อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

กลิ่นของเจ้าอยู่ที่ใดรู้ไหม?



อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงตรัสว่า

"บิดาของเขาได้กล่าว (กับเครือญาติ) ว่า แท้จริงฉันได้พบกลิ่นของยูซุฟ ทั้งนี้หากพวกท่านไม่หาว่าฉันเลอะเลือน" พวกเหล่านั้นกล่าวว่า "ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.) ท่านนั้นตกอยู่ในความหลงผิดดั้งเดิมของท่าน" (ยูซุฟ : 94 - 95)

นี่คือบางส่วนของประวัติศาสตร์โลก เรื่องราวการพลักพรากกว่า 30 ปี ของผู้เป็นพ่อและลูกชาย นบียะอ์กูบ (อ.) ผู้เป็นพ่ออยู่ปาเลสไตน์ ส่วนนบียูซูฟ (อ.) ผู้เป็นลูกอยู่ที่เมืองอารีช ประเทศอียิปตฺ คำกล่าวของนบียะอ์กูบ (อ.) ที่ว่า "แท้จริงฉันได้พบกลิ่น" ทำไมจึงใช้สำนวนว่า "พบกลิ่น" ซึ่งประสาืทสัมผัสที่ใช้ในการรับรู้กลิ่นน่าจะเป็นจมูก ไม่ใช่การพบ ซึ่งการพบหรือการเห็นนั้นใช้ประสาทสัมผัสผ่านดวงตา อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมนุษย์ มากกว่ามนุษย์รู้จักตัวเขาเองด้วยซ้ำไป ทำไมจึงใช้คำว่าพบกลิ่นของยูซุฟ (อ.) ผู้เป็ฯลูกชายนบียะอ์กูบ (อ.) มิได้เลอะเลือนแต่อย่างใด ดวงตาทั้งสองของท่านอาจจะมองไม่เห็น อันมาจากการร่ำไห้เสียใจ ตั้งแต่วันแห่งการจำพรากระหว่างท่านกับลูกชาย ทำไมจึงใช้คำว่า "พบกลิ่น" แม้จะมองไม่เห็น ถึงดวงตาจะมองเห็นแต่ก็อยู่กันคนละที่ อย่างไรก็ไม่อาจพบเห็น ทำไมจึงใช้คำว่า "พบกลิ่น" ท่านนบียะอ์กูบ (อ.) ทรงรู้ซึ้งดี และต่อลูก ๆ ทุกคนบนโลก สำหรับผู้เป็นพ่อย่อมรู้ดีว่า ทำไมจึงใช้คำว่า "พบกลิ่นของลูก" ใช่แล้ว แม้ว่าไม่ได้เห็นด้วยดวงตา แต่พ่อพบกลิ่นของลูกที่หัวใจของพ่อ มันตราตรึงอยู่้ในนี้เสมอ ใช้แล้วมันกรุ่นอยู่ในหัวใจของพ่อไม่เปลี่ยนไปเลย

"เราไม่มีทางเลือกอะไรอีกแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย"

วันที่อิบรอฮิม บุตรชายของท่านรอซูล (ซ.ล.) นอนหลับอยู่้ในอ้อมกอดของพระนางมารียะฮฺ (อัลกิบตีย์) ผู้เป็นแม่ พระนางมารียะฮฺได้เข้าัรับอิสลามก่อนที่จะใช้ชีวิตร่วมกัยท่านร่อซูล (ซ.ล.) ขณะนั้นอิบรอฮีมมีอายุประมาณ 16 เดือน อิบรอฮีมนอนหลับอยู่ในปีกแห่งอ้อมกอดของผู้เป็นมารดา ท่านร่อซูล (ซ.ล.) ได้มองดูอิบรอฮีม แล้วทรงกล่าวขึ้นว่า "โอ้อิบรอฮีมเอ๋ย พ่อมิได้มีกรรมสิทธิ์ฺใด ๆ ต่อเจ้าจาอัลลอฮฺ (ซ.บ.) เลย" (เราทุกคนล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ ไม่มีใครเป็นกรรมสิทธิ์ของใคร แม้กระทั่งพ่อต่อลูกก็ตาม) ในที่สุดอิบรอฮีมบุตรชายคนสุดท้ายของท่านรอซูล (ซ.ล.) ได้เสียชีวิตลง ไม่เหลือบุตรและบุตรีคนใดของพระองค์อีกแล้ว นอกจากพระนางฟาติมะฮฺซึ่งนางเสียชีวิตภายหลังจากวะฟาตของ (ท่านรอซูล (ซ.ล.)) ผู้เป็นบิดาของพระนางเพียง 6 เดือน โดยพระนางมีอายุเพียง 30 ปีเท่านั้น

