อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ยิวอิสราเอลอยู่เบื้องหลังวินาศกรรม 9/11 มุสลิมคือแพะรับบาป


ดร.อลัน ซับรุสคีย์ แฉ..
ยิวอิสราเอลอยู่เบื้องหลังวินาศกรรม 9/11

สำนักข่าวเพรสทีวี PREES TV รายงานว่า ดร.อลัน ซับรุสคีย์ (Alan Sabrosky) นักเขียน และเป็นที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญกิจการความมั่นคงระดับชาติและระดับนานาชาติชาวอเมริกัน ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเพรสทีวีกรณีวินาศกรรม 11 ก.ย. 2001 ว่า

“อิสราเอลอยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมในครั้งนั้น”

ดร. อลัน ซับรุสคีย์ ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวของเพรสทีวีเพียงไม่กี่นาที ซึ่งมีเผยแพร่อยู่ในเว็บไซต์ยูทูปเวลานี้ โดย ดร.อลัน ซับรุสคีย์ ได้เปิดเผยว่า

“เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้โทรศัพท์ไปคุยกับคนรู้จักคนหนึ่งในวิทยาลัยของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา เราได้พูดคุยกันนานมาก สรุปได้ว่าข้าพเจ้าได้อธิบายให้เข้าฟังอย่างทะลุปรุโปร่งที่สุด จนเขามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นว่า วินาศกรรมในวันที่ 11 กันยายน 2001 คือภารกิจของหน่วยมอสสาดแห่งอิสราเอล”

ดร.อลัน ซับรุสคีย์ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อไปอีกว่า “เพื่อนร่วมงานของเขาคนนี้ ซึ่งขณะนี้ยังคงเป็นเจ้าหน้าที่ของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาอยู่ ในช่วงแรกที่ข้าพเจ้าได้บอกว่า วินาศกรรมในวันที่ 11 กันยายน 2001 คือภารกิจของหน่วยมอสสาดแห่งอิสราเอล” เขาได้แสดงปฏิกิริยาไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดออกมาทันที ทว่าเมื่อเขาได้ยินคำอธิบายต่างๆ ของข้าพเจ้าเกี่ยวกับเรื่องการรื้อถอนอาคารสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่มีการควบคุมโดยวิศวกรชั้นยอด ทันใดจากปฏิกิริยาไม่เชื่อของเขา กลับกลายเป็นความกริ้วโกรธขึ้นมาทันที”



ดร.อลัน ซับรุสคีย์ ได้กล่าวต่ออีกว่า “ในช่วงแรกที่เขาไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าพเจ้าพูด ข้าพเจ้าจึงได้อธิบายให้เขาฟังโดยทันทีทันใดเกี่ยวกับสิ่งที่ข้าพเจ้าได้สนทนากับผู้เชี่ยวชาญด้านรื้อถอนอาคารสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ชาวเยอรมันคนหนึ่ง นามว่า แดนนี่ ญูเอ็นโค ซึ่งได้มีการสนทนากันกรณีการถล่มลงมาของอาคารหลังที่สาม ของตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (WTC) ประเด็นที่สำคัญที่สุดที่จะต้องเปิดเผยแก่ประชาคมโลกให้ได้รับรู้ก็คือ มีอาคาร 3 อาคารที่ถล่มลงมาในวันนั้น (11/9/2001) แต่ขอชี้ให้เห็นว่าไม่มีเครื่องบินลำที่ 3 บินพุ่งชนอาคารที่สาม ทว่าอาคารที่สามถล่มลงมาโดยการบังคับจากภายนอก ด้วยเหตุนี้ขอบอกว่า ทั้ง 3 อาคารที่ถล่มลงมาในวันนั้น เป็นการบังคับให้ถล่มลงมาโดยปัจจัยภายนอกที่ไม่ใช่การพุ่งชนของเครื่องบินแต่ประการใด”

ดร.อลัน ซับรุสคีย์ ได้กล่าวย้ำว่า “ถ้าหากว่าข้อมูลเหล่านี้ได้ถูกเปิดเผยแก่ชาวอเมริกัน และชาวอเมริกันได้รับรู้ความจริงที่ถูกปิดบังเอาไว้จากการก่อวินาศกรรมในครั้งนี้ ชาวอเมริกันจะมุ่งทำลายชาวอิสราเอลอย่างไม่หยุดหย่อนแน่นอน แม้ว่าจะต้องใช้เงินทุนมากมายเพียงใดก็ตาม”

