อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อิสลามกับอาหารมังสวิรัติ


อาหารมังสวิรัติ คืออาหารจำพวกผักและผลไม้ อาหารมังสวิรัตินั้นจะไม่มีเนื้อสัตว์เลย

คำว่า "มังสวิรัติ" นั้นเป็นคำสมาส มาจากคำว่า มังสะ แปลว่า เนื้อ รวมกับ วิรัติ แปลว่า ปราศจากความยินดีหรือละเว้น ดังนั้น มังสวิรัติ จึงแปลว่า ปราศจากความยินดีที่จะกินเนื้อสัตว์

อาหารมังสวิรัติมีประวัติความเป็นมาอันยาวนานเริ่มตั้งแต่ในสมัยกรีซโบราณ ยุคของ ปีธาโกรัส (Pythagoras) ซึ่งมีการบันทึกว่าชาวกรีซโบราณไม่กินเนื้อสัตว์ เนื่องจากมีความเชื่อว่าหลังจากการตายแล้ววิญญาณของมนุษย์สามารถไปเกิดในสัตว์ได้ และวิญญาณสัตว์ก็อาจจะไปเกิดในมนุษย์ได้ด้วย

ตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาล อาหารมังสวิรัติได้เริ่มต้นในประเทศอินเดีย เนื่องมาจาก คำสอนธรรมะที่เผยแพร่ในศาสนาต่างๆ ผู้ที่นับถือศาสนาฮินดู (Hindu) ส่วนใหญ่นิกายเจน (Jain) พุทธศาสนา และศาสนาอื่นๆ ที่มาจากอินเดีย



อิสลามกับอาหารมังสวิรัติ

ขณะ “มังสะวิรัต” เป็นที่แพร่หลายทั่วโลก หลายคนเอาเรื่องมังสะวิรัตไปข้องกับสิทธิของสัตว์ก็มี ความจริงแล้ว คนส่วนใหญ่ถือว่าการกินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ที่มิใช่มังสะวิรัตเป็นละเมิดสิทธิสัตว์

อิสลามสั่งสอนเรื่องความเมตตาและความสงสารสิ่งมีชีวิตนั้นรวมถึงสัตว์ทั้งหลาย  ด้วยการไม่ทรมานหรือทารุณต่อมัน ให้ดูแลมันยามมันเจ็บป่วย ไม่ฆ่ามันนอกจากมีความจำเป็น ไม่หั่นอวัยวะของมัน ไม่นำมันมาเป็นเป้ายิงหรือขว้าง หรือไม่นำมันมาชนกัน กัดกัน หรือขวิดกัน เพื่อความสนุกสนาน หรือการพนันของมนุษย์ นอกจากนี้ต้องไม่ปล่อยให้มันอดอยาก หรือใช้แรงงานมันหนักเกินควร

ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าว่า
“ผู้ใดที่มีเมตตา แม้แต่จะกับนกตัวเล็กๆ ที่เขาจะเชือดมัน อัลลอฮฺจะทรงเมตตาเขาในวันกิยามะฮฺ” (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัฏฏอบรอนีย์)

ครั้งหนึ่งท่านหยิงอาอิชะฮฺ ร่อฎียัลลอฮุอันฮา ได้ร่วมเดินทางไปกับท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ขณะที่เธอขี่อูฐ เธอดึงมันแรงๆ ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวว่า
“เธอจงอ่อนโยนกับมันเถิด” (บันทึกหะดิษโดยอิมามมุสลิม)

ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“ผู้ใดหั่นตัวอวัยวะสัตว์ขณะมันยังมีชีวิตอยู่ เขาจะถูกสาปแช่งจากอัลลอฮฺ บรรดามาลาอิกะฮฺ และมนุษย์ทั้งมวล” (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัฏฏอบรอนีย์)
แต่สัตว์บางชนิดอิสลามอนุมัติให้ฆ่าได้หากมันจะก่ออันตราย สัตว์อันมีพิษ ก่อเกิดเชื้อโรคพิษภัย อันได้แก่ งู แมลงป้อง เป็นต้น


ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า

« خَمْسٌ مِنَ الدَّوَابِ كُلُّهُنَّ فَاسِقٌ يُقْتَلْنَ فِى الْحِلِّ وَالْحَرَمِ الْكَلْبُ الْعَقُورُ وَالْعَقْرَبُ وَالْغُرَابُ وَالْحِدَأَةُ وَالْفَأْرَةُ »

“สัตว์ 5 ประเภท ซึ่งเป็นสัตว์ที่เลว ถูกใช้ให้ฆ่าในแผ่นดินทั่วไป และแผ่นดินหะรอม (ได้แก่) สุนัขดุร้าย, แมงป่อง, อีกา, เหยี่ยว และหนู” (หะดีษเศาะหี้หฺ, บันทึกโดยอะหฺมัด หะดีษที่ 26053)

ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า

« اقْتُلُوا الأَسْوَدَيْنِ فِى الصَّلاَةِ الْحَيَّةَ وَالْعَقْرَبَ »

“พวกท่านจงฆ่าสิ่งดำสองสิ่งในนมาซ (นั่นคือ) งู และแมงป่อง” (หะดีษเศาะหี้หฺ, บันทึกโดยอบูดาวูด หะดีษที่ 922)


 

แต่ขณะเดียวกัน อิสลามถือว่า อัลลอฮฺทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นมาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ อันได้แก่ นำมันมาเป็นอาหาร ขนของมันใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม หนังของมันสามารถทำเป็นภาชนะบรรจุอาหารเครื่องดื่ม หรือนำมาใช้แรงงาน แบ่งเบาภาระให้แก่มนุษย์ ตลอดเป็นเพื่อนแก่เหงาแก่มนุษย์ได้เป็นอย่างดี เป็นต้น

 มันขึ้นอยู่ที่มนุษย์เองต่างหากที่จะใช้ทรัพยากรทุกอย่างในโลกนี้อย่างเหมาะสมในฐานะที่ทรัพยากรเหล่านั้นเป็นความโปรดปราณของอัลลอฮฺและเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงมอบหมายให้มาดูแล

มุสลิมสามารถเป็นมุสลิมที่ดีได้ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ตาม แต่ไม่มีข้อบัง
คับว่ามุสลิมจะต้องกินอาหารมังสะวิรัต

อิสลามนั้นได้อนุญาตให้มุสลิมกินอาหารที่มิใช่มังสะวิรัต ดังที่พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในอัลกุรอาน อันได้แก่

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا أَوْفُوا بِالْعُقُودِ أُحِلَّتْ لَكُم بَهِيمَةُ الْأَنْعَامِ إِلَّا مَا يُتْلَىٰ عَلَيْكُمْ غَيْرَ مُحِلِّي الصَّيْدِ وَأَنتُمْ حُرُمٌ إِنَّ اللَّهَ يَحْكُمُ مَا يُرِيدُ ( 1 ) อัล-มาอิดะฮฺ - Ayaa 1

“บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงรักษาบรรดาสัญญา ให้ครบถ้วนเถิด สัตว์ประเภทปศุสัตว์ นั้นได้ถูกอนุมัติแก่พวกเจ้าแล้ว นอกจากที่จุถูกอ่านให้พวกเจ้าฟัง โดยที่พวกเจ้ามิใช่ผู้ที่ให้สัตว์ที่จะถูกล่านั้น เป็นที่อนุมัติขณะที่พวกเจ้าอยู่ในอิหรอม แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงชี้ขาดตามที่พระองค์ทรงประสงค์”
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-มาอิดะฮฺ 5:1)

وَالْأَنْعَامَ خَلَقَهَا لَكُمْ فِيهَا دِفْءٌ وَمَنَافِعُ وَمِنْهَا تَأْكُلُونَ ( 5 ) อัน-นะห์ลฺ - Ayaa 5

"และปศุสัตว์ พระองค์ทรงสร้างมันในตัวมันมีความอบอุ่นสำหรับพวกเจ้า และประโยชน์มากหลาย และในส่วนหนึ่งจากมันนั้นพวกเจ้าเอามาบริโภคได้"