พ่อผู้เปี่ยมด้วยความรักที่มีต่อลูก ได้แบกร่างอันไร้วิญญาณของอิบรอฮีมผู้เป็นลูกชาย แล้ววางลูกชขายไว้ในหลุมฝังศพ ผู้เป็นพ่อ (รอซูล (ซ.ล.)) ได้กล่าวขึ้นว่า

"โอ้อิบรอฮีมเอ๋ย! เมื่อมลาอิกะฮ์ (มุกัร - นะกีร ผู้สอบถามคนตายในกุโบร์) มาหาเจ้า เจ้าจงบอกกับพวกเขาเถิดว่า อัลลอฮฺ (ซ.บ.) คือองค์อภิบาลของฉัน ศาสนฑูตนั้นคือบิดาของฉัน และอิสลามนั้นคือศาสนาของฉัน" แล้วท่านรอซูล (ซ.ล.) ได้ลงไปในหลุมศพของลูกชาย (เพื่อช่วยฝัง) ท่าน (รอซูล (ซ.ล.)) ได้ยินเสียง (สะอึกสะอื้น) ที่พยายามอดกลั้นเอาไว้ด้วยหัวใจที่เศร้าโศกของท่านอุมัร บุตรอัลคอตต็อบ ท่านรอซูล (ซ.ล.) ได้ถามท่านอุมัรว่า "เจ้าร้องไห้ทำไมหรือ โอ้อุมัรฺ?" ท่านอุมัรฺตอบว่า "โอ้ท่านรอซูล (ซ.ล.) บุตรชายของท่านวัยยังไม่บรรลุนิติภาวะ ยังไม่ได้ถูกจรดปากกา (ไม่มีความชั่วใด ๆ ให้บันทึก) เขายังไม่ต้องการผู้สอนตัลกีนใด ๆ (อันเนื่องมาจากเด็ก ๆ ทุกคนที่เสียชีวิตก่อนบรรลุนิติภาวะไม่ว่าศาสนาใดล้วนเข้าสวรรค์ทั้งสิ้น) แล้ว (ฉัน) ลูกชายอัลคอตต็อบ ผู้ซึ่งบรรลุนิติภาวะไปแล้ว ปากกาก็ถูกลาก (บันทึก) ไปแล้ว (ฉัน) จะทำอย่างไร? เมื่อไม่มีผู้สอนตัลกีนเฉกเช่นท่าน (ผู้เป็นรอซูล (ซ.ล.))? แล้วองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงประทานโองการอัลกุรอานว่า

"อัลลอฮฺ (ซ.บ.) จะทรงให้บรรดาชนผู้มีศรัทธาได้มั่นคงอยู่ด้วยถ้อยคำมั่นคงในภาคภพนี้และในภาคปรภพ และพระองค์จะทรงให้เหล่าผู้อธรรมหลงหนทาง และอัลลอฮฺ (ซ.บ.) จะทรงกระทำการใด ๆ ก็ตามที่พระองค์มุ่งประสงค์" (อิบรอฮีม : 27 - จากหนังสือ ฮุนา มัดรอชะตุ มูฮำหมัด (ซ.ล.) เชค อับดุลฮามีด อัลกิชกุ เล่ม 2 หน้าที่ 11 - 12)

ได้มีรายงานว่า ในตอนที่อิบรอฮีม บุตรชายท่านรอซูล (ซ.ล.) เสียชีวิต ที่ดวงตาของท่ารอซูล (ซ.ล.) มีน้ำตาไหลออกมาด้วยความอาดูรต่อลูกชายผู้จากไป ท่านอับดุลรอมาน บุตรเอาฟ์ เห็นแล้วได้ถามท่านรอซูล (ซ.ล.) ว่า "โอ้ท่านรอซุล (ซ.ล.) ท่านก็ร่ำไห้หรือ?" ท่านรอซูล (ซ.ล.) ตอบว่า "โอ้บุึตรของเอาฟ์เอ๋ย ! แท้จริงดวงตาย่อมหลั่งน้ำตา (เมื่อเสียใจ) แท้จริงหัวใจย่อมโศกาอาดูร (แต่) เราจะไม่กล่าวสิ่งใด นอกจากสิ่งอันเป็นที่พอพระทัยต่อองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) (เพราะทุกสิ่างที่ได้มาทุกสิ่งที่พลัดพรากล้วนมาจากพระองค์ทั้งสิ้น) เท่านั้น"
.................................
(จากหนังสือ : ก่อนที่คำของพ่อ จะลบเลือน)

อดทน เพื่อชัยชนะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น