ดร.อลัน ซับรุสคีย์ ได้กล่าวในช่วงท้ายว่า “ภารกิจครั้งนั้นของไซออนิสต์อิสราเอล เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว ทว่าก็เป็นการยิงปืนนัดเดียวที่มีความหายนะซ่อนเร้นอยู่ เนื่องจากว่าถ้าหากวันใดก็ตามที่ชาวอเมริกันรับรู้เรื่องราวความจริงนี้เมื่อไหร่ พวกเขาก็จะพบกับจุดจบเช่นเดียวกัน”

ดร.อลัน ซับรุสคีย์ ได้กล่าวอีกว่า “มีหลายอย่างที่ผมค้นพบเกี่ยวกับเหตุการณ์ 11 กันยายน แต่มีบางเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหลังอย่างเห็นได้ชัดที่ผมเริ่มสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ 11 กันยายน คือ สองสัปดาห์หลังจากการโจมตี มีบางอย่างที่ไม่ปะติดปะต่อกันที่ผมรู้สึกไม่เข้าใจ คือความไม่ต่อเนื่องในพฤติกรรมเกี่ยวกับรายชื่อของผู้ก่อการร้ายทั้งสิบเก้าคน และการบินของเขาพวกเขา ดูเหมือนพวกเขาไม่มีทักษะในการขับเครื่องบิน และพวกเขาบินเหมือนไม่รู้ว่าจะทำยังไงแม้เป็นบ้านเป็นเมืองของตัวเอง แต่ผมก็ลืมมันไปแล้ว”

ดร. อลัน ซับรุสคีย์ ได้กล่าวอีกว่า “กระทั่งได้มาเจอวิดีโอของ ดาเนิยล โจวิงเกล และสิ่งที่ทำให้ผมปั่นป่วน คือกรณีการพังลงอาคารหลังที่สาม ของตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์วันที่ 11 กันยายน นี่เป็นอาคาร 47 ชั้นของตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ อาคารหลังที่สามที่สูงที่สุดของตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ โจ วิงเคิล ซึ่งไม่เคยมีใครได้ยินเรื่องนี้รวมทั้งผมด้วย แต่เมื่อดูที่ตัวอาคาร จะเห็นไม่มีร่องรอยความเสียหายใดๆ บนตัวอาคาร ไม่มีรอยถูกชนด้วยเครื่องบิน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แต่มันล้มยุบลงที่ฐานของมันเองเพียงเจ็ดวินาที และทำให้เกิดความเสียหายอย่างเห็นได้ชัด”

ดร.อลัน ซับรุสคีย์ ได้กล่าวอีกว่า “และเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ไม่ว่าสิ่งที่พวกก่อการร้ายขับเครื่องบินซึ่งเป็นชาวยุโรป 19 คน และอีกสองคนได้ทำหรือไม่ได้ทำในวันนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมมั่นใจว่าพวกเขาไม่ได้ทำให้อาคารหลังที่สามพังลงอย่างแน่นอน”

อย่างที่สองคือ วิดีโอที่ฐานชั้นล่างซึ่งถูกถ่ายไว้ในวันที่ 11 กันยาพอดี ที่ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ 1 และ 2 ที่ชั้นใต้ดินของตึกแฝด ซึ่งมีตำรวจเจ้าหน้าที่บริการฉุกเฉิน นักหนังสือพิมพ์ ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ มากมายได้รวมกันที่นั่น ที่ได้เห็นและได้ยินว่ามีเสียงระเบิดเป็นครั้งที่สอง ณ ชั้นฐานของตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ จุดที่เครื่องบินพุ่งชนห่างจากพื้นดิน 8,002,000 ฟุต ซึ่งแน่นอนจะไม่สามารถทำให้เกิดระเบิดในชั้นใต้ดินได้
และยังมีรายงานอีกเหตุการณ์หนึ่งในวันที่ 11 กันยายน คือมีรถตู้สีขาวคันหนึ่งปรากฏอยู่ในพื้นที่ และถูกตำรวจจับได้บนสะพาน ในรถตู้นั้นเต็มไปด้วยระเบิด และสองคนที่ถูกจับในรถคันนั้นเป็นชาวอิสราเอล และในเบอเกิลนิวเจซี่ วันเดียวกัน มีรถตู้ และมีคนหลายคนอยู่ในนั้น พวกเขาได้มีการตั้งกล้องถ่ายวีดีโออย่างพร้อมสรรพ ก่อนที่เครื่องบินลำแรกจะพุ่งชนตึก พวกเขากำลังถ่ายตึกแฝด พวกเขาฉลองกัน และก็ร้องไฮไฟฉลองกัน ราวกับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความดีใจอันล้นพ้นสำหรับพวกเขา ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่นได้โทรแจ้งตำรวจ และตำรวจจับได้ทั้งหมดห้าคน ซึ่งทราบต่อมาภายหลังว่าทั้งห้าคนเป็นชาวอิสราเอล

