
คนขายเครา : เขียน #
.....................................
เป็นเวลากว่าเก้าปี ที่ท่านศาสดาพยายามประกาศสาส์นของพระเจ้าในนครมักกะฮฺ เพื่อหวังที่จะเปลี่ยนแปลงผู้คนและปฏิรูปสังคม
มีผู้คนไม่มากที่ยอมจำนนประกาศตนเข้าสู่อิสลาม คนจำนวนมากยังทำการต่อต้านพร้อมประกาศตัวเป็นศัตรู แม้นแต่ผู้เป็นลุง ท่านอบู ฏอลิบ ผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีคอยช่วยเหลือท่านศาสดา ทั้ง ๆ ที่ตนเองไม่ยอมรับอิสลาม ก็ได้รับภัยคุกคามจากผู้ปฏิเสธเสมอมา
ปีที่สิบ ท่านอบู ฏอลิบ ผู้เป็นลุงได้สิ้นชีวิตลง ศัตรูอิสลามชาวกุเรชมักกะฮฺ ต่างเร่งรีบทำลายล้างผู้ที่ยอมจำนนต่ออิสลาม ทำทารุณทรมานแก่ผู้ที่อยู่ในปกครอง ไล่ล่าตามฆ่าอย่างโหดเหี้ยม พลัดพรากให้จากลูกเมียพ่อแม่ ใช้ความชั่วร้ายล้างผลาญอย่างที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นาก่อนในนครมักกะฮฺ ที่เต็มไปด้วยรูปปั้นบูชา
ท่านศาสดาตัดสินใจใช้เมือง ตออิบ เป็นที่พักพิงของมุสลิม เพื่อให้รอดพ้นจากการไล่ล่าของพวกกุเรชมักกะฮฺ อีกทั้งเมืองนี้ก็ยังมีคนเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจจะเป็นฐานสำคัญในการเผยแผ่อิสลามได้ต่อไปในอนาคต
ท่านศาสดาได้เข้าพบผู้เป็นหัวหน้าเผ่าของเมืองนี้ถึงสามท่านด้วยกัน ผลปรากฏว่า การเรียกร้องให้พวกเขาได้รับสัจธรรม และมายืนอยู่เคียงข้างท่านกลับไร้ผล ด้วยเขาเหล่านั้นต่างพากันปฏิเสธโดยสิ้นเชิง
เขาต่างพากันเหยียดหยามด้วยกับการละทิ้งมารยาทที่พึงมี ปราศจากน้ำใจถึงกับขับไล่ท่านศาสดาให้รีบออกจากเมืองของตน พร้อมด้วยข้อความกล่าวประณามที่ว่า
“อัลลอฮฺ หรือ ที่ให้ มึง! เป็นร่อซูล ?”
“อัลลอฮฺ ไม่รู้จะเอาใคร มาเป็นร่อซูล นอกจากมึง ! แล้วกระนั้นหรือ”
“กูไม่อยากพูด ! เพราะถ้ามึงเป็นร่อซูลจริง เท่ากับกูเอาความทุกข์มาใส่ตัว แต่ถ้ามุงอุปโลกน์ว่าเป็นนร่อซูล แล้วเรื่องอะไรที่คนอย่างกู จะต้องมาคุยกับคนโกหกอย่างมึง”
การกระทำและคำพูดของหัวหน้าเผ่าทั้งสาม มิได้ทำให้ท่านศาสดาหมดกำลังใจแต่อย่างใด ท่านใช้ความพยายามด้วยความอดทน เดินเข้าพบปะผู้คนในเมือง เพื่อบอกกล่าวสัจธรรม
แต่ก็ดูเหมือนว่า นอกจากผู้คนจะไม่ให้ความสนใจรับฟังท่านแล้ว คำกล่าวเชิญชวนของท่านยังเป็นการสร้างความโกรธแค้น ขุ่นเคือง ด้วยผู้คนถึงกลับพากันขับไล่ไสส่งด้วยการเป่าปากโฮป่าตามท้องถนน เย้ยหยัน ขู่ตะคอกและให้เด็ก ๆ นำก้อนหินปาเข้าใส่เรือนร่างของท่านศาสดา จนได้รับบาดเจ็บ เลือดไหลรินไปทั้งเรือนร่าง เลือดที่ไหลโทรมกายแห้งกรังติดตามฝ่าเท้า ท่านศาสดาได้พยุงกายเดินออกจากเมืองด้วยความบอบช้ำ สุดแสนระทมขมขื่น
