จากข่าวที่ชายมุสลิมคนหนึ่งที่เบี่ยงเบนทางเพศเรียนแบบความเป็นหญิง ได้แต่งตัวโดยเอาคลุมผม (อย่างฮิญาบ) เข้าประกวดทิฟฟานี่ (ประกวดกระเทย) อันสร้างความอัปยศเสื่อมเสียต่ออิสลามแล้ว ยังมีชายมุสลิมอีกคนที่ได้กระทำตัวเบี่ยงเบนทางเพศ ได้แต่งกายเอาผ้าคลุมผม มาคัดเลือกเกณฑ์ทหาร สร้างความเสื่อมเสียต่ออิสลามอีกครั้ง ซึ่งการเรียนแบบเพศตรงข้ามเช่นนี้เป็นที่ต้องห้ามอย่างเด็ดขาดในอิสลาม หน่ำซ้ำยังแต่งกายคลุมผ้าคลุมผม ซึ่งบัญญัติใช้สำหรับหญิงมุสลิม ถือเป็นการดูถูกเยียดหยามอิสลามเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งปัจจุบัน การเบี่ยงเบนทางเพศ จากชายเป็นหญิง ( المخنث ) จากหญิงเป็นชาย ( المتر جلة) โดยเฉพาะในสามจังหวัดชายแดนใต้ ที่ยิ่งเพิ่มทวีคูณ ทั้งในสถาบันการศึกษา และกลุ่มวัยรุ่นทั่วไป ด้วยการจับกลุ่มของคนเบงเบนทางเพศด้วยกัน และออกอาการความเป็นกระเทยอย่างออกหน้าออกตา โดยที่ผู้ปกครอง ผู้นำชุมชนผู้นำโรงเรียน หรือผู้นำศาสนา มิได้สนใจ ว่ากล่าวตักเตือน หรือแก้ปัญหามันแต่อย่างใดเลย
หากยังปล่อยเยาวชนมุสลิม ทำตัวเบี่ยงเบนเลียนแบบเพศตรงข้ามต่อไปเช่นนี้ สังคมมุสลิมย่อมเกิดวิกฤติการณ์ที่นำไปสู่ความเสื่อมถ่อย สร้างความอัปยศด้านจริยธรรม มีการรักร่วมเพศกันดาษดื่น และไม่สนใจต่อบทบัญญัติอิสลาม
การห้ามเบี่ยงเบนเลี่ยแบบเพศตรงข้างในอิสลาม
รายงานจากอิบนุ อับบาส กล่าวว่า
"ท่านนะบี ได้สาปแช่งบรรดากะเทยที่เดิมเป็นชาย และบรรดาชายเทียมที่เดิมเป็นหญิง โดยท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจงไล่พวกเขาออกจากบ้านของพวกท่านและท่านนะบี ได้ไล่นายคนหนึ่งออกไป และท่านอุมัรได้ไล่นายคนหนึ่งออกไป"(บันทึกโดย บุคอรีย์)
จากอบูฮุรอยเราะฮ์ รายงานว่า
"ท่านนะบี ได้มีผู้พากะเทยมาหาท่าน โดยที่เขาได้ย้อมมือและเท้าทั้งสองข้างของเขาด้วยใบเทียนท่านนะบี จึงกล่าวว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? มีผู้กล่าวขึ้นว่า โอ้ท่านเราะซูล เขาเลียนแบบผู้หญิงครับท่านเราะซูล จึงสั่งให้เนรเทศเขาออกไปอยู่ทีนะเกี๊ยะอ์เหล่าซอฮาบะฮ์กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูล ให้พวกเราฆ่ามันหรือไม่ ?ท่านเราะซูล กล่าวว่า แท้จริงฉันถูกห้ามไม่ให้ฆ่าบรรดาผู้ละหมาด""อบูอุซามะฮ์ กล่าวว่า นะเกี๊ยะอ์เป็นชื่อสถานที่ ที่ห่างจากมะดีนะฮ์ ไม่ใช่บะเกี๊ยะอ์"(บันทึกโดยอบูดาวูด)
