อิสลามไม่สนับสนุนสงครามและไม่อนุญาตให้เข้าร่วมสงครามเว้นแต่ในสภาพบีบบังคับดังที่อัลกุรอานกล่าวไว้ ความว่า : “ การสู้รบนั้นได้ถูกกำหนดแก่พวกเจ้าแล้วทั้งๆ ที่มันเป็นที่รังเกียจแก่พวกเจ้า” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ :216)
มุสลิมจะทำการสงครามก็ต่อเมื่อในสถานการณ์บีบบังคับเท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่ง เมื่อชาวมุสลิมอยู่ในภาวะฉุกเฉินที่จำเป็นต้องป้องกันตัวเอง ซึ่งถือเป็นแนวปฏิบัติของประชาคมโลกโดยทั่วไป และบนพื้นฐานของแนวปฏิบัติเช่นนี้ อัลกุรอานได้หยิบยกไว้เป็นกรณีศึกษาใน 2 โองการ
โองการแรกปรากฏในซูเราะฮฺอัล-บะเกาะเราะฮฺ ที่ได้เล่าเรื่องราวของฏอลูตที่ประกาศสงครามกับญาลูตจอมอหังการ แม้ว่าฝ่ายฏอลูตจะมีกองกำลังที่น้อยกว่าและไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบกับแสนยานุภาพของญาลูตที่มีกองกำลังที่ใหญ่โตหลายเท่า แต่ท้ายสุดแล้วชัยชนะก็เป็นของฏอลูต
ด้วยสัญชาตญานของการป้องกันตัวเองนี้ อัลลอฮฺสามารถปกป้องรักษาสิ่งมีชีวิตต่างๆที่อยู่บนโลกนี้ให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามต่างๆ หาไม่แล้วบรรดาผู้อยุติธรรมและจอมเผด็จการ ก็สามารถปฏิบัติการได้ตามอำเภอใจ โลกนี้จึงเปรียบเสมือนป่าใหญ่ที่สัตว์ที่แข็งแรงและมีกำลังที่เหนือกว่า สามารถรุกรานและเข่นฆ่าสัตว์ที่อ่อนแอกว่าอย่างแน่นอน
เรื่องราวของฏอลูต เป็นเรื่องราวของการลุกขึ้นต่อสู้ปกป้องตัวเองจากการรุกรานของจอมเผด็จการญาลูตผู้ที่มีอำนาจล้นฟ้า ดังปรากฎในอัลกุรอาน ความว่า :
“และไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวของเราได้ที่พวกเราจะไม่ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ ทั้งๆ ที่พวกเราและบรรดาลูกหลานพวกเราถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ :246 )
อัลลอฮฺได้ส่งนบีดาวูดเพื่อเข้าสมทบกับกองกำลังของฏอลูต และท้ายสุดแล้วนบีดาวูดสามารถฆ่าญาลูตจอมอหังการได้ ประชาคมโลกก็ปลอดภัยจากการรุกรานของจอมเผด็จการ
ส่วนโองการที่สองที่ได้ยืนยันในหลักการการป้องกันตัวเองเป็นเรื่องราวที่อัลกุรอานพยายามชี้ให้มนุษย์เห็นว่า อัลลอฮฺทรงอนุญาตให้บรรดามุสลิมประกาศสงคราม เนื่องจากพวกเขาถูกกดขี่หรือถูกจำกัดเสรีภาพในการปฏิบัติศาสนกิจ เป็นเหตุให้พวกเขาต้องระเหเร่ร่อนอพยพพร้อมๆ กับท่านนบีฯ มุหัมมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) ออกจากแหล่งกำเนิดนครมักกะฮฺสู่นครมะดีนะฮฺ อัลลอฮฺจึงอนุญาตให้พวกเขาทำสงครามโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันตัวเอง ศักดิ์ศรี และเกียรติของอิสลามหรือแม้กระทั่งศาสนาอื่นๆ ดังกุรอานกล่าวไว้ ความว่า :
“ สำหรับบรรดาผู้ที่ถูกรุกรานนั้นได้รับอนุญาตให้ต่อสู้ได้ เพราะพวกเขาถูกกดขี่ และแท้จริงอัลลอฮฺทรงสามารถที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างแน่นอน ”
