อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Winston Churchill ปีศาจอาชญากรสงคราม ที่ได้รับการยกย่องสรรเสริญเป็นวีรบุรุษ



บทที่ 4 ' ประวัติศาสตร์จะเมตตาข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะเขียนเอง ' - Winston Churchill ปีศาจอาชญากรสงคราม ที่ได้รับการยกย่องสรรเสริญเป็นวีรบุรุษ

Winston Churchill เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในฐานะวีรบุรุษแห่งอังกฤษ แต่ ‘ความจริงที่ไม่สะดวก’ (Inconvenient Truth) คือ เขาคือปีศาจไร้มนุษยธรรม ตัวจริงที่ผลักดันทุกวิธีให้การฆ่าฟันสงครามโลกเกิดขึ้นและไม่ยอมให้จบสิ้น เขาคือหุ่นเชิดที่รับใช้กลุ่มทุนธนาคาร Zionist เป็นสมาชิกยาวนานขององค์กร Freemason [1] ที่ได้เป็นองค์กรของ Zionist มาเนินนาน มีพฤติกรรมเหยียดชนชาติ กระหายสงครามแบบโหดเหี้ยมไร้ความอารี กระทำเพื่อประโยชน์ของทุน Zionist เป็นอันดับสูงสุด สหราชอาณาจักรเป็นรอง
‘ข้าพเจ้าเกลียดชาวอินเดีย พวกเขาเป็นคนเยี่ยงสัตว์ และมีศาสนาเยี่ยงสัตว์’ [2] Churchill ได้กล่าวกับ Leo Amery รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศประจำอินเดีย และ ในปี 1943 เมื่อเกิดการขาดแคลนอาหารในอินเดียอย่างรุนแรง เนื่องจากรัฐบาลอังกฤษได้บังคับให้ชาวอินเดียเลิกปลูกข้าว ให้ไปปลูกปอกระเจาเพื่อทำกระสอบทรายแทน แม้จะมีการขอร้องขอเสบียงฉุกเฉิน Churchill ได้เมินเฉยต่อคำร้องขอครั้งแล้วครั้งเล่า จนเป็นเหตุให้ชาวอินเดียต้องเสียชีวิตไปจำนวนระหว่าง 1-3 ล้านคน แม้ทาง Australia USA เสนอจะช่วยเหลือ แต่ Churchill ได้อ้างว่าไม่มีเรือ อันไม่ได้เป็นความจริงเลย โดยหลักฐานปัจจุบันปรากฏว่ามีการเดินเรือขนธัญพืชจาก Australia ผ่านอินเดียไปแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่มีอาหารสมบูรณ์อยู่แล้วจำนวนมาก [3]
เมื่อทราบถึงการที่มหาตมะ คานธีได้เริ่มกระทำอริยะขัดขืน Churchill ได้กล่าว ‘ควรผูกมือเท้าไว้กับประตูเมืองกรุงเดลี และให้ผู้ว่าคนใหม่ขี่ช้างไปเหยียบเสีย’[4] เขาเกลียดคานธีมากและแสดงการดูถูกเสมอ [5]โดยหลังคานธีถูกจับขังข้อหาประนามการที่อินเดียไปเกี่ยวข้องกับสงครามกับ Hitler และเรียกร้องการอริยะขัดขืน ระหว่างที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรปล่อยคานธีออกมา หลักฐานที่มีการเปิดเผยภายหลังชี้ Churchill ไม่เห็นด้วยกับการปล่อย แต่เห็นว่าหากคานธีจะอดอาหาร ควรปล่อยให้ตายไป [6]
ตั้งแต่ก่อนมาเป็นนายกรัฐมนตรี Churchill ได้พยายามยั่วยุให้เกิดปัญหากับเยอรมนี และโจมตีบุคคลต่างๆที่พยายามจะสร้างความเข้าใจกับเธอทางบทความต่างๆของเขา เขาวางแผนที่จะสร้างสงครามกับเยอรมนีมานาน ภายใต้บัญชาของกลุ่มทุน Zionist โดยสาเหตุที่แท้จริง จากคำพูดของ Churchill เองคือ ‘ เยอรมนีกำลังจะแกร่งมากกินไป เราต้องทำลายเธอ’ [7] ที่พูดตั้งแต่ 1936 ก่อนสงคราม หรือ ที่ได้กล่าวกับสมาชิกรัฐสภา Emrys Hughes ช่วงสงครามว่า ‘ท่านต้องเข้าใจว่าสงครามนี้เราไม่ได้ต่อสู้ Hitler หรือ National Socialism แต่เรากำลังต่อสู้กับความแข็งแกร่งของประชาชนชาวเยอรมัน ที่ต้องทำลายให้จบสิ้นไป ไม่ว่าจะอยู่ในมือของ Hitler หรือ จะอยู่ในมือนักบุญก็ตาม’ [8] หรือที่ได้กล่าวกับ Lord Robert Boothby ‘ความผิดอย่างให้อภัยไม่ได้ของเยอรมนีก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ การพยายามปลีกอำนาจทางเศรษฐกิจของตนเองออกจากระบบการค้าของโลก และสร้างระบบใหม่ที่จะทำให้ระบบการเงินโลกเสียโอกาสในการทำกำไร’ [9] สาเหตุหลักในการสร้างสงครามไม่ใช่อื่นใดนอกจากนี้ คือการที่ทุนธนาคาร Zionist จะเสียประโยชน์การผูกขาดควบคุมระบบการเงินโลก ให้แก่ระบบที่ดีกว่าและไม่อยู่ภายใต้การผูกขาดนั้นเอง
ในเรื่องของอาชญากรรมสงคราม ไม่มีผู้ใดจะเกิน Churchill ทั้งในการวางแผน สนับสนุน กระทำ และปกป้องการกระทำที่ละเมิดกฎกติกาสงครามอันได้มีการตกลงกันมาระหว่างนานาประเทศ ความจริงเป็นตรงกันข้ามกับความเชื่อที่แพร่ในวงกว้างตามที่พวกเขาต้องการให้เชื่อ คืออังกฤษต่างหาก ไม่ใช่เยอรมนี ที่เป็นฝ่ายเริ่มการทิ้งระเบิดจงใจฆาตกรรมพลเรือน อันเป็นเหตุให้เกิดการตอบโต้ ‘การโจมตีบริเวรต้องห้ามทางอากาศครั้งแรก ได้กระทำโดย 134 British Bombers ใส่เมือง Mannheim ของเยอรมันในวันที่ 16 ธันวาคม...โดยจุดเป้าหมายคือการทำลายใจกลางเมืองให้มากที่สุด’[10]
ความจริงคือ Hitler ได้ทนต่อการทิ้งระเบิดทางอากาศใส่ผลเรือนมาถึง 6 ครั้งในช่วงเวลา 3 เดือน ก่อนที่จะตอบโต้ และได้พยายามหาข้อตกลงกฎเกณฑ์การทิ้งระเบิดกับอังกฤษ รวมถึงการหาข้อตกลงการยุติสงครามโดยเยอรมันพร้อมจะยอมปลดปล่อยฝรั่งเศส โปแลนด์ และ ดินแดนที่ได้ยึดทั้งหมด ยกเว้นส่วนที่เป็นของเยอรมันมาก่อน โดย M.Spaight CB CBE หัวหน้ารัฐมนตรีทางอากาศของอังกฤษได้ยืนยันว่า ‘เราเริ่มทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายในเยอรมนี ก่อนเยอรมันจะเริ่มทิ้งระเบิดใส่บริเตน...Hitler เริ่มทิ้งระเบิดใส่ผลเมืองบริทิชอย่างไม่อยากทำ 3 เดือน หลัง RAF ได้เริ่มทิ้งระเบิดใส่ผลเรือนเยอรมัน Hitler พร้อมที่จะหยุดการฆ่าล้างเสมอ และต้องการอย่างจริงจังที่จะตกลงสัญญากำหนดขอบเขตการสู้รบทางอากาศ’ [11]
Hitler ได้แสดงการรังเกียจการจงใจตั้งเป้าหมายกับพลเรือนอย่างชัดเจน ‘การสร้างเครื่องบินทิ้งระเบิดจะยุติลงหากการทิ้งระเบิดในลักษณะนี้ถูกตราว่าเป็นการกระทำป่าเถื่อนที่ผิดกฎหมาย...หาก Red Cross สามารถหยุดการฆ่าผู้บาดเจ็บหรือนักโทษที่ไม่สามารถป้องกันตนเองได้ ก็น่าจะหยุดการทิ้งระเบิดใส่ผลเมืองที่ไม่สามารถป้องกันตนเองได้เช่นกัน’ – Hitler Speech [12] แต่ผู้ที่นิยมในวิธีการสกปรกจงใจทำลายชีวิตประชากรผลเรือน นั้นได้แก่ Churchill ที่มองเป็นกลยุทธ์ ‘สงครามทางอากาศได้เปิดช่องทางให้สามารถนำความตายและความหวาดกลัวเข้าไปลํ้าเส้นของศัตรู สู่ผู้หญิง เด็ก ผู้ชรา ผู้ป่วย ซึ่งในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ไม่ได้แตะต้องเลย’[13]
