อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

25ธันวาวันเกิดสุริยะเทพหรือพระเยซู


    ทุกวันที่  25 ธันวาคมของทุกปี จะมีเทศกาลที่ชาวโลกให้ความสำคัญ นั่นก็คือเทศกาลวัน คริสต์มาสเกิดขึ้น ซึ่งผู้คนทั่วโลก ให้ความสำคัญกันอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการส่งการ์ดอวยพรในวันคริสต์มาส แต่งกายเป็นซานต้าครอสแจกของขวัญ ประดับประดาบ้านเรือน ตามสถานที่ต่าง ๆ ด้วยกับต้นคริสต์มาส ขับร้อง เพลงวันคริสต์มาส เป็นต้น

ทั้งที่ความเป็นจริงพระเยซูหรือนบีอีซาท่านมิได้เกิดในวันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาวแต่อย่างใด แต่ท่านเกิดในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นฤดูร้อน ที่มีอากาศร้อนจัด ปัจจุบัน ณ ที่ประสูตินบีอีซา( ปาเลสไตส์) ในช่วงเดือนกรกฎาคม อากาศร้อนจัดถึง 50 อาศา


ความจริงแล้ว วันที่ 25 ธันวาคม (วันคริสต์มาส) เป็นวันเฉลิมฉลองเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ของชาวโรมัน  เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่เมื่อชาวคริสต์ได้นำศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ในราชอาณาจัครโรมัน ต้องการแลกเปลี่ยนที่จะให้จักรพรรดิแห่งโรมัน และประชาชนในโรมันเข้านับถือคริสต์ศาสนา จึงมีการแลกเปลี่ยนให้วันที่ 25 ธันวาคมอันเป็นวันเฉลิมฉลองวันเกิดของสุริยะเทพกลายมาเป็นเป็นวันเกิดของพระเยซูแทน และสร้างรูปปั้นพระเยซูมากราบไหว้แทนสุริยะเทพ อันได้ชื่อคริสตจักรโรมันคาทอลิกนั้นเอง


ในพระคัมภีร์อัลกุรอาน พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

فَأَجَاءَهَا المَخَاضُ إلَى جِذْعِ النَخْلَةِ 

“ขณะที่อาการเจ็บท้องคลอดได้ทำให้เธอไปยังใต้ต้นอินทผลัม” (ซูเราะห์มัรยัม อายะห์ที่ 23)

وَهُزِّي إلَيْكِ بِجِذْعِ النَخْلَةِ تُسَاقِطْ عَلَيْكِ رُطَباً جَنِيَّا فَكُلِي وَأشْرَبِي وَقَرِّي عَيْنًا 

“และเธอจงเขย่าต้นอินทผลัมมายังเธอ ผลอินทผลัมสุกมันจะร่วงหล่นลงมา ดังนั้นจงกิน จงดื่ม และจงทำสายตาให้เบิกบาน” (ซูเราะห์มัรยัม อายะห์ที่ 25)

อัลกุรอานข้างต้นนี้ ทำให้เราได้ทราบถึงช่วงระยะเวลาที่ท่านหญิงมัรยัมได้คลอดนบีอีซา โดยเฉพาะคำสั่งที่ใช้ให้ท่านหญิงมัรยัมกิน “รุฏ๊อป” หรือผลอินทผลัมสุกหลังจากคลอดนบีอีซาแล้ว
อินทผลัมเป็นต้นไม้ที่ออกผลตามฤดูกาลไม่เปลี่ยนแปลง และในฤดูการออกผลจนกระทั่งถึงระยะที่ผลสุกงอมนั้นจะอยู่ระหว่างเดือน กรกฎาคม ถึง กันยายน เพราะฉะนั้นความเชื่อที่ว่า นบีอีซาเกิดในเดือนธันวาคม จึงไม่สอดคล้องกับหลักฐานที่ปรากฏในอัลกุรอาน