“บรรดาผู้ที่ถูกขับไล่ออกจากบ้านเรือนของพวกเขาโดยปราศจากความยุติธรรม นอกจากพวกเขากล่าวว่า อัลลอฮฺคือพระเจ้าของเราเท่านั้นและหากว่าอัลลอฮฺทรงขัดขวางมิให้มนุษย์ต่อสู้ซึ่งกันและกันแล้ว บรรดาหอสวดและโบสถ์ (ของพวกคริสต์) และสถานที่สวด (ของพวกยิว) และมัสยิดทั้งหลายที่พระนามของอัลลอฮฺถูกกล่าวรำลึกอย่างมากมาย ต้องถูกทำลายอย่างแน่นอนและแน่นอนอัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือผู้ที่สนับสนุนศาสนาของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงเดชานุภาพอย่างแท้จริง” ( อัล-ฮัจญ์ : 39-40)
อิสลามจึงเป็นศาสนาที่อยู่บนหลักการแห่งความเป็นจริงและไม่ฝืนกับสัญชาติญาณอันดั้งเดิมของมนุษย์ ดังนั้นอิสลามจึงยอมรับศาสนบัญญัติที่ว่าด้วยการสู้รบหรือสงคราม หากอยู่ในสถานการณ์บีบบังคับ หรืออีกนัยหนึ่งเพื่อปกป้องพิทักษ์ศาสนา สัจธรรม ศักดิ์ศรี และอิสรภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปกป้องเสรีภาพในการนับถือศาสนาและปฏิบัติตามความเชื่อ อิสลามจึงอนุญาตให้มีการลุกขึ้นต่อสู้อำนาจที่อธรรม หรือจอมเผด็จการที่กดขี่ข่มเหงผู้ศรัทธา การยอมรับของอิสลามในหลักการการป้องกันตัวในลักษณะเช่นนี้ไม่เพียงแต่ปกป้องมัสยิดจาดการถูกรุกรานเท่านั้น แต่บรรดาหอสวด โบสถ์ของชาวคริสต์หรือสถานที่สวดของชาวยิวก็จะได้รับการปกป้องอีกด้วย ทุกคนจึงสามารถปฏิบัติศาสนกิจหรือคงไว้ซึ่งสัญลักษณ์ทางศาสนาตามความเชื่อของเขาได้อย่างอิสระเสรี
ชาวตะวันตกมักใส่ร้ายอิสลามว่าเป็นศาสนาแห่งสงคราม นบีฯของอิสลามเป็นผู้กระหายสงคราม ซึ่งจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับพระเยซูคริสต์ที่เรียกร้องสันติภาพ ดังปรากฏในคำสอนของท่านว่า “ หากแก้มขวาของท่านถูกตบ ท่านจงยื่นแก้มซ้าย (เพื่อให้ถูกตบเป็นคำรบสอง )”
พวกเขาอาจลืมหรือแกล้งลืมว่า จริงๆ แล้วคำสอนที่ปรากฏในพระคัมภีร์เก่า(โตราห์)ที่พวกเขายกย่องว่า เป็นคัมภีร์ที่บริสุทธิ์ มีเนื้อหาที่บ่งชี้ว่าชาวคริสเตียนเป็นกลุ่มชนที่เป็นต้นเหตุแห่งสงครามมากที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งความขัดแย้งของมนุษยชาติ ไม่ว่าสงครามในกลุ่มที่นับถือศาสนาเดียวกัน หรือสงครามกับชนศาสนิกอื่น ดังกรณีสงครามศาสนาที่ปะทุขึ้นระหว่างผู้ที่นับถือนิกายคาทอลิกและโปรแตสแตนท์ หรือสงครามที่เกิดขึ้นด้วยสาเหตุความขัดแย้งด้านเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติหรือผลประโยชน์ ประวัติศาสตร์ของพวกเขา จึงเต็มไปด้วยคาวเลือดและสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศตะวันตกด้วยกันเอง ดังที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ที่ชาวคริสเตียนได้เข่นฆ่าพี่น้องที่นับถือศาสนาด้วยกันเองเป็นจำนวน สิบๆ ล้านคนทีเดียว
นักเขียนชาวตะวันตกคนหนึ่งถึงกับกล่าวว่า ฉันไม่เคยศรัทธาคำสอนของพระเยซู เว้นแต่คำสอนของท่านที่ว่า ฉันเกิดมามิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อยืนหยัดและดำรงไว้ซึ่งสันติภาพบนพื้นแผ่นดิน แต่ฉันเกิดมาเพื่อมอบดาบ (สงคราม) ต่างหาก
คำสอนของพระเยซูคริสต์ที่ให้ยื่นแก้มซ้ายหลังจากที่คนๆ หนึ่งถูกตบแก้มขวานั้น เป็นคำสอนที่มุ่งเน้นเรื่อง “คุณธรรม” ที่เหมาะสมต่อการปฏิบัติในสถานการณ์หรือสังคมอันจำกัดเท่านั้น ที่สมาชิกทุกคนในสังคม ยึดมั่นในระบบคุณธรรมที่สูงส่ง แต่คำสอนลักษณะเช่นนี้ไม่เหมาะสมที่จะเป็นบทบัญญัติทั่วไปที่ครอบคลุมสังคมมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัยและทุกสถานที่ แต่บทบัญญัติที่เหมาะสมต่อการปฏิบัติในทุกยุคและทุกสถานการณ์แล้วคือ คำสอนที่กำชับให้มนุษย์ยืนบนหลักการ “ความยุติธรรม” “คุณธรรม”และสิ่งเหล่านี้ คือคำสอนที่อิสลามเรียกร้องอยู่ตลอดเวลา ดังที่ปรากฎในอัลกุรอาน ความว่า : และส่งเสริมให้มนุษย์ยึดมั่นในหลักการ
