อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558

สอนคนตาย บิดอะฮที่ไม่ยอมตาย



มุสลิมทุกคนจำเป็นจะต้องศึกษา ศาสนา ที่มาจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ที่เกี่ยวกับ ด้านอะกีดะอ ,ด้านอิบาดะฮ, ด้านการธุรกิจ สังคม คุรธรรม จริยธรรม และอื่นๆที่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ในขณะที่เขามีชีวิตอยู่ เมื่อศึกษาแล้วก็นำวิชาความรู้ดังกล่าวมาปฏิบัติให้ถูกต้อง เพื่ออัลลฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และเพื่อให้พระองค์ทรงโปรดปรานในสิ่งที่เขาปฏิบัติ และเพื่อให้ประสบความสำเร็จในโลกนี้และโลกหน้า
สำหรับผู้มีความรู้ในด้านศาสนา ก็จำเป็นจะต้องนำความรู้ดังกล่าว ไปเผยแผ่ ไปสอนผู้ที่ไม่รู้ เพื่อให้พวกเขาได้เข้าใจศาสนาที่ถูกต้อง , มีความเชื่อ(อะกิดะฮ)ที่ถูกต้อง และ ปฏิบัติศาสนกิจอย่างถูกต้องตามที่อัลลอฮและศาสดาของพระองค์สอนไว้ แต่ก็เป็นสิ่งที่น่าหดหู่ ที่มีผู้รู้บางส่วน กลับส่งเสริมให้มีการสอนคนตายอีกด้วย โดยเฉพาะสอนคำตอบให้แก่คนตาย(มัยยิต)ในหลุมศพ เพื่อให้คนตายได้คำตอบที่จะไปตอบคำถามมลาอิกะฮ มุงกัร-นะกีร ทั้งนี้ เพราะเชื่อว่า เมื่อตอบคำถามได้แล้ว ก็จะไม่ถูกลงโทษในกุบูร และบ้างเชื่อว่า เมื่อมีคนสอนคำตอบให้มัยยิตแล้ว มลาอิกะฮทั้งสองท่านก็จะชวนกันกลับ โดยอ้างหะดิษเฏาะอีฟ ต่อไปนี้
عن سعيد بن عبد الله الأودي قال شهدت أبا أمامة وهو في النزع فقال إذا أنا مت فاصنعوا بي كما أمر رسول الله صلى الله عليه وسلم فقال
"إذا مات أحد من إخوانكم فسويتم التراب على قبره فليقم أحدكم على رأس قبره ثم ليقل يا فلان بن فلانة. فإنه يسمعه ولا يجيب. ثم يقول يا فلان بن فلانة. فإنه يستوي قاعداً. ثم يقول يا فلان بن فلانة. فإنه يقول أرشدنا رحمك الله - ولكن لا تشعرون - فليقل اذكر ما خرجت عليه من الدنيا شهادة أن لا إله إلا الله وأن محمداً عبده ورسوله وأنك رضيت بالله رباً وبالإسلام ديناً وبمحمد نبياً وبالقرآن إماماً فإن منكراً ونكيراً يأخذ كل واحد منهما بيد صاحبه ويقول انطلق بنا ما نقعد عند من لقن حجته فيكون الله حجيجه دونهما". فقال رجل يا رسول الله فإن لم يعرف أمه؟ قال "فينسبه إلى حواء يا فلان بن حواء".
رواه الطبراني في الكبير وفي إسناده جماعة لم أعرفهم
จากสะอีด บุตร อับดุลลอฮ อัลเอาดีย กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านอบีอุมามะฮ โดยที่เขา กำลังไกล้จะเสียชีวิต
เมื่อฉันได้เสียชีวิต พวกท่านจงจัดการเกี่ยวกับฉัน ดังที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)ได้ใช้กับเรา ให้จัดการกับบรรดาผู้ตายของเรา ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ได้ใช้กับเราโดยท่านกล่าวว่า " เมื่อคนใดจากพี่น้องของพวกท่านได้เสียชีวิต พวกท่านจงทำให้ดินบนกุบูรของเขาเรียบเสมอ และคนหนึ่งจากพวกท่าน จงยืนทางปลายของกุบูรของเขา หลังจากนั้น