ถึงแม้วันที่ 25 ธันวาคม จะไม่ใช่วันเกิดของพระเยซู หรือท่านนบีอีซา อะลัยฮิสลามก็ตาม แต่มันก็ไม่เกี่ยวข้องกับอิสลาม แต่อย่างใด ที่จะเฉลิมฉลองะลึกถึงวันประสูติของพระเยซูตามความเชื่อของชาวคริสต์ ตามหลักการอิสลาม มิได้กำหนดให้มุสลิมระลึกหรือจัดงานวันเกิดกับผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นตัวเอง พ่อ แม่ หรือแม้กระทั่งการจัดงานวันเกิดให้กับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัย ฮิวะซัลลัม  ก็ไม่มีบทบัญญัติจากอัลกุรอ่านและ ตัวบทจากฮะดีษ

ทั้งการที่มุสลิมคนใดไปมีส่วนร่วมยินดี เฉลิมฉลองใน วันนี้นั้น ประหนึ่งว่ามีส่วนร่วมแสดง ความยินดีต่อพิธีกรรมของชาวโรมัน การที่เราไปเลียนแบบพฤติกรรมที่เกี่ยวกับเรื่องของศาสนาอื่นนั้น ก็เหมือนกับเราไปเป็นส่วนหนึ่งของศาสนานั้น และการที่มุสลิม ได้เลียนแบบกลุ่มชนอื่นมากเท่าใด ความตกต่ำของมุสลิมก็เพิ่มมากขึ้น

พระองค์อัลลอฮฺทรงมีรับสั่งว่า

لَكُمْ دِينُكُمْ وَلِيَ دِين

“สำหรับพวกท่านก็คือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉันก็คือศาสนาของฉัน”
(อัล-กาฟิรูน : 6)

รายงานจากท่านอิบนิ อุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

مَنْ تَشَبَّهَ بِقَوْمٍ فَهُوَ مِنْهُمْ

บุคคลใดประพฤติตนเลียนแบบกลุ่มหนึ่ง เขาก็เป็นส่วนหนึ่งจากกลุ่มนั้น”
(บันทึกโดยอบูดาวุด : 4031 ดู เศาะเหี๊ยะหฺอัลญามิอฺอัลบานียฺ : 2831 ดู ญามิอุศเศาะฆีรสุญูตียฺ  : 8593)

รายงานจากอบูฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

وَلَا تَشَبَّهُوا بِالْيَهُودِ وَلَا بِالنَّصَارَى

"พวกท่านอย่าเลียนแบบพวกยะฮูดีย์ (พวกยิว) และพวกนัศรอนีย์ (พวกคริสเตียน)"
(บันทึกโดยอะหฺมัด : 7492 ดู ญามิอุศเศาะฆีรสุญูตียฺ  : 5785)

รายงานจากอบูสะอีดอัลคุดรีย์เล่าว่าท่านร่อซูลศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า

لَتَتَّبِعُنَّ سَنَنَ الَّذِينَ مِنْ قَبْلِكُمْ شِبْرًا بِشِبْرٍ وَذِرَاعًا بِذِرَاعٍ حَتَّى لَوْ دَخَلُوا فِي جُحْرِ ضَبٍّ لَاتَّبَعْتُمُوهُمْ قُلْنَا يَا رَسُولَ اللَّهِ  آلْيَهُودَ  وَالنَّصَارَى  قَالَ فَمَنْ

“ต่อไปพวกท่านจะปฏิบัติตามแนวทางของผู้ที่มาก่อนพวกท่านทีละคืบ ทีละศอก แม้กระทั่งพวกเขาเข้า ไปอยู่ในรูของแย้ก็เข้าตาม ไปด้วย พวกเราได้ถามท่านร่อซูลว่า โอ้ท่านร่อซูล ท่านหมายถึงพวก ยะฮูดีย์ (ยิว) และนัสรอนี (คริสเตียน) ใช่ไหม? ท่านร่อซูลตอบว่า จะเป็นใครอีก ถ้าไม่ใช่พวกนี้”
(บันทึกโดยมุสลิม : 2669)

والله أعلم بالصواب



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น