อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ละหมาดตามหลังอิมามที่ถือมัซฮับต่างกัน


ตอบโดย อ.อาลี เสือสมิง
(อ่านให้จบ)

มัซฮับฮะนะฟีย์  กับชาฟิอีย์  กำหนดเงื่อนไขในการละหมาดตามหลังคนที่ถือมัซฮับต่างกันว่า  การละหมาดของอิหม่ามต้องใช้ได้  (เซาะฮฺ)  ตามมัซฮับที่มะอฺมูมยึดถือ  ฉะนั้นถ้าคนฮะนะฟีย์ละหมาดตามหลังคนชาฟิอีย์ที่มีเลือดไหลแล้วไม่อาบน้ำละหมาดใหม่หลังจากเลือดออก  หรือคนชาฟิอีย์ละหมาดตามหลังคนฮะนะฟีย์ที่กระทบผู้หญิงมา  เป็นต้น  ก็ถือว่าละหมาดของมะอฺมูมใช้ไม่ได้  เป็นโมฆะ  (บาฏิละฮฺ)  เพราะมะอฺมูมเห็นว่าการละหมาดของอิหม่ามนั้นเป็นโมฆะ  ฝ่ายฮะนะฟีย์เพิ่มเติมว่าการละหมาดตามหลังคนชาฟิอีย์นั้นเป็นมักรูฮฺ  (อัดดุรฺมุคต๊าร  1/526)

ฝ่ายชาฟิอียะฮฺกล่าวว่า  :  ที่ดีที่สุด  (อัฟฎ้อล)  คือละหมาดตามหลังอิหม่ามที่เป็นคนชาฟิอีย์  ไม่ควรเป็นคนฮะนะฟีย์หรือคนในมัซฮับอื่น ๆ จากบุคคลที่ไม่เชื่อว่ารุก่นบางข้อหรือเงื่อนไขบางข้อเป็นวาญิบ  ถึงแม้ว่าจะรู้แน่ชัดว่าผู้เป็นอิหม่ามต่างมัซฮับนั้นได้กระทำรุ่ก่นหรือเงื่อนไขดังกล่าวก็ตาม  เพราะทั้ง ๆ ที่ผู้เป็นอิหม่ามได้กระทำสิ่งดังกล่าว  ทว่าเขาผู้นั้นก็ไม่เชื่อว่ารุ่ก่นบางข้อเป็นวาญิบ  (อัลฮัฎร่อมี่ยะฮฺ  หน้า  64)

ดังนั้นหากถือตามทัศนะที่ว่ามานี้  การละหมาดของคนชาฟิอีย์ตามหลังอิหม่ามที่ไม่อ่านบิสมิลละฮฺก่อนอ่านซูเราะฮฺอัลฟาติฮะฮฺก็ย่อมใช้ไม่ได้  เพราะคนชาฟิอีย์ถือว่าการอ่านฟาติฮะฮฺเป็นรุ่ก่น  และบิสมิลลาฮฺเป็นอายะฮฺหนึ่งจากซูเราะฮฺอัลฟาติฮะฮฺ  เมื่ออิหม่ามไม่อ่านบิสมิลลาฮฺ  การละหมาดของอิหม่ามก็ย่อมใช้ไม่ได้ในทัศนะของมะอฺมูมที่เป็นคนชาฟิอีย์

ส่วนมัซฮับมาลิกีย์และฮัมบะลีย์  กล่าวว่า  :  สิ่งใดที่เป็นเงื่อนไขในการละหมาดใช้ได้  ก็ให้พิจารณาในเรื่องนั้นตามมัซฮับของอิหม่ามเท่านั้น  ส่วนกรณีที่สิ่งนั้นเป็นเงื่อนไขในการปฏิบัติตาม  (อิกฺติดาอฺ)  ที่ใช้ได้  ก็ให้พิจารณาในเรื่องนั้นตามมัซฮับของมะอฺมูม  (อัชชัรฮุซซ่อฆีร  1/444,  อัลมุฆนีย์  2/190,  กัชชาฟุ้ลกินาอฺ  1/557-563)

อย่างไรก็ตามเรื่องการละหมาดตามหลังอิหม่ามที่ถือคนละมัซฮับเป็นเรื่องของทัศนะ  ที่ก่อให้เกิดความแตกแยกกันในเรื่องการทำอิบาดะฮฺของคนที่ถือมัซฮับต่างกัน  คนชาฟิอีย์ก็ไม่ตามคนฮะนะฟีย์  คนฮะนะฟีย์ก็ไม่ตามคนชาฟิอีย์จนบางครั้งต้องแยกมัสยิดกันละหมาดหรือในมัสยิดเดียวกัน  ปรากฏว่ามีเมียะฮฺรอบและมิมบัรของแต่ละมัซฮับที่ต่างก็ละหมาดของใครของมัน  ทั้ง ๆ ที่ทั้งหมดต่างก็เป็นมุสลิมที่ยึดถือตามแนวทางของอะฮฺลิซซุนนะฮฺ  วัลญะมาอะฮฺเหมือนกัน  ชะรอยทัศนะที่แบ่งแยกกันเช่นนี้เป็นผลมาจากการนิยมคลั่งไคล้  (ตะอัซซุบ)  ในมัซฮับของตนที่เกินเลยและทำลายเอกภาพของประชาคมมุสลิมโดยรวม

