อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ตออิบ : เมืองแห่งความปวดร้าว


 

คนขายเครา : เขียน #
.....................................

เป็นเวลากว่าเก้าปี ที่ท่านศาสดาพยายามประกาศสาส์นของพระเจ้าในนครมักกะฮฺ เพื่อหวังที่จะเปลี่ยนแปลงผู้คนและปฏิรูปสังคม

มีผู้คนไม่มากที่ยอมจำนนประกาศตนเข้าสู่อิสลาม คนจำนวนมากยังทำการต่อต้านพร้อมประกาศตัวเป็นศัตรู แม้นแต่ผู้เป็นลุง ท่านอบู ฏอลิบ ผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีคอยช่วยเหลือท่านศาสดา ทั้ง ๆ ที่ตนเองไม่ยอมรับอิสลาม ก็ได้รับภัยคุกคามจากผู้ปฏิเสธเสมอมา

ปีที่สิบ ท่านอบู ฏอลิบ ผู้เป็นลุงได้สิ้นชีวิตลง ศัตรูอิสลามชาวกุเรชมักกะฮฺ ต่างเร่งรีบทำลายล้างผู้ที่ยอมจำนนต่ออิสลาม ทำทารุณทรมานแก่ผู้ที่อยู่ในปกครอง ไล่ล่าตามฆ่าอย่างโหดเหี้ยม พลัดพรากให้จากลูกเมียพ่อแม่ ใช้ความชั่วร้ายล้างผลาญอย่างที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นาก่อนในนครมักกะฮฺ ที่เต็มไปด้วยรูปปั้นบูชา

ท่านศาสดาตัดสินใจใช้เมือง ตออิบ เป็นที่พักพิงของมุสลิม เพื่อให้รอดพ้นจากการไล่ล่าของพวกกุเรชมักกะฮฺ อีกทั้งเมืองนี้ก็ยังมีคนเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจจะเป็นฐานสำคัญในการเผยแผ่อิสลามได้ต่อไปในอนาคต

ท่านศาสดาได้เข้าพบผู้เป็นหัวหน้าเผ่าของเมืองนี้ถึงสามท่านด้วยกัน ผลปรากฏว่า การเรียกร้องให้พวกเขาได้รับสัจธรรม และมายืนอยู่เคียงข้างท่านกลับไร้ผล ด้วยเขาเหล่านั้นต่างพากันปฏิเสธโดยสิ้นเชิง

เขาต่างพากันเหยียดหยามด้วยกับการละทิ้งมารยาทที่พึงมี ปราศจากน้ำใจถึงกับขับไล่ท่านศาสดาให้รีบออกจากเมืองของตน พร้อมด้วยข้อความกล่าวประณามที่ว่า

“อัลลอฮฺ หรือ ที่ให้ มึง! เป็นร่อซูล ?”

“อัลลอฮฺ ไม่รู้จะเอาใคร มาเป็นร่อซูล นอกจากมึง ! แล้วกระนั้นหรือ”

“กูไม่อยากพูด ! เพราะถ้ามึงเป็นร่อซูลจริง เท่ากับกูเอาความทุกข์มาใส่ตัว แต่ถ้ามุงอุปโลกน์ว่าเป็นนร่อซูล แล้วเรื่องอะไรที่คนอย่างกู จะต้องมาคุยกับคนโกหกอย่างมึง”

การกระทำและคำพูดของหัวหน้าเผ่าทั้งสาม มิได้ทำให้ท่านศาสดาหมดกำลังใจแต่อย่างใด ท่านใช้ความพยายามด้วยความอดทน เดินเข้าพบปะผู้คนในเมือง เพื่อบอกกล่าวสัจธรรม

แต่ก็ดูเหมือนว่า นอกจากผู้คนจะไม่ให้ความสนใจรับฟังท่านแล้ว คำกล่าวเชิญชวนของท่านยังเป็นการสร้างความโกรธแค้น ขุ่นเคือง ด้วยผู้คนถึงกลับพากันขับไล่ไสส่งด้วยการเป่าปากโฮป่าตามท้องถนน เย้ยหยัน ขู่ตะคอกและให้เด็ก ๆ นำก้อนหินปาเข้าใส่เรือนร่างของท่านศาสดา จนได้รับบาดเจ็บ เลือดไหลรินไปทั้งเรือนร่าง เลือดที่ไหลโทรมกายแห้งกรังติดตามฝ่าเท้า ท่านศาสดาได้พยุงกายเดินออกจากเมืองด้วยความบอบช้ำ สุดแสนระทมขมขื่น

