โดย อ.บรรจง บินกาซัน
ใครที่ศึกษาประวัติศาสตร์ศาสนาจะพบว่า ศาสดาหรือนบีที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้มีภารกิจเหมือนกันประการหนึ่ง นั่นคือ การเรียกร้องเชิญชวนมนุษย์สู่การศรัทธาในพระเจ้า และการฟื้นคืนชีพหลังความตายเพื่อรอรับการตัดสินจากพระเจ้าในสิ่งที่ตัวเองได้ทำไว้ ความศรัทธาดังกล่าวนี้เองที่เป็นรากฐานของทุกศาสนาและเป็นที่มาของคุณธรรมและจริยธรรม
แต่เนื่องจากมนุษย์มองไม่เห็นพระเจ้าและชีวิตโลกหน้า มนุษย์บางคนจึงไม่เชื่อและท้าทายศาสดาผู้อ้างตัวว่ามาจากพระเจ้า ดังนั้น ศาสดาทุกท่านจึงได้รับปาฏิหาริย์มาเป็นหลักฐานยืนยัน เช่น โมเสสใช้ไม้เท้าโยนลงไปบนพื้นแล้วไม้เท้านั้นกลายเป็นงู หรือการที่พระเยซูรักษาคนตาบอดให้มองเห็นได้
อย่างไรก็ตาม ปาฏิหาริย์ไม่อาจเกิดขึ้นตามความต้องการของศาสดาผู้เป็นมนุษย์ ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นเมื่อใดนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพระเจ้า เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป
เนื่องจากปาฏิหาริย์อันเป็นหลักฐานยืนยันเดชานุภาพของพระเจ้าถูกประทานเฉพาะแก่ศาสดาของพระองค์เท่านั้น เมื่อสายโซ่แห่งการมีศาสดาสิ้นสุดลงตรงการเสียชีวิตของนบีมุฮัมมัด ปาฏิหาริย์ที่พระเจ้าประทานแก่ศาสดาของพระองค์ก็หมดลงไปด้วย แต่นั่นมิได้หมายความว่าปาฏิหาริย์ที่ยืนยันถึงการมีอยู่ของพระเจ้าได้หมดไปโดยสิ้นเชิง
ถ้าปาฏิหาริย์หมายถึงสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจทำได้ โลกนี้มีปาฏิหาริย์ให้เราเห็นดาษดื่น แต่เพราะมันเกิดขึ้นทุกวัน เราจึงเห็นปาฏิหาริย์นั้นเป็นเรื่องธรรมดา หนึ่งในนั้นคือ นมแม่
นมแม่เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้จนกระทั่งถึงวันนี้แม้วิทยาศาสตร์ด้านอาหารจะเจริญก้าวหน้าเพียงใดก็ตาม และไม่มีผู้หญิงคนใดสามารถทำน้ำนมขึ้นมาในเต้านมของตัวเองได้ นมแม่จะมีก็ต่อเมื่อผู้หญิงตั้งครรภ์ เพราะการที่ผู้หญิงตั้งครรภ์หมายความว่าพระเจ้าได้ให้ชีวิตใหม่มาจุติในครรภ์ของผู้หญิงคนนั้น เมื่อพระเจ้าส่งชีวิตมา พระองค์ย่อมรับผิดชอบในชีวิตโดยการจัดเตรียมน้ำนมไว้ให้ล่วงหน้าก่อนที่ทารกนั้นจะเกิด ทั้งนี้เพราะพระองค์เป็นผู้ทรงสร้างและผู้ประทานปัจจัยยังชีพ
นมแม่เป็นอาหารที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านโภชนาการของทารกและได้รับการป้องกันให้พ้นจากการติดเชื้อใดๆ เพราะนมแม่ออกจากอกแม่สู่ปากทารกโดยตรง ไม่มีส่วนผสมของเมลามีนเหมือนนมเทียมที่ผลิตมาจากจีน อุดมด้วยสารอาหารที่เร่งการเจริญเติบโตของเซลล์สมองและการพัฒนาของระบบประสาท อาหารทารกที่ผลิตมาจากเทคโลยีปัจจุบันยังไม่สามารถทดแทนอาหารอันมหัศจรรย์นี้ได้
