให้ตัวเองและผู้อยู่ใต้ปกครองต้องประสบกับความหายนะมิหนำซ้ำกลับถูกทดแทนด้วยความชั่วช้าต่าง ๆ ที่เข้ามาปกคลุมในชีวิต โดยไม่มีโอกาสคิดทบทวนอันใดเลย

....."ท่านทำดีมาก โอ้ท่านอุมัรฺ...!"
และนี่คือสิ่งที่ท่านอุมัรฺ อิบนุ ค็อฏฏ็อบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮู ได้เข้าใจและตระหนักเป็นอย่างดีคือ ครั้งหนึ่งขณะที่ท่านและกองทัพได้เดินทางจากเมืองชามกลับเข้าสู่เมืองมาดีนะฮฺ ท่านได้ปลีกตัวออกจากบรรดาผู้คนเพื่อสืบดูเรื่องราวเกี่ยวกับการเป็ฯอยู่ของประชาชนผู้อยู่ใต้การปกครคองของท่านเพียงลำพัง ขณะนั้นก็ได้เดินผ่านกระโจมโทรม ๆ อันเป็นที่อาศัยของหญิงชราคนหนึ่ง จึงตรงเข้าไปเยี่ยมและพูดคุยกับนาง

นางรู้สึกปลื้มใจถึงกับอุทานต่อชายแปลกหน้าว่า

"โอ้ พ่อหนุ่มเอ๋ย...เจ้าช่างดีจริง ๆ ส่วนอุมัรฺล่ะ เขาไปทำอะไรอยู่ที่ไหน?"

ท่านกระหยิ่มในใจและตอบว่า

"เขาเพิ่งกลับจากเมืองชามโดยสวัสดิภาพเีร็ว ๆ นี่เองครับยาย"

นางกล่าว

"ฉันจะไมมีคำขอบคุณใด ๆ ให้แก่เขาเป็นอันขาด"

ท่านถามด้วยสงสัยว่า

"ืำทำไมหรือครับยาย...?"

นางพรรณาอย่างน้อยใจว่า

"ก็ตั้งแต่เขาได้รับตำแหน่งอะมีรุลมุอฺมินินมา ขอสาบานซิ เขาไม่เคยหยิบยื่นสิ่งใดให้แก่ฉันเลย แม้สักดีนารฺหรือดิรฺฺฮัมเดียว"

ท่านแก้ต่างให้

"ึิคือบางทีเขา (อุมัรฺ) อาจจะไม่ทราบเรื่องของท่านก็ได้นะ เพราะยายมาอาศัยอยู่ในสถานเยี่ยงนี้?"

นางอุทา่นอีกครั้งหนึ่งด้วยเสียงอันดังว่า

"ซุบฮานัลลอฮฺ ขอสาบานซิ ฉันไม่นึกเลยว่า มีผู้นำคนใดออีกที่ปกครองประชาชนเมื่อใด ที่เขาจะไม่ทราบสิ่งที่อยู่ในระหว่างตะวันออกและตะวันตกของเมืองน้้น"

อุมัรฺ ได้ฟังคำพูดของนาง ถึงกับร้องไ้ห้และกล่าวกับตัวเองว่า

"อนิจจา อุมัรฺเอ๋ย คนอื่นเขามีีความเข้าใจมากกว่าเจ้าเสียอีก"

แล้วหันมาพูดกับหญิงชราผู้นั้นว่า

"โอ้ยายครับ...ยายจะยอมขายความทุกข์ของยายที่เกิดจากอุมัรฺให้กับผมสักเท่าไหร่ดีล่ะ...? ผมรู้สึกสงสารเขาต่อ (ภาระหน้าที่ที่มีกับ) ประชาชนเหลือเกิน.."

หญิงชรากล่าวอย่างขบขันว่า "ขอบคุณเถอะพ่อหนุ่ม ...อย่าล้อเล่นกับยายเลย"

ื้่ท่านอุมัรฺตอบ

"ผมไม่ได้ล้อเล่นนะครับ"

ท่านอุมัรฺยังคงยืนกรานความต้องการนั้นกับหญิงชราพักใหญ่ จนในที่สุดท่านก็ซ์้อปัญหาของนางไปโดยมอบเงินแก่นางจำนวน 25 ดีนารฺ เป็นการทดแทน

ก่อนที่ท่านอุมัรฺจะเดินทางออกไปจากสถานที่แห่งนั้น เผอิญท่านอิบนุมัสอูดและท่านอาลี บินอะบีฎอลิบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮู เดินผ่านมาพบทั้งสองจึงทักทายว่า

"อัสสะลามุอะลัยกุม โอ้ท่านอะมีรุลมุอฺมีนิน"

เมื่อทราบความจริงว่าใครเป็นใคร หญิงชราผู้นั้นถึงกับกลัวจนตัวสั่น เอามือกุมศีรษะตัวเองพลางร้องอุทานว่า

"ตายละซิ ฉันด่าทอท่านอะมีรุลมุอฺมีนีน ต่อหน้าท่านเลยหรือนี่..?"