ท่านศาสดาเดินฝ่าฝูงชนคนไร้สติจนผ่านพ้นตัวเมืองตออิบ ท่านได้หยุดยืนยกมือวิงวอนร้องขอต่ออัลลอฮฺตะอาลา

“โอ้ อัลลอฮฺ ข้าขอสารภาพในความอ่อนแอจนไร้พลังแห่งปัจจัยประกาศซึ่งสัจธรรม อันเป็นสาเหตุให้ผู้คนมองเห็นความไร้ค่าแห่งความเป็นตัวตน

โอ้ องค์ผู้ซึ่งเมตตารักษาผู้อ่อนแอ ข้าขอน้อมรับสิ่งที่พระองค์ทรงให้ต้องพบกับผู้หยาบช้าที่อยู่ห่างไกล ที่พระองค์ทรงให้พวกเขามีอำนาจเหนือกว่าข้า

ถ้าพระองค์ไม่โกรธ ข้าไม่มุ่งหวังสิ่งใดนอกจากความคุ้มครองอันกว้างใหญ่ไพศาล

ข้าขอรัศมีแห่งพระพักตร์มาช่วยคุ้มครองให้ความมืดบอดได้สู่เส้นทางแห่งความสดใสในภารกิจที่เป็นโลกนี้และโลกหน้า

อย่าให้ต้องเป็นหนึ่งผู้ที่พระองค์ทรงโกรธและไม่พอใจ แท้จริงแล้วพระองค์นั้นปรารถนาดีด้วยความโปรดปราน ไม่มีพละกำลังใดที่จะเทียมทานพลังแห่งพระองค์”

สิ้นเสียงถ้อยกล่าว ม่านฟ้าขยายกว่าง ท่านญิบรออีล ได้ปรากฏกายต่อหน้าท่านศาสดาพร้อมสลามและกล่าวว่า

“อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงมีบัญชาให้มลาอิกะฮฺแห่งขุมเขา มาน้อมรับคำสั่งจากท่าน

ครั้นแล้วท่านญิบรออีลได้นำมลาอิกะฮฺ มาปรากฏกายต่อหน้าท่านศาสดา

มลาอิกะฮฺแห่งขุมเขา ได้กล่าวคำอำนายพรต่อท่านศาสดา พร้อมกล่าวว่า

“โอ้ ท่านศาสดาโปรดมีบัญชา ฉันจะให้ขุมเขาทั้งสองที่ตั้งอยู่สองข้างฝั่งของเมืองตออิบ เคลื่อนตัวเข้าหากัน เพื่อให้เมืองทั้งเมืองต้องพบกับความพินาศ ผู้คนถูกบดขยี้ตายตามกัน หรือท่านจะให้ลงโทษชาวเมืองตออิบ ในสถานใด ?”

ท่านศาสดาผู้มีหัวใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยเมตตาพร้อมซึ่งแห่งการเป็นผู้ให้อภัย เป็นผู้ที่ประกอบไปด้วยคุณธรรมอันสูงส่ง กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบ แต่แฝงเร้นด้วยความหวังและปรารถนาดีว่า

“แม้นว่าพวกเขาจะยังไม่ยอมรับอิสลาม แต่ฉันมุ่งหวังว่าในวันข้างหน้า อัลลอฮฺ ตะอาลา จะทรงให้ลูกหลานของคนเหล่านี้ภักดีต่อพระองค์”

<<<< ข้อคิด : ท่านศาสดาได้แสดงแบบอย่างแห่งการให้อภัย ไร้ซึ่งการเจ็บแค้นและขุ่นเคืองเก็บไว้เป็นอารมณ์ และหวังว่าสักวันหนึ่ง อัลลอฮฺ ตะอาลา จะทรงให้ทางนำ : และนี่คือหนึ่งในการยืนหยัดเพื่ออิสลาม


.......................................
(จากหนังสือ : สหายสนิทศาสดา HAYATUS SAHABAH THE LIVES OF THE)

> อดทน เพื่อชัยชนะ<

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น