ยิ่งวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าเท่าใด ยิ่งมีการค้นพบคุณประโยชน์ของนมแม่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน การศึกษาวิจัยพบว่า เด็กที่ถูกเลี้ยงด้วยนมแม่ได้รับการป้องกันจากการติดเชื้อทางระบบหายใจและระบบย่อยอาหาร ทั้งนี้เพราะสารต่อต้านเชื้อโรคในนมแม่ช่วยป้องกันการติดเชื้อดังกล่าว ไม่เพียงเท่านั้น สารต่อต้านเชื้อโรคดังกล่าวในนมแม่ยังสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้แก่แบคทีเรียชนิดดีซึ่งเรียกว่า “นอร์มัล ฟลอรา” ขึ้นมาเป็นปราการป้องกันแบคทีเรีย ไวรัสและพยาธิที่เป็นอันตรายด้วย นอกจากนี้เป็นที่พิสูจน์กันมาแล้วว่าในนมแม่มีปัจจัยต่างๆที่ช่วยจัดการระบบป้องกันโรคติดเชื้อและทำให้ระบบนี้ทำงานปรกติ
เนื่องจากนมแม่ถูกออกแบบมาเป็นการเฉพาะสำหรับทารก มันจึงเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ทารกจึงใช้พลังในการย่อยน้อยลงซึ่งทำให้พลังที่เหลือถูกนำไปใช้เป็นพลังสำหรับการทำงานในด้านอื่นๆ เช่น การเจริญเติบโตและการพัฒนาอวัยวะของร่างกาย
นอกจากจะมีส่วนช่วยต่อสุขภาพของทารกแล้ว นมแม่ยังเปลี่ยนไปตามการเจริญเติบโตและอาหารที่ทารกต้องการตามขั้นตอนด้วย นมแม่รักษาอุณหภูมิที่เหมาะสมเสมอและมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาสมองของทารกเพราะน้ำตาลและไขมันที่มีอยู่ในน้ำนม นอกจากนี้สารต่างๆที่มีอยู่ในนมแม่อย่างเช่นแคลเซียมยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนากระดูกของทารกด้วย
ถึงแม้จะเรียกว่านม แต่อาหารอันมหัศจรรย์นี้ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยน้ำ นี่เป็นลักษณะที่สำคัญที่สุด เพราะนอกไปจากอาหารแล้ว ทารกยังต้องการของเหลวในรูปของน้ำด้วย นมแม่สามารถตอบสนองความต้องการของทารกได้อย่างสมบูรณ์และสะอาดถูกอนามัย
การศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยังแสดงให้เห็นว่าทารกที่ได้รับการเลี้ยงดูจากอกแม่จะมีวิวัฒนาการดีกว่าทารกที่เลี้ยงด้วยวิธีการอื่นจากนั้น ไอคิว (ความสามารถทางสติปัญญา) ของทารกที่ได้รับการเลี้ยงดูจากอกแม่นานเกินกว่าหกเดือนจะสูงกว่าทารกที่เลี้ยงด้วยวิธีการอื่นถึง 5 คะแนน แต่ถ้าทารกได้รับการเลี้ยงดูจากอกแม่น้อยกว่าแปดสัปดาห์ ทารกก็จะไม่แสดงออกให้เห็นถึงไอคิว
ที่สำคัญก็คือการให้ทารกได้ดื่มนมจากอกเป็นการสื่อและการสร้างความรักและความห่วงใยระหว่างแม่กับลูกในเวลาเดียวกัน มันเป็นสายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็น แต่เป็นสายสัมพันธ์ที่ทำให้ทารกเพศชายเคารพเพศแม่เมื่อเขาโตขึ้น
ถ้านมแม่เป็นปาฏิหาริย์ประจักษ์ต่อสายตาถึงขั้นนี้แล้ว ใครที่ยังไม่ยอมจำนนต่อความจริงในการมีอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้ประทานปัจจัยยังชีพ ผู้ทรงกรุณา ไม่รู้จะสรุปได้ไหมว่า คนผู้นั้นกินนมแม่ไม่เกินแปดสัปดาห์?