“ และการตอบแทนความชั่ว คือความชั่วเยี่ยงมัน และผู้ใดให้อภัย และไกล่เกลี่ยคืนดีกัน รางวัลตอบแทนของเขาอยู่ที่อัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺไม่ชอบบรรดาผู้อธรรม ” (อัซ-ซูรอ :40)
“ และถ้าผู้ใดแก้แค้นตอบแทนหลังจากได้รับความอธรรม ชนเหล่านั้นจะไม่มีทางตำหนิแก่พวกเขา ส่วนที่เกิดโทษนั้นได้แก่บรรดาผู้ที่อธรรมต่อมนุษย์และก่อความเสียหายให้เกิดขึ้นในแผ่นดินโดยปราศจากความเป็นธรรม ชนเหล่านั้นพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวด ” (อัซ-ซูรอ:41-42)
นับตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติยุคแรกที่เกิดมาในสภาพที่เป็นครอบครัวเดียวกัน คือ อาดัมและบรรดาลูกๆ ของท่าน มนุษย์ในยุคนั้นก็ยังมีทั้งคนชั่วและคนดี ลูกของอาดัมที่ชื่อ กอบีลและฮาบีลตามปรากฏในตำนานของอิสรออีลิยาต อัลกุรอานได้เล่าเรื่องของลูกอาดัมทั้งสองคนว่า กอบีลผู้เป็นพี่ชายได้ฆ่าฮาบีลผู้เป็นน้องชายโดยที่ฮาบีลไม่ได้กระทำความผิดอันใดเลย และไม่มีสังคมใดที่อาจเป็นแรงจูงใจที่ทำให้กอบีลยอมฆ่าน้องชายตัวเอง เพียงแต่อารมณ์ชั่ววูบ และจิตใจที่คล้อยตามที่เป็นต้นเหตุแห่งการเกิดฆาตกรรมครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ อัลกุรอานได้เล่าเรื่องดังกล่าว ความว่า : “ และเจ้าจงอ่านให้พวกเขาฟังซึ่งข่าวคราวเกี่ยวกับบุตรชายสองคนของอาดัมตามความเป็นจริง ขณะที่ทั้งสองได้กระทำการพลีซึ่งสิ่งพลีอยู่นั้น แล้วสิ่งพลีนั้นก็ถูกรับจากคนหนึ่งในสองคน และมันมิได้ถูกรับจากอีกคนหนึ่ง เขา (กอบีล) จึงได้กล่าวว่า แน่นอนข้าจะฆ่าเจ้า (ฮาบีล) ให้ได้ เขา(ฮาบีล) กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงรับจากหมู่ผู้ที่มีความยำเกรงเท่านั้น ”
“ หากท่านยื่นมือของท่านมายังฉัน เพื่อจะฆ่าฉันก็ยังจะไม่ยื่นมือของฉันไปยังท่านเพื่อจะฆ่าท่าน แท้จริงฉันกลัวอัลลอฮฺผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก ”
“ แท้จริงฉันต้องการที่จะทำให้ท่านนำบาปของฉันและบาปของท่านกลับไปและท่านก็จะกลายเป็นคนหนึ่งในหมู่ชาวนรก และนั่นแหละ คือการตอบแทนของบรรดาผู้อธรรม ”
“ แล้วจิตใจของเขาก็คล้อยตามในการที่จะฆ่าน้องชายของเขา ดังนั้นจึงกลายเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ขาดทุน ” (อัล-มาอิดะฮฺ : 27-30)
มนุษย์ควรปฏิบัติตนอย่างไรหากพลพรรคของกอบีลมีจำนวนเพิ่มขึ้น หรือพวกเขามีกองกำลังและอำนาจที่เหนือกว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเขาจะถูกปล่อยให้เหิมเกริมและสร้างความปั่นป่วนบนโลกนี้ได้ตามอำเภอใจ โดยไม่มีการตอบโต้หรือยับยั้ง หรือจะมีคนกล่าวแก่พวกเขาว่า พวกท่านจงหยุดก่อกรรมทำเข็ญด้วยเถิด โดยไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้อันสาสม เช่นเดียวกันกับพฤติกรรมของพวกเขาเลยหรือ ?