ตรงกันข้ามกับคำที่โกหกในสภา หลอกลวงชาวอังกฤษและชาวโลกผ่านสื่อต่างๆ ว่าการทิ้งระเบิดนั้นเจาะจงโจมตีเฉพาะโรงงาน และฐานทัพ Arthur Harris เป็นที่รู้จักกันดีในนาม ‘Harris Bomber’ หรือ ‘Butcher Harris’ ผู้บังคับบัญชากอง Bomber British RAF ผู้โด่งดัง ที่นิยมพูดความจริง ได้ยืนยันในวันที่ 25 ตุลาคม 1943 ‘การทำลายเมืองเยอรมัน การฆ่าแรงงานเยอรมัน การทำลายวิธีชีวิตสังคมเยอรมัน...การทำลายบ้านเรือน สาธารณะอุปโภค การสร้างปัญหาผู้อพยพอย่างไม่เคยมีมาก่อน การทำลายกำลังใจทั้งที่บ้านและในสนามรบโดยความกลัวในการระเบิดที่มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นที่ยอมรับและคือจุดเป้าหมายของนโยบายการทิ้งระเบิดของเรา มันไม่ใช่ผลข้างเคียงของการพยายามโจมตีโรงงาน’ [14] การกระทำป่าเถื่อนนี้ของอังกฤษ Neville Chamberlain อดีตนายกรัฐมนตรีก่อน Churchill ได้ยอมรับว่า ‘ผิดกฎกติกาสากลโดยสิ้นเชิง’ [15]
หากจะยกประโยค ‘ข้าพเจ้าสนับสนุนการใช้ก๊าซพิษ เพื่อฆ่าเผ่าชนที่ไร้วัฒนธรรม’[16] ท่านผู้อ่านที่ตกเป็นเหยื่อการหลอกลวง ตามการหลอกลวงพวก Zionists ไม่ทัน คงนึกว่าเป็นคำของ Adolf Hitler แต่แท้จริงแล้วนี้คือประโยดของ Churchill ปีศาจที่มีแฟนตาซีในการใช้ก๊าซพิษเพื่อฆ่าคนตัวจริง และหากจะพูดถึงการพยายามผลิต Anthrax จำนวนมากเพื่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อย่าได้หลงว่าหมายถึง Saddam Hussein เช่นเดียวกัน แต่ก็คือ Churchill คนเดิม โดยหลังได้ทดลองระเบิด Anthrax ในปี 1942 บนเกาะ Guinard ที่กลายเป็นบริเวณอยู่ไม่ได้ไป 40 ปี ได้สั่งการผลิตระเบิด Anthrax 500,000 ลูกจากสหรัฐเพื่อทิ้งคลุมเยอรมนี [17] แต่ระเบิดนี้ไม่ได้มีการใช้ด้วยเหตุว่า ผลิตไม่ทัน และอาจเป็นได้ว่าสหรัฐไม่ต้องการเล่นด้วย ถึงกระนั้น ก็ไม่ได้ยับยั้งปีศาจกระหายสงครามนี้ในการก่ออาชญากรรมสงคราม โดยเหตุการณ์อันได้ฆ่าผลเรือนบริสุทธิ์มากที่สุดและโหดร้ายที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2 คือการจงใจถล่มทิ้งระเบิดไฟใส่ผลเรือนทั้งเมือง Dresdenโดยจำนวนผู้เสียชีวิตในการโจมตีที่ Dresden เมืองเดียวนั้นมากกว่าระเบิด Atomic ที่ Hiroshima และ Nagasaki ทั้ง 2 รวมกัน
จริงแล้วคำว่า Holocaust มีคำแปลคือ ‘การสังเวยโดยไฟ’ และในเหตุการณ์ทั้งหมดในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีเหตุการณ์ใดที่จะตรงกับคำนี้มากกว่าพายุไฟที่เกิดขึ้นที่ Dresden เชิญดูภาพเหตุการณ์ link http://postimg.org/image/rhy8tdbhf