รายงานจากอับดุลลอฮฺ อิบนิ อัมรฺ อิบนิ อาศ เล่าว่า ฉันได้ยิน ท่านร่อซูล กล่าวว่า
“ไม่ถือว่าเป็นประชาชาติของฉัน ผู้ชายที่ทำตัวเป็นผู้หญิง และผู้หญิงที่ทำตัวเป็นผู้ชาย”(บันทึกโดยอะหฺมัด : 6836 อัลญามิอุศเศาะฆีรอัซซุญูตียฺ : 7678 เศาะเหี๊ยะหุลญามิอฺอัลบานียฺ : 5433)
เหตุการณ์ในลักษณะการสมสู่ผู้ชายด้วยกันนั้น ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุคสมัยของนบีลูฏ อะลัยฮิสลาม ในเมืองสะดูม ซึ่งขณะนั้นพระองค์อัลลอฮฺ ทรงส่งท่านนบีลูฏ อะลัยฮิสลาม มาประกาศศาสนา โดยที่ท่านนบีลูฏ ได้เรียกร้องไปสู่การภักดีต่ออัลลอฮฺ และให้ระวังการลงโทษที่ยิ่งใหญ่จากอัลลอฮฺ เนื่องด้วยกับพฤติกรรมอันโสมมนี้ ที่ทำลายกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติที่พระองค์อัลลอฮ์ ทรงสร้าง ผู้ชายคู่กับผู้หญิง
ต่ปรากฏว่าการเรียกร้องและตักเตือนของนบีลูฏ อะลัยฮิสลาม นั้นไร้ผล เมื่อกลุ่มชนชาวสะดูมไม่เลิกพฤติกรรมอันโสมมนี้
พระองค์ อัลลอฮฺ ทรงเล่าเหตุการณ์ในอดีตว่า
“และจงรำลึกถึงลูฏ ขณะที่เขาได้กล่าวแก่ประชาชาติของเขาว่า
ท่านทั้งหลายจะประกอบสิ่งชั่วช้าน่า รังเกียจ ซึ่งไม่มีคนใดในหมู่ประชาชาติทั้งหลายได้ประกอบมันมาก่อนพวกท่านกระนั้น ?
แท้จริง พวกท่านจะสมสู่เพศชายด้วยตัณหาราคะอื่นจากเพศหญิง ยิ่งกว่าพวกท่านยังเป็นพวกที่ละเมิดขอบเขตด้วย”
(อัลอะอฺรอฟ : 80-81)
“และ (จงรำลึกถึง) ลูฏ เมื่อเขากล่าวแก่หมู่ชนของเขาว่า พวกท่านกระทำการลามกทั้งๆ ที่พวกท่าน รู้เห็นอยู่กระนั้นหรือ ?
แท้จริง พวกท่านสมสู่พวกผู้ชายด้วยตัณหา แทนพวกผู้หญิงกระนั้นหรือ ? ยิ่งกว่านั้นพวกท่านเป็นหมู่ชนที่โง่เขลา”
(อันนัมลฺ : 54-55)
ในเมื่อคำตักเตือนของนบีลูฏ ไม่สามารภทำให้ชาวเมืองสะดูมเชื่อฟังได้ และยังคงฝ่าฝืน อีกทั้งมีพฤติกรรมอันโสมมนี้ ดังนั้นสุดท้ายการลงโทษครั้งยิ่งใหญ่ของ อัลลอฮฺ ต่อชาวสะดูมก็มาถึง
“และเราได้ให้ฝน ตกลงมาบนพวกเขาแล้วเจ้า จงดูเถิดว่า ผลสุดท้ายของบรรดาผู้กระทำผิดนั้นเป็น อย่างไร?”