สิ่งที่ทำให้ผมโกรธมาก ก็คือรายงานเหล่านี้ได้หายไปจากสื่อชาวอเมริกัน คนส่วนมากไม่รู้ว่ามีอาคารหลังที่สามพังลงที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ คนส่วนมากไม่เคยได้ยินการรายงานการเกิดระเบิดครั้งที่สองจาก CNN ABC FOXS หรือ สื่ออื่นๆ ที่เกิดขึ้นชั้นล่างของตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ 1 และก็ 2 ไม่มีใครเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับรถตู้สองคันนั้นที่มีชาวอิสราเอลอยู่ในนั้น

มีบริษัทมากมายที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการปฏิบัติการทำลายอาคารพังลง การทำให้ตึกระเบิดลงอย่างราบคาบ ต้องมีความเชี่ยวชาญด้วย ทว่าไม่มีการสืบสาวว่าทั้ง 19 คนมาจากบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญหรือไม่ การควบคุมการปฏิบัติการก็เป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นบริษัทของชาวอิสราเอลเอง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่สนามบินทั้งสามแห่ง ตอนที่เครื่องบินมาจอดในวันที่ 11 กันยายนเช่นกัน

การตัดตัวอาคารเพื่อวางระเบิดรอบๆ อาคารนั้นต้องใช้คนงานมากถึง 40-50 คน และไม่ใช่แค่ 2-3 นาที และหลบหนีไป ชาวอิสราเอลที่อยู่ในรถตู้ถูกปล่อยตัวหลังจากนั้นสองเดือนแต่ไม่มีใครรายงาน อย่างเดียวที่ได้ยินคือ ชาวยุโรปสิบเก้าคนขับเครื่องบินชนตึก และหลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวอะไรอีกเลย ทุกอย่างกลายเป็นไม่มีเรื่องเล่าต่อ
ย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ได้เกิดเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมในสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 11 กันยายน 2001 มีการจี้เครื่องบินสหรัฐอเมริกาพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ซึ่งมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตมากถึง 3,000 คน เป็นประชาชนชาวอเมริกัน และชาติอื่นๆ อีกหลายชาติ แต่ที่น่าแปลกในประการหนึ่งไม่มีชาวยิวเสียชีวิตในเหตุการณ์นี้แม้แต่คนเดียว

หลังเหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน สหรัฐอเมริกาได้อ้างว่า มีผู้ก่อการร้ายจำนวน 19 คนที่เป็นแนวร่วมของขบวนการอัลกออิดะฮ์ที่อยู่ในอัฟกานิสถาน เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมในครั้งนี้
ในขณะที่การออกมาอ้างเช่นนั้นของสหรัฐอเมริกาในกรณีวินาศกรรมครั้งนั้น ได้มีการกระจายข่าวไปตามสื่อต่างๆ ทั่วทั้งโลก ซึ่งในสมัยนั้น จอร์จบุช เป็นผู้นำสหรัฐอเมริกา หลังจากที่สหรัฐอมริกาสรุปแล้วว่าขบวนการอัลกออิดะฮ์อยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรม 11 กันยายน ในปีนั้นเอง 2001 สหรัฐอเมริกาก็บุกอัฟกานิสถานในทันทีเพื่อตามล่าผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะฮ์ที่มีหัวหน้าชื่อ อุสมะฮ์ บินลาดิน

ต่อมาในปี 2003 สหรัฐอเมริกาได้บุกอิรัก โดยอ้างว่าอิรักมีการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อนุภาพทำลายสูงไว้ในครอบครอง

สามารถรับชมวีดีโอการให้สัภาษณ์ดังกล่าวได้ที่ลิงค์ต่อไปนี้
http://www.veteranstoday.com/2011/07/17/911-and-israel-alan-sabroskys-shocking-press-tv-interview




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น