Dresden โดยปกติมีพลเมืองประมาณ 6-7 แสนคน และเนื่องจากเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมที่อยู่อย่างเงียบสงบมาตลอดสงคราม ประชากรจำนวนมากได้อพยพเข้ามา ทำให้มีประชากรเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1 ล้านคน โดยในคืนวันที่ 13 กุมพาพันธ์ 1943 ก่อนเข้าวันวาเลนไทน์ เวลา 4 ทุ่ม 9 นาที เวลาทีผู้คนส่วนใหญ่หลบอยู่ อังกฤษและสหรัฐได้โจมตีทางอากาศ โดยภายใน 23 นาทีได้ทิ้งระเบิดไฟรวมทั้งสิ้น 1,400 ตัน ทำให้ทั้งเมืองลุกเป็นไฟ เกิดพายุหมุนไฟอย่างรุนแรงทั้งเมือง พลเมืองทั่วเมืองดิ้นรนในสภาพที่ลุกเป็นไฟ ถูกเผาทั้งเป็น แม้ในอาคารที่ไม่ถูกระเบิดหรือหลุ่มหลบภัยที่น่าจะปลอดภัย การมีอากาศออกซิเจนได้ดูดพายุไฟเข้าไปเผาไหม้ผู้หลบซ่อน หลังการทิ้งระเบิดรอบแรก 3 ชั่วโมงก็ได้มีการทิ้งระบิดรอบ 2 พอเหมาะกับเวลาที่หน่วยพยาบาลที่มาช่วยผู้รอดตายที่ออกมาเพื่อหลบหนี ชิ้นส่วนผู้คนที่ไหม้เกรียมกระจัดกระจายอยู่บนถนนทั่งเมือง เป็นการสังเวยโดยไฟที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยในช่วงเวลาเพียง 2 คืน ฝ่ายพันธมิตรทิ้งระเบิดทั้งหมด 7,000 ตัน ทางการเยอรมันประกาศผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 200,000คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ตํ่าดูจากสภาพที่เหลือของเมือง Dresden (บางแห่ลงระบุสูงถึง 500,000 คน) แต่ฝ่ายชนะสงครามนอกจากจะอ้างว่า 200,000 เป็นตัวเลขหลอกลวงแล้ว ยังอ้างว่าได้โจมตีเป้าหมายคือโรงงานเท่านั้น ทั้งที่ 15 ตารางไมล์ของเมืองได้ถูกทำลายไป แต่โรงงานที่อยู่นอกเมืองไม่ได้มีการแตะต้อง รวมทั้งสงครามแล้ว Churchill ได้ทิ้งระเบิดในลักษณะนี้นับแสนตัน ใส่พลเรือนบริสุทธิ์ ทั้งที่ Dresden Cologne Munich เป็นต้น รวมเสียชีวิตไปนับล้าน เจตนาของ Churchill นั้นไม่มีอะไรน่าสับสน ‘ข้าพเจ้าไม่ต้องการคำเสนอว่าจะหยุดเศรษฐกิจหรือเครื่องสงครามอย่างไร สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการคำเสนอคือว่าเราจะย่างชาวผู้อพยพเยอรมันที่หลบหนีอย่างไร’[18] แล้วก็ไม่น่าจะสับสนต่อไปว่าฝ่ายใดคือฝ่ายที่ต้องการจะสงบศึก ต้องการจะหยุดการฆ่า และฝ่ายใดที่ไม่ต้องการจะสงบศึก ต้องการจะฆ่า พร้อมทำทุกอย่างเพื่อการรักษาอำนาจโลก
กฎของสงครามตาม Hague Convention II 1899 http://avalon.law.yale.edu/19th_century/hague02.asp
คำถาม:
(1) ทำไม Churchill กระทำอาชญากรรมสงคราม ไม่ถูกดำเนินคดีเป็นอาชญากรสงคราม แต่กลับเป็นวีรบุรุษ?
(2) ทำไมมีฝ่ายพันธมิตรสักรายถูกดำเนินคดี อาชญากรรมต่อมนุษยชาติเลย?
คำตอบอยู่ในคำของ Churchill เอง :
‘ประวัติศาสตร์ถูกเขียนโดยผู้ชนะ’ - Winston Churchill [19]
‘ประวัติศาสตร์จะเมตตาข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะเขียนเอง’ - Winston Churchill [20]
2558/07/05

แหล่งอ้างอิง
[1] List of Freemason (A-D) https://en.wikipedia.org/w…/List_of_Freemasons_(A%E2%80%93D)
[2] "I hate Indians. They are a beastly people with a beastly religion." https://en.wikiquote.org/wiki/Winston_Churchill
[3]http://www.telegraph.co.uk/…/Winston-Churchill-blamed-for-1…
[4] "ought to be lain bound hand and foot at the gates of Delhi, and then trampled on by an enormous elephant with the new Viceroy seated on its back."
