อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การอุปการะเด็กกำพร้า



รายงานจาก ซะฮฺลฺ อิบนิซะอฺดฺ กล่าวว่า ท่านรอซูล  กล่าวว่า :
“ฉันและผู้อุปการะเด็กกำพร้า จะได้อยู่ในสวรรค์เช่นนี้”
และท่านรอซูลได้ชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นแล้วแยกออกจากกัน
บันทึกโดยบุคอรีย์
(ดูในบุคอรีย์ เล่ม 10 หน้า 365)

คำอธิบาย
       
           เด็กกำพร้าคือเด็กที่บิดาเสียชีวิต และยังไม่บรรลุนิติภาวะ เขายังต้องการความช่วยเหลือจากผู้ที่ได้รับสั่งเสียว่า จะคอยดูแลให้ อาจจะด้วยทรัพย์ของเขาที่ผู้เป็นบิดาทิ้งไว้ให้ หรือเขายากจนไม่มีทรัพย์สิน เขาก็ยังต้องการผู้อุปการะเช่นกัน

         อุปสรรคต่างๆในชีวิต จะทำให้เขานึกถึงพ่อที่ตายไป และเกิดความวิตกกังวลต่อการดำเนินชีวิต ด้วยเหตุนี้เอง อิสลามจึงส่งเสริมให้มุสลิมเข้ามาโอบอุ้มเด็กกำพร้าแทนบิดาของเขา อิสลามยกระดับของผู้ที่เลี้ยงดูเด็กกำพร้าให้เขาได้เป็นชาวสวรรค์ และอยู่ในระดับสูงสุด คือได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านนบี  ในสวรรค์

        ถ้าหากเราปล่อยปะละเลย ไม่ให้ความสนใจต่อการอุปการะเด็กกำพร้า จะทำให้เด็กเหล่านั้นมีชีวิตอยู่อย่างไร้เป้าหมาย ถ้าหากเราเข้าไปดูแลก็จะทำให้พวกเขามีอนาคตสดใสเหมือนเด็กคนอื่นๆได้

        ท่านรอซูล ก็เป็นเด็กกำพร้า ท่านได้รับความเอ็นดูเมตตาจากอัลเลาะห์ ให้มีผู้อุปการะเลี้ยงดูท่านอย่างดี จนกระทั่งในที่สุด โลกทั้งโลกก็ได้รับเอาแนวทางในการดำเนินชีวิตจากท่าน เมื่ออัลเลาะห์ ทรงแต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้ประกาศศาสนาอิสลาม

สิ่งที่ได้รับจากฮะดีษนี้

1. สังคมส่วนรวมต้องให้การอุปการะต่อผู้ที่อ่อนแอ
2. เมื่อผู้หนึ่งขาดแคลนสิ่งใด สังคมส่วนรวมจะต้องช่วยกันชดเชยสิ่งนั้นให้
3. ผู้ใดรับทราบฮะดีษบทนี้แล้วควรจะปฏิบัติตามทันที เพื่อเข้าจะได้รับผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่ในวันอาคิเราะห์ คือได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านนบีในสวรรค์ ไม่มีสิ่งใดจะสูงส่งกว่านี้อีกแล้ว


ในอีกรายงานหนึ่งของมุสลิมกล่าวว่า

รายงานจาก อบีฮุรอยเราะห์ กล่าวว่า ท่านรอซูล กล่าวว่า :

               ผู้อุปการะเด็กกำพร้า ไม่ว่าจะเป็นญาติใกล้ชิด (เช่น แม่ ปู่ หรือพี่น้อง) หรือเป็นคนอื่นๆที่ไม่ใช่ญาติสนิทก็ตาม ฉันกับเขาจะอยู่ใกล้ชิดกันในสวรรค์ เช่นเดียวกับสองนิ้วนี้
แล้วผู้รายงานหะดีษ คือ มาลิก อิบนิอะนัส ก็ชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้น
บันทึกโดยมุสลิม
(ดูในมุสลิม หะดีษเลขที่ 2983)

คำอธิบาย

               ผู้ให้การอุปการะเด็กกำพร้านั้น จะได้รับผลตอบแทนเหมือนๆกัน ไม่ว่าจะเป็นญาติใกล้ชิด หรือ เป็นคนอื่น เพราะมุสลิมทุกคนเป็นพี่น้องกัน ไม่มีความแตกต่างระหว่างความเป็นญาติในฐานะมุสลิมด้วยกัน หรือเป็นญาติในฐานะสืบตระกูล ทุกฝ่ายจะต้องเสียสละ หันมาสนใจสังคมมุสลิม และพยายามให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้มาก

สิ่งที่ได้รับจากหะดีษนี้

1. มุสลิมจำเป็นต้องรับผิดชอบความทุกข์ยาก จากพี่น้องมุสลิมด้วยกัน
2. ชี้ให้เห็นถึงความประเสริฐของผู้ที่ดูแลเด็กกำพร้า


...................................
ที่มา: ริยาดุสซอลีฮีน
โดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับ
http://www.islammore.com/















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น