ขอขอบคุณข้อมูล : อาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน
ใครที่ศึกษาประวัติศาสตร์ศาสนาจะพบว่า ศาสดาหรือนบีที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้มีภารกิจเหมือนกันประการหนึ่ง นั่นคือ การเรียกร้องเชิญชวนมนุษย์สู่การศรัทธาในพระเจ้า และการฟื้นคืนชีพหลังความตายเพื่อรอรับการตัดสินจากพระเจ้าในสิ่งที่ตัวเองได้ทำไว้ ความศรัทธาดังกล่าวนี้เองที่เป็นรากฐานของทุกศาสนาและเป็นที่มาของคุณธรรมและจริยธรรม
แต่เนื่องจากมนุษย์มองไม่เห็นพระเจ้าและชีวิตโลกหน้า มนุษย์บางคนจึงไม่เชื่อและท้าทายศาสดาผู้อ้างตัวว่ามาจากพระเจ้า ดังนั้น ศาสดาทุกท่านจึงได้รับปาฏิหาริย์มาเป็นหลักฐานยืนยัน เช่น โมเสสใช้ไม้เท้าโยนลงไปบนพื้นแล้วไม้เท้านั้นกลายเป็นงู หรือการที่พระเยซูรักษาคนตาบอดให้มองเห็นได้
อย่างไรก็ตาม ปาฏิหาริย์ไม่อาจเกิดขึ้นตามความต้องการของศาสดาผู้เป็นมนุษย์ ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นเมื่อใดนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพระเจ้า เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป
เนื่องจากปาฏิหาริย์อันเป็นหลักฐานยืนยันเดชานุภาพของพระเจ้าถูกประทานเฉพาะแก่ศาสดาของพระองค์เท่านั้น เมื่อสายโซ่แห่งการมีศาสดาสิ้นสุดลงตรงการเสียชีวิตของนบีมุฮัมมัด ปาฏิหาริย์ที่พระเจ้าประทานแก่ศาสดาของพระองค์ก็หมดลงไปด้วย แต่นั่นมิได้หมายความว่าปาฏิหาริย์ที่ยืนยันถึงการมีอยู่ของพระเจ้าได้หมดไปโดยสิ้นเชิง
ถ้าปาฏิหาริย์หมายถึงสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจทำได้ โลกนี้มีปาฏิหาริย์ให้เราเห็นดาษดื่น แต่เพราะมันเกิดขึ้นทุกวัน เราจึงเห็นปาฏิหาริย์นั้นเป็นเรื่องธรรมดา หนึ่งในนั้นคือ นมแม่
นมแม่เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้จนกระทั่งถึงวันนี้แม้วิทยาศาสตร์ด้านอาหารจะเจริญก้าวหน้าเพียงใดก็ตาม และไม่มีผู้หญิงคนใดสามารถทำน้ำนมขึ้นมาในเต้านมของตัวเองได้ นมแม่จะมีก็ต่อเมื่อผู้หญิงตั้งครรภ์ เพราะการที่ผู้หญิงตั้งครรภ์หมายความว่าพระเจ้าได้ให้ชีวิตใหม่มาจุติในครรภ์ของผู้หญิงคนนั้น เมื่อพระเจ้าส่งชีวิตมา พระองค์ย่อมรับผิดชอบในชีวิตโดยการจัดเตรียมน้ำนมไว้ให้ล่วงหน้าก่อนที่ทารกนั้นจะเกิด ทั้งนี้เพราะพระองค์เป็นผู้ทรงสร้างและผู้ประทานปัจจัยยังชีพ
นมแม่เป็นอาหารที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านโภชนาการของทารกและได้รับการป้องกันให้พ้นจากการติดเชื้อใดๆ เพราะนมแม่ออกจากอกแม่สู่ปากทารกโดยตรง ไม่มีส่วนผสมของเมลามีนเหมือนนมเทียมที่ผลิตมาจากจีน อุดมด้วยสารอาหารที่เร่งการเจริญเติบโตของเซลล์สมองและการพัฒนาของระบบประสาท อาหารทารกที่ผลิตมาจากเทคโลยีปัจจุบันยังไม่สามารถทดแทนอาหารอันมหัศจรรย์นี้ได้