(อัลอะอฺรอฟ : 84)
“หมู่ชนของลูฏได้ปฏิเสธต่อการตักเตือน แท้จริง เราได้ส่งพายุหินจากท้องฟ้าลงบนพวกเขา นอกจากวงศ์วานของลูฏ เราได้ช่วยพวกเขาให้รอดพ้นในยามรุ่งสาง”
(อัลกอมัร : 3-4)
บทเรียนจากประวัติศาสตร์จากอัลกุรอ่านว่าด้วยจุดจบชาวปอมเปอี (Pompeii)
ตัดตอนและเรียบเรียงจากบางส่วนของหนังสือแปลเรื่อง ประชาชาติที่ถูกทำลาย- Perished Nation โดย ฮารูน ยะฮยา
ทำไมต้องศึกษาประวัติศาสตร์
นี่ คือส่วนหนึ่งจากเรื่องราวของประชาชาติต่างๆที่เราได้บอกเล่าเรื่องราวของพวก เขาแก่เจ้า ส่วนหนึ่งพวกเขายังคงอยู่ และอีกส่วนหนึ่งก็สูญสลายไปแล้ว และเราไม่ได้อธรรมต่อพวกเขา แต่ทว่าพวกเขาอธรรมต่อพวกเขาเอง และพระเจ้าที่พวกเขาวอนขออื่นจากอัลลอฮฺ นั้น จะไม่อำนวยประโยชน์อันใดแก่พวกเขาเลย เมื่อพระบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้าของเจ้ามาถึง และพระเจ้าเหล่านั้นมิได้เพิ่มพูนอันใดแก่พวกเขานอกจากความพินาศ (ซูเราะฮฺ ฮูด: 100- 101)
การบรรยายถึงประชาชาติก่อนๆมีระบุไว้ในอัลกุรอานเป็น สัดส่วนที่มากสุด ซึ่งแน่นอนอย่างยิ่งในประเด็นนี้จึงจำเป็นที่เรานำมาขบคิด พิจารณาใคร่ครวญ เห็นได้ชัดว่าหลักๆแล้วประชาชาติเหล่านี้ปฏิเสธบรรดาศาสนทูตที่พระผู้เป็น เจ้าได้ประทานลงมายังหมู่ชนของพวกเขา ยิ่งกว่านั้นหมู่ชนเหล่านั้นยังแสดงความเป็นปรปักษ์ต่อเหล่าบรรดาศาสนทูตอีก ด้วย เนื่องจากความอหังการ์ของพวกเขาจึงกล้าท้าทายต่ออำนาจของอัลลอฮฺ พระองค์จึงทำลายล้างหมู่ชนเหล่านี้ให้หมดไปจากหน้าแผ่นดิน
อัลกุรอานได้บอกให้เรารู้ว่าทุกๆกรณีที่ความหายนะกำลังจะประสบแก่หมู่ชนใด หมู่ชนหนึ่ง หมู่ชนนั้นจะได้รับคำเตือนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้คนในหมู่ชนนั้นได้สำนึก ตัวอย่างเช่น สิทธิหลังจากโองการที่ว่าด้วยการทำลายล้างแก่ยิวกลุ่มหนึ่งที่ทำการต่อต้าน อัลลอฮฺ ซึ่งมีระบุไว้ในอัลกุรอานว่า “ดังนั้น เราได้ทำให้จุดจบของพวกเขา เป็นการเตือนแก่บรรดาผู้คนในเวลานั้น และแก่คนรุ่นหลัง และเป็นข้อตักเตือน สำหรับผู้ที่สำรวมตนจากความชั่ว (ซูเราะฮฺ อัลบากอเราะฮ:66)”
ทะเลสาบแห่งลูฏ
บทความนี้ เราได้ฉายภาพสังคมในยุคโบราณที่ถูกทำลายลงไปเนื่องจากพวกเขาทำการท้าทายต่อ อำนาจของอัลลอฮฺ จุดประสงค์ของเราก็เพื่อชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้นั้น เป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนทุกยุคสมัย เพื่อให้พวกเขาได้ตระหนักถึงคำเตือนจากพระผู้เป็นเจ้า
เหตุผลประการ ถัดมาเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าการทำลายล้างเหล่านั้นได้รับการบันทึกไว้ในอัล กุรอานอย่างชัดแจ้ง แสดงให้เห็นว่าอัลกุรอานนั้นสัจจริงตลอดกาล อีกทั้งเป็นคัมภีร์ที่ได้รับการรักษาไม่ให้มีการปลอมปน เปลี่ยนแปลง หรือการแก้ไขใดๆ