وَلَكُمْ فِيهَا جَمَالٌ حِينَ تُرِيحُونَ وَحِينَ تَسْرَحُونَ ( 6 ) อัน-นะห์ลฺ - Ayaa 6

"และในตัวมันมีความสง่างามสำหรับพวกเจ้า ขณะที่มันกลับจากทุ่งหญ้าและขณะที่นำมันออกไปเลี้ยง”
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัน-นะห์ลฺ 16:5-6)

وَإِنَّ لَكُمْ فِي الْأَنْعَامِ لَعِبْرَةً نُّسْقِيكُم مِّمَّا فِي بُطُونِهَا وَلَكُمْ فِيهَا مَنَافِعُ كَثِيرَةٌ وَمِنْهَا تَأْكُلُونَ ( 21 ) อัล-มุอ์มินูน - Ayaa 21

“และแท้จริงในเรื่องปศุสัตว์ (อูฐ วัว แพะ แกะ) นั้นเป็นบทเรียนสำหรับพวกเจ้า เราให้พวกเจ้าดื่ม สิ่งที่อยู่ในท้องของมัน (น้ำนม) และในตัวมันมีประโยชน์มากมาย สำหรับพวกเจ้าและบางชนิดพวกเจ้าก็บริโภคมัน”
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-มุอ์มินูน 23:21)

อาหารที่มิใช่มังสะวิรัตนั้น เป็นแหล่งที่มาของอาหารโปรตีนที่ครบถ้วน  ซึ่งเนื้อสัตว์มีโปรตีนอยู่ประมาณ 14-26% ซึ่งมีคุณภาพดีพอๆกับนมและไข่ ในเนื้อสัตว์จะมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ทุกคนควรได้รับโปรตีนวันละ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ในเนื้อสัตว์มีไขมันด้วย แต่จะมีมากหรือน้อยนั้นต้องขึ้นอยู่กับชนิดของเนื้อสัตว์ อายุ และอาหารของสัตว์ ในเนื้อปลาส่วนใหญ่จะมีไขมันน้อย เนื้อสัตว์ส่วนใหญ่จะแทบไม่มีคาร์โบไฮเดรตเลย ยกเว้นในตับซึ่งจะมีเพียงเล็กน้อย และอยู่ในรูปของไกลโคเจน เนื้อสัตว์มีฟอสฟอรัสและเหล็กมาก ไม่มีวิตามินเอ


มนุษย์มีฟันที่กินได้ทุกอย่าง แต่สัตว์ประเภทกินพืช เช่น วัว แพะ แกะ สัตว์เหล่านี้ทั้งหมดมีฟันเรียบเหมาะสำหรับกินพืช
และสัตว์ประเภทกินสัตว์ เช่น พวกสิงโต เสือ  สัตว์ประเภทนี้มีฟันปลายแหลมที่เหมาะสมสำหรับอาหารจำพวเนื้อ

แต่ฟันของมนุษย์มีทั้งที่เรียบและที่เป็นปลายแหลม เหมาะสำหรับอาหารจำพวกเนื้อและเนื้อสัตว์

ระบบย่อยอาหารของสัตว์กินพืชสามารถย่อยได้พืชผักเท่านั้น และระบบย่อยของสัตว์กินเนื้อก็สามารถย่อยได้แต่เฉพาะเนื้อเท่านั้น แต่ระบบย่อยของมนุษย์สามารถย่อยได้ทั้งอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์และที่เป็นพืชผัก (ข้อมูล ดร. ซากิรฺ นาอิก)

พระองค์อัลลอฮฺจึงสร้างระบบย่อยของมนุษย์อย่างเหมาะสมที่สามารถย่อยอาหารที่เป็นพืชผักและเนื้อสัตว์ได้

ดังนั้น อาหารที่เป็นมังสะวิรัต และมิใช่มังสะวิรัตจึงถูกสร้างมาเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ในการบริโภคทั้งสิ้น พระองค์อัลลอฮฺผู้ทรงรู้ดีในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างมัน...


والله أعلم بالصواب

......................



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น