ท่านอุมัรฺ กล่าวปลอดอย่างปรานีว่า

"ไม่เป็นไรหรอกยาย ขออัลลอฮฺทรงเมตตายายเถอะน่ะ"

และเรื่องที่ท่านอิบนุอุมัรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮู จะเล่าต่อไปก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ให้บทเรียนมากมายสำหรับบุคคลผู้ใช้วิจารณญาณและเข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของการมีภาระรับผิดชอบ วาจาที่ท่านกล่าวย่อมส่งผลต่อมนุษย์มากมายและสะท้อนถึงสภาพความเป็นอยู่ การยังชีพและสภาพสังคมของพวกเขาจนอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้เลยทีเดียว

ท่านอิบนุอุมัร เล่าว่า

"กองคาราวานพ่อค้าต่างเมืองกลุ่มหนึ่ง ได้เดินทางมาถึงเมืองมะดีนะฮฺและลงพักที่ "มุศ็อลลา" (อาคารนมาซชั่วคราวแห่งหนึ่ง)"

เมื่อท่านอุมัร อิบนุ อัลค็อฎฏ็อบ เห็นเช่นนั้น จึงกล่าวกับท่านอับดุรเราะหมาน บินเอาฟ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม ว่า

"ท่านมีความเห็นอย่างไร หากคืนนี้เราช่วยเฝ้าสินค้าของพวกเขาเพื่อป้องกันจากการถูกขโมย...?"

เมื่อตกลงกัน คืนนั้นทั้งสองก็ยมาซและอยู่ยามให้กับพวกเขา ทันใดนั้นหูของอุมัรฺก็ได้ยินเสียงร้องของทารกดังขึ้นจากกระโจมหลังหนึ่ง ท่านจึงเดินตรงไปยังต้นเสียง และกล่าวสำทับแก่มารดาของเด็กว่า

"จงยำเกรงอัลลออฺ และเธอจงดูแลลูกของเธอให้ดี ๆ เถิด"

กล่าวจบท่านอุมัรฺก็กลับไปที่เดิม ต่อมาสักครู่ก็ได้ยินเสียงร้องนั้นอีกจึงรีบไปเตือนมารดาของเด็กอีกครั้งว่า

"แย่จริง ฉันรู้สึกว่าเธอนี่เป็นแม่ที่แย่มาก ๆ เลย ฉันเห็นลูกของเธอร้องไห้ไม่หยุดหย่อนตั้งแต่ค่ำแล้ว..?"

นางกล่าว

"โอ้ท่านผู้เป็นบ่าวของพระเจ้า ใช่ ฉันได้สัญญากับท่านตั้งแต่ตอนค่ำแล้วฉันพยายามหลอกล่อเขามิให้ดื่มนม แต่เขาไม่ยอม"

ท่านถาม

"แล้วทำไมถึงทำเช่นนั้นล่ะ?"

นางตอบ

"ก็เพราะท่านอุมัรฺ ได้กำหนดว่าจะไม่ให้การช่วยเหลือ (เงินสงเคราะห์จากบัยตุลมาล) นอกจากเด็กที่หย่านมแล้ว เท่านั้น"

ท่านถาม

"แล้วลูกของท่านตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ?"

ผู้เป็นมารดาของเด็กนั้นก็บอกอายุของเด็กไปตามเป็นจริง

เมื่ออุมััรฺรับทราบ จึงถามนางว่า

"แย่แล้ว ท่านจงอย่ารีบหย่านมเด็กเลย"

ดังนั้น เมื่อถึงเวลานมาซศุบฮฺ ท่านร้องไห้ในนามซจนกระทั่งผู้คนข้างหลังฟังเสียงอ่านของท่านไม่ชัดเจน

และเมื่อให้สลาม (เสร็จนมาซ) ท่านก็กล่าวขึ้นว่า

"ความผิดได้เกิดขึ้นแก่อุมัรฺแล้ว.."

แล้วได้พูดกับตัวเองว่า

"นี่เจ้าได้ฆ่าลูก ๆ ของมุสลิมไปสักกี่คนแล้วล่ะ..."

หลังจากนั้นท่านอุมัรก็ได้สั่งให้คนประกาศว่า

"ทุกคนจงอย่ารีบหย่านมลูกของท่าน เพราะต่อไปนี้เราจะกำหนดการช่วยเหลือแก่เด็กมุสลิมทุกคน"

โดยได้เขียนประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

ดังนั้น "ตำแหน่ง" ในหน้าที่การงานนั้น ก็คือภาระที่ต้องทนแบกรับมันไว้บนบ่าเสมือนเป็นการยืนอยู่ริมหุบเหวที่แสนจะอันตราย ฉะนั้นตำแหน่งใดก็ตามควรถูกมอบให้แก่บุคคลทีี่มีคุณสมบัติและเข้าใจถึงความศักดิ์สิทธิ์ของมัน พร้อมรับผิดชอบต่อสิ่งที่อาจติดตามมาหลังจากนั้น เพราะพวกเขาทราบดีว่าตำแหน่งหน้าที่นั้น แท้จริงมันคือ "ข้อทดสอบอันหนักยิ่ง" สำหรับตัวเขานั่นเอง
......................
(จากหนังสือ : เมื่อผู้ศรัทธาร้องไห้)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น