ในคัมภีร์อัลกุรอานได้รับรองไว้ว่าโองการต่างๆของพระองค์นั้นจะได้รับการ รักษาและเป็นความจริงตลอดกาล สัญญาณต่างๆจะเริ่มปรากฏมาให้มนุษย์ได้เห็น “และจงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ พระองค์จะทรงให้พวกเจ้าเห็นสัญญาณทั้งหลายของพระองค์ แล้วพวกเจ้าก็จะรู้จักกัน และพระเจ้าของเจ้ามิได้เป็นผู้ทรงเพิกเฉย ต่อสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ” (ซูเราะฮฺ อัลนัมลุ์-93)
อีกทั้งเพื่อเป็นการให้ได้รู้และจำแนกพวกเขาเหล่านั้นว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่ยึดถือแนวทางใดมาใช้ในการดำเนินชีวิต
แทบ ทุกมหันตภัยที่ทำลายล้างหมู่ชนต่างๆจะมีความเชื่อมโยงกับสิ่งที่อัลกุรอาน ได้ “ระบุไว้” และ “ได้จำแนกไว้” เนื่องจากการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีในยุคสมัยใหม่
ในการศึกษานี้ เราได้ทำการเชื่อมโยงกับอีกบางหมู่ชนที่ได้อยู่ในกรณีศึกษาเดียวกันตามที่ ระบุไว้ในอัลกุรอานถึงการทำลายล้างหมู่ชนนั้นๆในลักษณะเดียวกัน (จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกล่าวถึงบางสังคม ชุมชน ที่เชื่อมโยงกันกับเหตุการณ์ในอัลกุรอาน
แต่อัลกุรอานไม่ได้กล่าวถึงสังคมหรือชุมชนนั้นๆโดยตรง หนังสือเล่มนี้จะครอบคลุมในสังคมดังกล่าวเช่นกัน อัลกุรอานไม่ได้ระบุเวลาและสถานที่อย่างเจาะจงเฉพาะให้แก่หมู่ชนนั้นๆ แต่อัลกุรอานได้กล่าวถึงพฤติกรรมของหมู่ชนนั้นๆที่แสดงออกถึงการปฏิเสธและ ตั้งตนเป็นศัตรูต่อพระผู้เป็นเจ้าและศาสนทูตของพระองค์ มหันตภัยต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นการทำลายล้างประชาชาติเหล่านี้จากหน้าแผ่นดิน
ดังนั้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องนำคำตักเตือนดังกล่าวมาขยายผลถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับหมู่ชนต่างๆ)
จุด ประสงค์หลักของเราเพื่อฉายภาพที่อัลกุรอานได้นำเสนอสัจธรรมเกี่ยวกับหมู่ชน เหล่านั้นโดยผ่านการคิดใคร่ครวญจนเกิดการค้นพบ และดังนั้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าศาสนาของอัลลอฮฺ นั้นเป็นสัจธรรมแก่มนุษย์ทุกคนทั้งที่เป็นผู้ศรัทธาและปฏิเสธศรัทธา
จุดจบชาวปอมเปอี (Pompeii) ที่คล้ายกับประชาชาติลูฏ
อารยธรรมอันรุ่งเรืองของเมืองปอมเปอีก่อนภัยพิบัติ
อัลกุรอานบอกให้เรารู้ว่าคำดำรัสในอัลกุรอานนั้นเป็นจริงอยู่เสมอไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงกฎหมายของอัลลอฮฺ ได้ ดังอายะฮที่ว่า
และ พวกเขาได้สาบานต่ออัลลอฮฺ ด้วยการสาบานอย่างแข็งขันว่า หากมีผู้ตักเตือนมายังพวกเขา แน่นอนพวกเขาก็จะเป็นประชาชาติหนึ่งที่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้องยิ่ง (กว่าประชาชาติอื่นๆ) ครั้นเมื่อได้มีผู้ตักเตือนมายังพวกเขา มันมิได้เพิ่มสิ่งใดแก่พวกเขานอกจากการเตลิดหนี *