เป็นไปได้หรือไม่ที่มนุษย์ทั้งมวลจะมีจุดยืนเดียวกันกับฮาบีลที่ยอมศิโรราบและก้มหัวให้ กอบีลกระทำตามอารมณ์ชั่วโดยปราศจากการตอบโต้ใดๆ ทั้งสิ้น
ผู้ใดก็ตามที่ศึกษาข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสังคมมนุษย์แล้ว จะพบว่า มนุษย์โดยส่วนมากแล้ว มีสัญชาตญาณชอบทำชั่วและชอบเอาเปรียบผู้อื่น พรรคพวกของกอบีลย่อมมีจำนวนที่มากกว่าผู้สนับสนุนฮาบีล จนมีการเปรียบเทียบว่า มนุษย์เปรียบเสมือนสุนัขจิ้งจอกที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและฉ้อโกง
มีบางคนกล่าวว่า มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่กระหายสงคราม นายเมนาเฮ็ม เบกิน อดีตนายกรัฐมนตรีอิสราเอล ได้เขียนไว้ในหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า “ การปฏิวัติ ” ที่เขาแต่งขึ้นก่อนการสถาปนาประเทศอิสราเอลว่า “ ฉันทำสงคราม ดังนั้นฉันจึงมีอยู่ ”
เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะแกล้งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนในข้อเท็จจริงดังกล่าว ทั้งที่เป็นสิ่งที่ยอมรับของสังคมมนุษย์โดยทั่วไปที่ชอบแก้ปัญหาด้วยการชอบใช้กำลังมากกว่าการใช้สติ พวกเขาจึงสมควรที่จะได้รับการตอบโต้ด้วยกำลังเช่นเดียวกัน
อัลกุรอานได้บอกให้มนุษย์ทราบว่า อัลลอฮฺได้ประทานคัมภีร์และความยุติธรรมพร้อมๆ กันกับการประทานศาสนทูตแห่งพระองค์ นอกจากนี้แล้วพระองค์ยังประทานเหล็กเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งอีกด้วย หรืออีกนัยหนึ่งพระองค์ต้องการประกาศให้มนุษย์ทราบว่าตราบใดที่มนุษย์ไม่สามารถรับทางนำด้วยคำยืนยันจากคัมภีร์และความยุติธรรมแล้ว มนุษย์จึงจำเป็นต้องได้รับคำสั่งสอนด้วยกฎเหล็ก ดังปรากฏในอัลกุรอาน ความว่า :
“ แน่แท้เราได้ส่งบรรดารสูลของเราพร้อมด้วยหลักฐานทั้งหลายอันชัดแจ้ง และเราได้ประทานคัมภีร์และความยุติธรรม ลงมาพร้อมกับพวกเขา เพื่อมนุษย์จะได้ดำรงอยู่บนความเที่ยงธรรม และเราได้ให้มีเหล็กขึ้นมาเพราะในนั้นมีความแข็งแกร่งมากและยังประโยชน์มากมายสำหรับมนุษย์ และเพื่ออัลลอฮฺจะได้ทรงรู้ถึงผู้ช่วยเหลือพระองค์ และบรรดารสูลของพระองค์ (มีความเชื่อ) แท้จริงนั้นอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงอำนาจ” ( อัล-ฮะดีด : 25 )
ในความเป็นจริง ชีวิตไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากปราศจากกองกำลังที่คอยทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์สัจธรรม ตอบโต้ความเท็จ เชิดชูความยุติธรรมและประกาศสงครามกับความอยุติธรรม เพื่อจะได้ยับยั้งกอบีลไม่ให้เข่นฆ่าฮาบีล และสิ่งเหล่านี้คือ ข้อเท็จจริงอันพึงปรารถนาที่นำเสนอโดยระบบจริยธรรมในอิสลาม บทบัญญัติแห่งอิสลาม และคำสอนแห่งอัลกุรอาน ดังปรากฏในอัลกุรอาน ความว่า :
“ และหากพวกเจ้าจะลงโทษ (ฝ่ายปรปักษ์) ก็จงลงโทษเยี่ยงที่พวกเจ้าได้รับโทษ และหากพวกเจ้าอดทน แน่นอนมันเป็นการดียิ่งสำหรับผู้ที่อดทน ” ( อัน-นะหฺลุ : 1)
والله أعلم بالصواب
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น