นักวิชาการร่วมสมัย  เช่น  ดร.วะฮฺบะฮฺ  อัซซุฮัยลีย์  จึงให้น้ำหนักกับการยึดถือตามแนวมัซฮับมาลิกีย์และฮัมบะลีย์ในส่วนแรก  คือ  ให้พิจารณาตามมัซฮับของอิหม่ามเท่านั้นเพราะเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลเป็นที่สุด  ดังนั้นการละหมาดตามหลังคนที่มีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องข้อปลีกย่อยตามมัซฮับจึงถือว่าใช้ได้  ไม่มักรูฮฺแต่อย่างใด

กล่าวคือ  ให้พิจารณาตามมัซฮับของผู้เป็นอิหม่ามนำละหมาด  ดังกรณีการไม่อ่านบิสมิลลาฮฺของอิหม่าม  เมื่ออิหม่ามถือว่าใช้ได้ก็ย่อมใช้ได้ในการละหมาดตามหลังอิหม่ามคนดังกล่าว  ถึงแม้ว่ามะอฺมูมจะถือว่า  การละหมาดของอิหม่ามใช้ไม่ได้ตามมัซฮับของตนก็ตาม  ทั้งนี้เพราะบรรดาซอฮาบะฮฺ  บรรดาตาบิอีนและคนรุ่นหลังจากพวกท่านเหล่านั้นต่างก็ยังคงละหมาดตามหลังซึ่งกันและกัน  ทั้งที่มีความเห็นต่างกันในเรื่องข้อปลีกย่อย  ซึ่งสิ่งดังกล่าวถือเป็นอิจญ์มาอฺและจะทำให้ความนิยมคลั่งไคล้ในมัซฮับสิ้นสุดลง  (อัลฟิกฮุ้ลอิสลามีย์  ว่า  อะดิลละตุฮู  :  ดร.วะฮฺบะฮฺ  อัซซุฮัยลี่ย์  :  เล่มที่  2  หน้า  181)

ชัยคุ้ลอิสลาม  อิบนุ  ตัยมียะฮฺ  (ร.ฮ.)  กล่าวว่า  :  บรรดามุสลิมต่างก็เห็นพ้องกันว่าอนุญาตให้ละหมาดตามหลังซึ่งกันและกันได้เหมือนอย่างที่บรรดาซอฮาบะฮฺ  บรรดาตาบิอีน  และชนรุ่นหลังจากอิหม่ามทั้ง  4  ต่างก็ละหมาดตามหลังซึ่งกันและกัน  ผู้ใดปฏิเสธสิ่งดังกล่าว  ผู้นั้นเป็นพวกอุตริกรรม  หลงผิดและค้านกับกิตาบุลลอฮฺ,  ซุนนะฮฺ  และอิจญ์มาอฺของชาวมุสลิม

และแท้จริงในหมู่ซอฮาบะฮฺและชนรุ่นตาบิอีนตลอดจนกลุ่มชนรุ่นหลังพวกเขา  มีคนที่อ่านบิสมิลลาฮฺ  บางคนก็ไม่อ่านบิสมิลลาฮฺ  ทั้ง ๆ อย่างนี้  พวกเขาก็ละหมาดตามหลังซึ่งกันและกัน  เหมือนอย่างที่  อบูฮะนีฟะฮฺ  (ร.ฮ.)  และสานุศิษย์ของเขาและอัชชาฟิอีย์ (ร.ฮ.) และบุคคลอื่น ๆ ต่างก็เคยละหมาดตามหลังบรรดาอิหม่ามของชาวมะดีนะฮฺที่มาจากกลุ่มมาลิกียะฮฺ  ถึงแม้ว่าบรรดาอิหม่ามเหล่านั้นจะไม่อ่านบิสมิลลาฮฺเลยไม่ว่าค่อยหรือดังก็ตาม”  (อ้างจากอัซเซาะฮฺวะฮฺ,  อัลอิสลามียะฮฺ  บัยนัลญุฮูด  วัตตะฏ็อรฺรุฟ  ;  ดร.ยูซุฟ  อัลกอรฎอวีย์  หน้า  174)



หากเข้าใจตามนี้  ก็จะไม่มีปัญหาข้อข้องใจใด ๆ ในการละหมาดตามหลังอิหม่ามที่ไม่อ่านบิสมิลลาฮฺหรืออิหม่ามที่เชื่อว่าการกระทบผู้หญิงไม่เสียน้ำละหมาด  ฯลฯ  และกรณีที่ตอบนี้ก็คงเพียงพอแล้วสำหรับรายละเอียดที่คุณถามมาทุกข้อ  และเป็นทางออกที่ดีที่สุด  ถึงแม้ว่าจะไม่ตรงตามมัซฮับอัชชาฟิอีย์ก็ตาม  เพราะถ้าถือตามทัศนะในมัซฮับอัชชาฟิอีย์ในเรื่องนี้  ก็จะมีปัญหาตามมาอย่างที่รู้กัน

والله أعلم بالصواب



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น