เขาจงกล่าวว่า "โอ้ ชายผู้หนึ่ง(ที่ชื่อ....) บุตร ของนางผู้หนึ่ง(ที่ชื่อ....) ดังนั้น เขาก็ได้ทำให้มัยยิดได้ยิน โดยที่มัยยิดก็จะไม่ทำการตอบสนอง หลังจากนั้น เขาก็กล่าวอีกว่า โอ้ ชายผู้หนึ่ง บุตร ของนางผู้หนึ่ง แล้วมัยยิดก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรง จากนั้นเขากล่าวว่า โอ้ ชายผู้หนึ่ง บุตร ของนางผู้หนึ่ง ดังนั้น มัยยิดจึงกล่าวว่า ท่านจงชี้แนะแก่เราด้วยเถิด ขออัลเลาะฮ์ทรงเมตตาต่อท่าน โดยที่พวกท่านทั้งหลายไม่รู้ตัวหรอก ดังนั้น เขากล่าวว่า "ท่าน(มัยยิด) จงกล่าวกับถ้อยคำที่ท่านดำรงอยู่บนมัน โดยที่ท่านได้จากลาออกจากโลกดุนยา กับคำปฏิญานว่า แท้จริง ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลเลาะฮ์ และมุหัมมัดนั้นเป็นบ่าว และเป็นศาสนาทูตของพระองค์ และแท้จริง ฉันได้พอใจด้วยกับการที่อัลเลาะฮ์ทรงเป็นผู้อภิบาล และด้วยกับอิสลามนั้น คือศาสนา และนบีมุหัมมัด คือ ศาสนทูต และอัลกุรอานคือ อิมาม ดังนั้น มุงกัรและนากิร ต่างจูงมือมิตรสหายของเขาแล้วท่านหนึ่งกล่าวว่า ท่านจงเดินไปกับเราเถิด ไม่มีอะไรที่จะทำให้เรานั่ง(สอบถาม) เกี่ยวกับผู้ที่ถูกสอนกับหลักฐาน(ที่ชี้เป็นถึงเป็นผู้ศรัทธา)ของเขาแล้ว (หมายถึงเขาได้ตอบคำถามของมุงกัรนะกีรแล้ว) " ดังนั้น มีชายคนหนึ่ง ถามท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ว่า หากเขา(ผู้อ่านตัลกีน) ไม่รู้จักมารดาผู้ตายล่ะครับ ? ท่านร่อซูลตอบว่า ก็ให้เขาอ้างไปยังมารดาของที่ชือ เฮาวาอ์ คือ(กล่าวว่า) โอ้ ชายผู้หนึ่ง(ชื่อ...) บุตร ของพระนางเฮาวาอ์ - รายงานโดย อัฎฎอ็บรอนีย ในอัลกะบีร และในสายสืบของมัน มีบรรดาผู้รายงานกลุ่มหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่รู้จักพวกเขา - ดูมัจญมัวะซะวาอิด เล่ม 3 บทว่าด้วย การตัลกีนมัยยิต หลังจากฝัง (باب تلقين الميت بعد دفنه)
วิจารณืหะดิษข้องต้น
1. อัลอิซ บิน อับดุสสลาม กล่าวว่า "
لم يصح في التلقين شيء وهو بدعة
ไม่มี (หะดีษ) ที่เศาะหีหฺในเรื่องตัลกีนแม้แต่หะดีษเดียว และมันคือ (การกระทำที่) บิดอะฮฺ (ฟะตาวาอัลอิซ บิน อับดุสสลาม หน้า 427)
2. เจ้าของหนังสือเอานุลมะอฺบูด กล่าวว่า
والتلقين بعد الموت قد جزم كثير أنه حادث
และการอ่านตัลกีนหลังจากเสียชีวิต แท้จริงได้มีอุละมาอฺจำนวนมากยืนยันว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ (8/268)
3. ศ็อนอานีย์ไม่ได้พูดลอยๆ แต่ท่านยังอ้างว่ามีระบุในหนังสืออัลมะนารด้วยว่า
إن حديث التلقين لا يشك أهل المعرفة بالحديث في وضعه
แท้จริง หะดีษตัลกีน บรรดาผู้รู้เกี่ยวกับหะดีษไม่สงสัยเลยถึงความเป็นหะดีษเมาฎูอฺของมัน (สุบุลุสสลาม 2/113)
4. อิหม่ามนะวาวีย์กล่าวว่า
"إسناده ضعيف
“สายสืบของมัน เฎาะอีฟ - อัลมัจญมัวะ (5/274)
5. อัศศอนอานีย์ กล่าวว่า
"يتحصل من كلام أئمة التحقيق أنه حديث ضعيف، والعمل به بدعة