ด้วยการหยิ่งยะ โสในแผ่นดิน และการวางแผนชั่ว แต่แผนชั่วนั้นจะไม่ห้อมล้อมผู้ใด นอกจากเจ้าของของมันเท่านั้น พวกเขาจะคอยอะไรอีกเล่า นอกจากแนวทางของบรรพชน ดังนั้น เจ้าจะไม่พบการเปลี่ยนแปลงในแนวทางของอัลลอฮฺ และเจ้าจะไม่พบการบิดเบือนในแนวทางของอัลลอฮฺ แต่ประการใด * (ซูเราะฮฺ อัลฟาฏิร 42-43)
แน่นอนที่สุดว่า “ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ การบิดเบือนใดๆ ในแนวทางหรือกฎหมายของอัลลอฮฺ”
ไม่ว่าใครก็ตามที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับกฎหมายของพระองค์และทำการต่อต้าน พระองค์ แน่นอนอย่างยิ่งพวกเขาต้องได้รับจุดจบเช่นเดียวกัน ชาวปอมเปอีก็เช่นกัน พวกเขาเป็นตัวแทนของความเสื่อมของอาณาจักรโรมัน พวกเขาลุ่มหลงในการสมสู่แบบวิปริต จุดจบของชาวปอมเปอีจึงมีลักษณะคล้ายกับประชาชนของลูฏ
มหันตภัยภูเขาไฟฟิสยูเฟียส (Vesuvius)ระเบิดแก่ชาวปอมเปอี
ภาพฝาผนังปอมเปอี |
สภาพชาวเมืองโดนลาวาครอกในลักษณะร่วมเพศ
ภูเขาไฟฟิสยูเฟียสเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอิตาลี ในเมืองเนพลัส (Naples) เป็นภูเขาไฟที่สงบมากว่าสองพันปี คำว่า ฟิสยูเฟียสมีความหมายว่า “ภูเขาแห่งคำตักเตือน” ซึ่งสมเหตุสมผลแล้วที่กล่าวเช่นนั้น มหันตภัยที่ประสบกับชาวโซดอมและโกโมรอฮ (Sodom and Gomorrah) มีความคล้ายคลึงกับมหันตภัยที่ทำลายชาวปอมเปอี
ทางขวาของแนวภูเขาไฟฟิสยูเฟียสนั้นเป็นที่ตั้งของเมืองเนพลัส และทางตะวันออกของภูเขาไฟเป็นที่ตั้งของเมืองปอมเปอี
เมื่อภูเขาไฟระเบิดลาวาและเถ้าถ่านจำนวนมหาศาลไหลท่วมบริเวณโดยรอบ เหตุการณ์การระเบิดของภูเขาไฟฟิสยูเฟียสเกิดขึ้นเมื่อสองพันปีที่ผ่านมา ไหลท่วมคร่าชีวิตชาวเมืองดังกล่าว มหันตภัยครั้งนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนชาวเมืองไม่ทันตั้งตัว
ผู้ คนในเมืองดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติในขณะที่เกิดลาวาไหลท่วมโดยที่ไม่ทัน รู้ตัว ทำให้เราสามารถเห็นวิถีชีวิตการเป็นอยู่ของพวกเขาเมื่อสมัยสองพันปีก่อนที่ อยู่ภายใต้การห่อหุ้มของลาวาราวกับว่าพวกเขาได้รับการแช่แข็งไว้ในสภาพดัง กล่าว
การศึกษาสภาพสังคมของชาวปอมเปอีที่ถูกฝังไว้ใต้ลาวาที่ แข็งตัวนั้นจะเห็นว่ามันเต็มไปด้วยสารัตถะ จากบันทึกทางประวัติศาสตร์แสดงให้เราทราบว่า เมืองดังกล่าวเป็นศูนย์กลางของความบันเทิงเริงรมย์และความวิตถาร เมืองดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันในนามเมืองแห่งโสเภณี ซึ่งมีซ่องจำนวนมากกระจายอยู่ทั่วเมืองอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายเพศชายตาม ขนาดจริงจะถูกแขวนไว้ที่ประตูของซ่องโสเภณี วัฒนธรรมของชาวปอมเปอีมีพื้นฐานความเชื่อแบบ มิเธอิก (Mithraic) อวัยวะเพศและการร่วมประเวณีจะไม่มีการปิดบังแต่เป็นเรื่องเปิดเผย ธรรมดาทั่วไป