ท่านศาสดาเดินฝ่าฝูงชนคนไร้สติจนผ่านพ้นตัวเมืองตออิบ ท่านได้หยุดยืนยกมือวิงวอนร้องขอต่ออัลลอฮฺตะอาลา
“โอ้ อัลลอฮฺ ข้าขอสารภาพในความอ่อนแอจนไร้พลังแห่งปัจจัยประกาศซึ่งสัจธรรม อันเป็นสาเหตุให้ผู้คนมองเห็นความไร้ค่าแห่งความเป็นตัวตน
โอ้ องค์ผู้ซึ่งเมตตารักษาผู้อ่อนแอ ข้าขอน้อมรับสิ่งที่พระองค์ทรงให้ต้องพบกับผู้หยาบช้าที่อยู่ห่างไกล ที่พระองค์ทรงให้พวกเขามีอำนาจเหนือกว่าข้า
ถ้าพระองค์ไม่โกรธ ข้าไม่มุ่งหวังสิ่งใดนอกจากความคุ้มครองอันกว้างใหญ่ไพศาล
ข้าขอรัศมีแห่งพระพักตร์มาช่วยคุ้มครองให้ความมืดบอดได้สู่เส้นทางแห่งความสดใสในภารกิจที่เป็นโลกนี้และโลกหน้า
อย่าให้ต้องเป็นหนึ่งผู้ที่พระองค์ทรงโกรธและไม่พอใจ แท้จริงแล้วพระองค์นั้นปรารถนาดีด้วยความโปรดปราน ไม่มีพละกำลังใดที่จะเทียมทานพลังแห่งพระองค์”
สิ้นเสียงถ้อยกล่าว ม่านฟ้าขยายกว่าง ท่านญิบรออีล ได้ปรากฏกายต่อหน้าท่านศาสดาพร้อมสลามและกล่าวว่า
“อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงมีบัญชาให้มลาอิกะฮฺแห่งขุมเขา มาน้อมรับคำสั่งจากท่าน
ครั้นแล้วท่านญิบรออีลได้นำมลาอิกะฮฺ มาปรากฏกายต่อหน้าท่านศาสดา
มลาอิกะฮฺแห่งขุมเขา ได้กล่าวคำอำนายพรต่อท่านศาสดา พร้อมกล่าวว่า
“โอ้ ท่านศาสดาโปรดมีบัญชา ฉันจะให้ขุมเขาทั้งสองที่ตั้งอยู่สองข้างฝั่งของเมืองตออิบ เคลื่อนตัวเข้าหากัน เพื่อให้เมืองทั้งเมืองต้องพบกับความพินาศ ผู้คนถูกบดขยี้ตายตามกัน หรือท่านจะให้ลงโทษชาวเมืองตออิบ ในสถานใด ?”
ท่านศาสดาผู้มีหัวใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยเมตตาพร้อมซึ่งแห่งการเป็นผู้ให้อภัย เป็นผู้ที่ประกอบไปด้วยคุณธรรมอันสูงส่ง กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบ แต่แฝงเร้นด้วยความหวังและปรารถนาดีว่า
“แม้นว่าพวกเขาจะยังไม่ยอมรับอิสลาม แต่ฉันมุ่งหวังว่าในวันข้างหน้า อัลลอฮฺ ตะอาลา จะทรงให้ลูกหลานของคนเหล่านี้ภักดีต่อพระองค์”
<<<< ข้อคิด : ท่านศาสดาได้แสดงแบบอย่างแห่งการให้อภัย ไร้ซึ่งการเจ็บแค้นและขุ่นเคืองเก็บไว้เป็นอารมณ์ และหวังว่าสักวันหนึ่ง อัลลอฮฺ ตะอาลา จะทรงให้ทางนำ : และนี่คือหนึ่งในการยืนหยัดเพื่ออิสลาม
.......................................
(จากหนังสือ : สหายสนิทศาสดา HAYATUS SAHABAH THE LIVES OF THE)
> อดทน เพื่อชัยชนะ<
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น