ยิ่งวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าเท่าใด ยิ่งมีการค้นพบคุณประโยชน์ของนมแม่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน การศึกษาวิจัยพบว่า เด็กที่ถูกเลี้ยงด้วยนมแม่ได้รับการป้องกันจากการติดเชื้อทางระบบหายใจและระบบย่อยอาหาร ทั้งนี้เพราะสารต่อต้านเชื้อโรคในนมแม่ช่วยป้องกันการติดเชื้อดังกล่าว ไม่เพียงเท่านั้น สารต่อต้านเชื้อโรคดังกล่าวในนมแม่ยังสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้แก่แบคทีเรียชนิดดีซึ่งเรียกว่า “นอร์มัล ฟลอรา” ขึ้นมาเป็นปราการป้องกันแบคทีเรีย ไวรัสและพยาธิที่เป็นอันตรายด้วย นอกจากนี้เป็นที่พิสูจน์กันมาแล้วว่าในนมแม่มีปัจจัยต่างๆที่ช่วยจัดการระบบป้องกันโรคติดเชื้อและทำให้ระบบนี้ทำงานปรกติ
เนื่องจากนมแม่ถูกออกแบบมาเป็นการเฉพาะสำหรับทารก มันจึงเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ทารกจึงใช้พลังในการย่อยน้อยลงซึ่งทำให้พลังที่เหลือถูกนำไปใช้เป็นพลังสำหรับการทำงานในด้านอื่นๆ เช่น การเจริญเติบโตและการพัฒนาอวัยวะของร่างกาย
นอกจากจะมีส่วนช่วยต่อสุขภาพของทารกแล้ว นมแม่ยังเปลี่ยนไปตามการเจริญเติบโตและอาหารที่ทารกต้องการตามขั้นตอนด้วย นมแม่รักษาอุณหภูมิที่เหมาะสมเสมอและมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาสมองของทารกเพราะน้ำตาลและไขมันที่มีอยู่ในน้ำนม นอกจากนี้สารต่างๆที่มีอยู่ในนมแม่อย่างเช่นแคลเซียมยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนากระดูกของทารกด้วย
ถึงแม้จะเรียกว่านม แต่อาหารอันมหัศจรรย์นี้ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยน้ำ นี่เป็นลักษณะที่สำคัญที่สุด เพราะนอกไปจากอาหารแล้ว ทารกยังต้องการของเหลวในรูปของน้ำด้วย นมแม่สามารถตอบสนองความต้องการของทารกได้อย่างสมบูรณ์และสะอาดถูกอนามัย
การศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยังแสดงให้เห็นว่าทารกที่ได้รับการเลี้ยงดูจากอกแม่จะมีวิวัฒนาการดีกว่าทารกที่เลี้ยงด้วยวิธีการอื่นจากนั้น ไอคิว (ความสามารถทางสติปัญญา) ของทารกที่ได้รับการเลี้ยงดูจากอกแม่นานเกินกว่าหกเดือนจะสูงกว่าทารกที่เลี้ยงด้วยวิธีการอื่นถึง 5 คะแนน แต่ถ้าทารกได้รับการเลี้ยงดูจากอกแม่น้อยกว่าแปดสัปดาห์ ทารกก็จะไม่แสดงออกให้เห็นถึงไอคิว
ที่สำคัญก็คือการให้ทารกได้ดื่มนมจากอกเป็นการสื่อและการสร้างความรักและความห่วงใยระหว่างแม่กับลูกในเวลาเดียวกัน มันเป็นสายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็น แต่เป็นสายสัมพันธ์ที่ทำให้ทารกเพศชายเคารพเพศแม่เมื่อเขาโตขึ้น
ถ้านมแม่เป็นปาฏิหาริย์ประจักษ์ต่อสายตาถึงขั้นนี้แล้ว ใครที่ยังไม่ยอมจำนนต่อความจริงในการมีอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้ประทานปัจจัยยังชีพ ผู้ทรงกรุณา ไม่รู้จะสรุปได้ไหมว่า คนผู้นั้นกินนมแม่ไม่เกินแปดสัปดาห์?
ขอขอบคุณข้อมูล : อาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น