แต่ทว่าลาวาแห่งภูเขาไฟฟิสยูเฟียสได้ไหลท่วมไปทั้งเมืองทำให้เมืองทั้งเมือง ถูกลบออกไปจากแผนที่โลกโดยใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว ประเด็นที่น่าสนใจอย่างมากในเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือไม่มีผู้ใดหลบหนีพ้น จากลาวาของภูเขาไฟฟิสยูเฟียสได้แม้เพียงคนเดียว ราวกับว่าพวกเขาไม่ทันได้สังเกตความหายนะที่กำลังจะมาประสบเลย
มีบางครอบครัวกำลังนั่งรับประทานอาหารถูกลาวาครอกกลายเป็นสุสานหินในบัดดล สุสานหินจำนวนมากที่ค้นพบมีลักษณะการร่วมเพศของร่างสองร่างเป็นเพศเดียวกัน อีกทั้งมีคู่ของเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงจำนวนหนึ่งอยู่ในลักษณะร่วมเพศกัน อีกด้วย ศพมนุษย์ปอมเปอีที่ถูกทำให้เป็นหินด้วยลาวาภูเขาไฟเหล่านี้มีสภาพสมบูรณ์มาก
ใบหน้าของศพบางศพแสดงออกว่าเขารู้สึกงงงวงและตกใจอย่างมาก
ประเด็นที่ยาก จะเข้าใจต่อหายนะของชาวปอมเปอีในครั้งนี้ก็คือ ทำไมคนเป็นพันๆคนจึงรอให้เกิดมหันตภัยถึงแก่ชีวิตโดยไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ต่อสิ่งผิดปกติใดๆก่อนเลย
ประเด็นการหายสาบสูญไปของชาวปอมเปอีคล้ายกันกับที่ได้นำเสนอไว้ในอัลกุรอาน เกี่ยวกับการทำลายล้างเพราะอัลกุรอานได้ชี้เฉพาะลงไปด้วยการใช้คำว่า “การทำล้างอย่างทันทีทันใด” ต่อการเกิดขึ้นของมหันตภัยดังกล่าว ตัวอย่างเช่น ในอัลกุรอานได้อธิบายไว้ในซูเราะฮฺยาซีนถึงการตายของ “ชาวเมือง” หมดสิ้นภายในครั้งเดียว ปรากฎการณ์ดังกล่าวได้บอกไว้ในอายะฮต่อมา ดังนี้
มันไม่ใช่อื่นใดเลย นอกจากเสียงกัมปนาทเพียงครั้งเดียว แล้วเมื่อนั้นพวกเขาก็ดับเงียบ
ในอายะฮที่31 ซูเราะฮฺ อัลเกาะมัร ได้กล่าวเรื่องดังกล่าวไว้อีกครั้งถึง “การทำลายล้างอย่างทันทีทันใด” ในการทำลายล้างชาวษะมูต
แท้จริง เราได้ส่งเสียงกัมปนาทเพียงครั้งเดียวลงบนพวกเขา แล้วพวกเขากลายเป็นเช่นเศษไม้แห้ง
การตายของชาวปอเปอีเป็นการตายแบบทันทีทันใดเช่นเดียวกันกับที่อัลกุรอานได้อธิบายไว้ก่อนหน้านี้
ทั้ง หมดที่กล่าวมานี้จะเห็นได้ว่า สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบันกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากสิ่งที่ชาวปอมเป อีในอดีตได้ประสบแม้แต่น้อย หมู่บ้านของชาวเนบลัสได้กลายเป็นสถานบันเทิงอยู่ในปัจจุบัน โดยไม่ได้นำบทเรียนที่ชาวปอมเปอีในอดีตได้ประสบ
บนเกาะแคปรี (Capri) ได้กลายเป็นสวรรค์ของชาวรักร่วมเพศ อันเป็นธุรกิจการท่องเที่ยวที่เลื่องชื่อ ไม่เพียงแต่เกาะแคปรีและประเทศอิตาลีเพียงเท่านั้น แต่ทว่าเกือบทั้งโลกกลับให้การยอมรับการเสื่อมโทรมทางศีลธรรมเช่นนี้
อีกทั้งผู้คนต่างไม่ยอมนำบทเรียนจากประชาชาติโบราณมาคิดใคร่ครวญ
และ เสียงกัมปนาทได้คร่าบรรดาผู้อธรรม แล้วพวกเขาได้กลายเป็นผู้นอนพังพาบตายในบ้านของพวกเขา ประหนึ่งว่า พวกเขามิได้เคยอยู่ในนั้นมาก่อน
พึงทราบเถิด! แท้จริงษะมูตนั้นปฏิเสธศรัทธาพระเจ้าของพวกเขา พึงทางเถิด! จงห่างไกลจากความเมตตาเถิดสำหรับษะมูต (ซูเราะฮฺ ฮูด: 67-68)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น