http://www.independent.co.uk/…/not-his-finest-hour-the-dark…
[5] http://www.kamat.com/mmgandhi/churchill.htm
[6]http://www.theguardian.com/…/02/secondworldwar.conservatives
[7] "Germany is getting too strong. We've got to smash her." https://books.google.co.uk/books…
[8] You must understand that this war is not against Hitler or National Socialism, but against the strength of the German people, which is to be smashed once and for all, regardless whether it is in the hands of Hitler or a Jesuit priest. (Emrys Hughes, Winston Churchill - His Career in War and Peace, p. 145; quoted as per: Adrian Preissinger, Von Sachsenhausen bis Buchenwald, p. 23.)
https://books.google.co.uk/books…
[9] Germany’s unforgivable crime before the second world war was her attempt to extricate her economic power from the world’s trading system and to create her own exchange mechanism which would deny world finance its opportunity to profit. (Churchill to Lord Robert Boothby, as quoted in: Sidney Rogerson, Propaganda in the Next War (Foreword to the second edition 2001).)
http://en.metapedia.org/wiki/Winston_Churchill
[10] “The first ‘area’ air attack of the war was carried out by 134 British bombers on the German city of Mannheim on the 16 December 1940. The object of this attack, as Air Chief Marshall Peirse later explained, was, ‘to concentrate the maximum amount of damage in the center of the town,” – The Strategic Air Offensive Against Germany. (H. M Stationery Office, London, 1961).
http://www.amazon.co.uk/Strategic-Offensive-Ag…/…/B00627P9E2
[11] “We began to bomb objectives on the German mainland before the Germans began to bomb objectives on the British mainland.”
“Hitler only undertook the bombing of British civilian targets reluctantly three months after the RAF had commenced bombing German civilian targets. Hitler would have been willing at any time to stop the slaughter. Hitler was genuinely anxious to reach with Britain an agreement confining the action of aircraft to battle zones.” – J. M Spaight. CB. CBE. Bombing Vindicated, p.47. Principal Secretary to the Air Ministry.
http://en.metapedia.org/…/Bombing_of_Germany_during_World_W…
[12] ‘The construction of bombing airplanes would soon be abandoned as superfluous and ineffective if bombing as such were branded as an illegal barbarity. If, through the Red Cross Convention, it definitely turned out possible to prevent the killing of a defenseless wounded man or prisoner, then it ought to be equally possible, by analogous convention, and finally to stop the bombing of equally defenseless civil populations.’ - Hitler speech
http://comicism.tripod.com/350521.html
[13] “The air opened paths along which death and terror could be carried far behind the lines of the actual enemy; to women, children, the aged, the sick, who in earlier struggles would perforce have been left untouched.” – Winston Churchill, The Great War. Vol. 3 P1602.
https://books.google.co.th/books…
[14] "The destruction of German cities, the killing of German workers, and the disruption of civilized community life throughout Germany [is the goal]. ... It should be emphasized that the destruction of houses, public utilities, transport and lives; the creation of a refugee problem on an unprecedented scale; and the breakdown of morale both at home and at the battle fronts by fear of extended and intensified bombing are accepted and intended aims of our bombing policy. They are not by-products of attempts to hit factories." -- "Air Marshal Arthur Harris, Commander in Chief, Bomber Commander, British Royal Air Force, October 25, 1943 https://en.wikipedia.org/wiki/Sir_Arthur_Harris,_1st_Baronet
[15] ‘absolutely contrary to International law.’ Neville Chamberlain
https://books.google.co.th/books…
[16] "I am strongly in favour of using poisoned gas against uncivilised tribes"
Winston Churchill's shocking use of chemical weapons http://www.theguardian.com/…/winston-churchill-shocking-use…
[17] Stanford University Education http://cs.stanford.edu/…/projects/chemical-biologica…/uk.htm
Nazi Germany Was Planned Target : Creation of Anthrax Bomb Told
http://articles.latimes.com/1987-01-07/news/mn-2514_1_bombs
[18]"I do not want suggestions as to how we can disable the economy and the machinery of war;
what I want are suggestions as to how we can roast the German refugees on their escape."
- Winston Churchill
source: The Barnes Review, Volume 5. Page 30. 1999.
https://books.google.co.uk/books…
[19] “History is written by the victors.” Winston Churchill
http://www.goodreads.com/…/97949-history-is-written-by-the-…
http://thinkexist.com/…/history_is_written_by_t…/150112.html
[20] “History will be kind to me for I intend to write it.” ― Winston Churchill
http://www.brainyquote.com/q…/quotes/w/winstonchu161247.html
http://www.telegraph.co.uk/…/History-as-written-by-the-vict…


จาก  ความจริงที่เขาปิดบัง ความเท็จที่เขาหลอกลวง




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น