"สรุปจากคำพูดของบรรดาผู้นำที่ได้รับการรับรอง ว่า แท้จริง มันเป็นหะดิษเฎาะอีฟ และการนำมันมาปฏิบัตินั้น เป็นบิดอะฮ - สุบุลุสสลาม 2/161
6. อิบนุกอ็ยยิม กล่าวว่า
ولم يكن يجلس - أي رسول الله صلى الله عليه وسلم - يقرأ عند القبر ولا يلقن الميت كما يفعله الناس اليوم ] زاد المعاد 1/522
และไม่ประกฎว่า ท่าน หมายถึงท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อ่าน(อัลกุรอ่าน) ณ ทีหลุมศพ และท่านไม่ได้อ่านตัลกีนแก่มัยยิต ดังที่ผู้คนในปัจจุบันทำกัน – ซาดุ้ลมะอาด 1/522
หะดิษข้างต้นมันยังขัดกับความเป็นจริงที่อัลกุรอ่านและหะดิษที่เศาะเฮียะระบุไว้ว่า อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา คือ ผู้ทรงบันดาลให้ผู้ศรัทธา สามารถตอบคำถามมลาอิกะฮในกุบูรได้ ไม่ใช่เพราะการสอนคำตอบของครูผู้สอนคนตายบนหลุมศพ โปรดมาพิจารณาดูหลักฐานต่อไปนี้
1. อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตาอาลาตรัสว่า
يُثَبِّتُ اللّهُ الَّذِينَ آمَنُواْ بِالْقَوْلِ الثَّابِتِ فِي الْحَيَاةِ الدُّنْيَا وَفِي الآخِرَةِ
อัลลอฮทรงให้บรรดาผู้ศรัทธาหนักแน่นด้วยคำกล่าวที่มั่นคง ในการมีชีวิตอยุ่ทั้งในโลกนี้(*1*) และในปรโลก(*2*)
(1) พระองค์ทรงให้พวกเขาหนักแน่นด้วยคำกล่าว “ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ” และคำกล่าวแห่งการศรัทธาในโลกนี้
(2) คือเมื่อมะลัก 2 ท่านถามเขาในกุบูร ดังมีหลักฐานจากหะดีษว่า “เมื่อมุสลิมถูกถามในกุบูรเขาจะปฏิญาณยืนยันว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ และแท้จริงมุฮัมมัดเป็นร่อซูลของอัลลอฮ” นั่นคือพระดำรัสของอัลลอฮ ตะอาลา ที่ว่า “อัลลอฮทรงให้บรรดาผู้ศรัทธาหนักแน่น
2. หลักฐานอัสสุนนะฮ
روى البخاري، عن براء بن عازب رضي اللّه عنه، أن رسول اللّه صلى اللّه عليه وسلم قال (المسلم إذا سئل في القبر شهد أن لا إله إلا اللّه وأن محمداً رسول اللّه، فذلك قوله {يثبت اللّه الذين آمنوا بالقول الثابت في الحياة الدنيا وفي الآخرة})
รายงานโดย บุคอรี จาก บะรออ บุตร อาซิบ (ร.ฎ)ว่า แท้จริง ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า " มุสลิมนั้น เมื่อเขาถูกถามในหลุมศพ(กุบูร) เขาก็ปฏิญานว่า ไม่มีพระเจ้าอืนใด นอกจากอัลลอฮ และแท้จริง มุหัมหมัด ๕อ ศาสนทูตของอัลลอฮ ดังกล่าวนั้น คือ คำดำรัสของอัลลอฮที่ว่า
“อัลลอฮทรงให้บรรดาผู้ศรัทธาหนักแน่นด้วยคำกล่าวที่มั่นคง ในการมีชีวิตอยู่ทั้งในโลกนี และในปรโลก” - อิบรอฮีม/27 ดูมุคตะศอรอิบนิกะษีร
.>>>>>>>>
ผู้อ่านที่เคารพรักครับ โปรดพิจารณาดูเถิดว่า ً"มลากะฮสองท่านได้มาเพื่อจะสอบสวนและถามมัยยิต แต่เมื่อเจอกับคนอ่านตัลกีน ก็ชวนกันกลับ" ไม่ถามมัยยิต เพราะมัยยิตถูกสอนคำตอบล้ว แบบนี้ เป็นศาสนาหรือไม่ น่าจะหาคำตอบไม่ยากสำหรับผู้มีปัญญา

والله أعلم بالصواب


..................
อะสัน  หมัดอะดั้ม


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น