อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อัลรูฮฺคือญิบริล ไม่ใช่วิญญาณผู้ตาย



มุสลิมบางคนเข้าใจผิดว่าในเดือนรอมาฎอนวิญญาณญาติๆที่กลับไปยังพระองค์อัลลอฮฺแล้วจะกลับมาบ้าน(โลกดุนยา) โดยเฉพาะในคืนลัยละตุ้ลก็อดรฺ (คำว่า "ลัยละฮฺ" ليلة แปลว่า กลางคืน คำว่า "อัลก๊อดรฺ" القدر แปลว่า พระกำหนด หรือ ความยิ่งใหญ่ "ลัยละตุ้ลก๊อดรฺ" หมายถึง คืนแห่งพระกำหนด หรือ คืนที่ยิ่งใหญ่ ความประเสริฐ) และยืนยันว่าความเชื่อที่ว่าวิญญาณกลับมาบ้านนั้นมีหลักฐาน โต๊ะครูบอกว่ามีระบุไว้ในอัลกุรอาน จริงๆแล้ว เรื่องวิญาณผู้ตายจะกลับมาที่บ้านในคืนเดือนรอมาฎอน หรือคืนอื่นๆนั้น ไม่มีหลักฐานทั้งในอัลกุรอาน และหะดิษมารองรับแต่อย่างใด ทั้งยังสวนทางกับคำสอนศาสนา ซึ่งระบุว่า เมื่อมนุษย์คนใดได้เสียชีวิตลง วิญญาณผู้นั้นก็จะไปอยู่อีกโลกหนึ่งเรียกว่าอะลัมบัรฺซัค(โลกแห่งวิญญาณ) และอัลลอฮฺจะปิดกั้นวิญญาณผู้ตายกับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ระหว่างโลกนี้กับโลกอะลัมบัรฺซัคกราบจนถึงวันฟื้นคืนชีพ คือวันกิยามะฮฺ


พระองค์อัลลอฮฺ(ศุบฮานะฮูวะตะอาลา) ทรงตรัสว่า..

ومن ورآئهم برزخ إلى يوم يبعثون

“และเบื้องหน้าของพวกเขานั้นมีโลกบัรซัค จนกระถึงวันที่พวกเขาจะถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมา” (ซูเราะฮฺ อัล-มุอฺมินูน : 100)

ท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
"เมื่อมัยยิตถูกวางลงในหลุมศพ มลาอิกะฮฺ 2 ท่าน(ลักษณะ)ดำปนน้ำเงิน หนึ่งจากทั้งสองชื่อว่า มุงกัรฺส่วนอีกท่านหนึ่งชื่อว่า นะกีรฺทั้งสองกล่าว(ถามมัยยิต) ว่า :  ท่านจะจะกล่าวอย่างไรกับชายที่ชื่อมุหัมมัดนี้ (มัยยิต) กล่าว่าตอบว่า : เขาคือบ่าวของอัลลอฮฺ และเป็นรสูลของพระองค์ ฉันขอปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดสมควรได้รับการอิบาดะฮฺ นอกจากพระองค์อัลลอฮฺองเดียวเท่านั้น และแท้จริงมุหัมมัดเป็นบ่าวของพระองค์ และเป็นรสูลของพระองค์มลาอิกะฮฺทั้งสองกล่าวขึ้นว่า : ฉันทราบอยู่แล้วว่าท่านจะต้องกล่าวแบบนี้จากนั้นในหลุมศพของเขาก็ขยายกว้าง 70 ศอก ยาว 70 ศอก จากนั้นภายในหลุมศพก็มีรัศมีให้สำหรับเขา แล้วมีเสียงกล่าวแก่เขาว่า : ท่านจงหลับเถิดเขา(มัยยิต) ก้กล่าวขึ้นว่า : ฉันจะกลับไปยังครอบครัวของฉัน เพื่อบอกพวกเขา (ถึงความสุขสบายในหลุมศพ)มลาอิกะฮฺทั้งสองตอบว่า : ท่านจงนอนเถิด เฉกเช่นการนอนในคืนแต่งงานวันแรก (หมายถึงให้นอนอย่างมีความสุข)" (บันทึกหะดิษโดย อิมามอัตติรฺมีซีย์ เลขที่ 1092 เป็นหะดิษหะซัน)

สำหรับมุสลิมคนใดเชื่อว่าวิญญาณจะมายังโลกดุนยานี้อีก โดยอ้างว่าโต๊ะครูบอกว่าได้ระบุไว้ในอัลกุรอาน ก็คงเข้าใจคำว่า "อัลรูฮฺ" วิญญาณบริสุทธิ์ที่ระบุไว้ในสูเราะฮฺอัล-ก็อดรฺ อายะฮฺที่ 4 ว่า บรรดามะลาอิกะฮฺ และอัลรูฮฺจะลงมาในคืนลัยละตุลก็อดรฺ คือวิญาณของผู้ที่ตายไปแล้ว

พระองค์อัลลอฮฺ(ศุบฮานะฮูวะตะอาลา) ทรงตรัสว่า

تَنَزَّلُ الْمَلَائِكَةُ وَالرُّوحُ فِيهَا بِإِذْنِ رَبِّهِم مِّن كُلِّ أَمْرٍ ( 4 )

"บรรดามะลาอิกะฮฺและอัลรูฮฺ (ญิบริล) จะลงมาในคืนนั้น โดยอนุมัติแห่งพระเจ้าของพวกเขาเนื่องจากกิจการ-ทุกสิ่ง" (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-ก็อดรฺ 97:4)

ซึ่งอัลรูฮฺในอายะฮฺดังกล่าวนั้น นักวิชาการศาสนากล่าว่ามันคือ มลาอิกะฮฺที่ชื่อ "ญิบริล" นั้นเอง อัลรูฮฺ ดังกล่าวจึงไม่ใช่หมายถึง วิญญาณของผู้ตาย ที่เข้าใจกันผิดๆแต่อย่างใด


الله أعلم بالصواب








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น