อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

นาทีแห่งการค้นพบ




How the Bible Led Me to Islam

เขาไม่รู้ว่าคุตบะห์(การเทศนาธรรมในการนมาซวันศุกร์)ครั้งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาเพื่อเขาหรือไม่ แต่เขาคิดว่าเนื้อหาของคุตบะห์ในครั้งนั้นกำลังสื่อสารมาถึงเขา เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการที่ประตูแห่งการอภัยโทษของพระผู้เป็นเจ้าจะเปิดกว้างเสมอตราบใดที่มนุษย์ไม่ได้ตั้งภาคีหรือนำสิ่งอื่นมาเทียบเทียงกับพระองค์

หลังจากคุตบะห์บรรดามุสลิมเหล่านั้นก็เริ่มตั้งแถวนมัสการ เขาถามชายคนหนึ่งในแถวว่า “คุณกำลังจะทำอะไร” ชายคนนั้นตอบว่า “เรากำลังจะทำพิธีนมัสการ” เขาถามว่า “นมัสการใคร” ชายคนนั้นตอบว่า “นมัสการพระเจ้า ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกับในไบเบิล พระผู้เป็นเจ้าเพียงหนึ่งเดียว “เขาตอบกลับไปว่า “ใช่ ผมรู้จักพระองค์”

เมื่อเขาเห็นบรรดามุสลิมก้มตัวลงและกราบลงบนพื้น เขาบอกกับตัวเองว่านี่คือการนมัสการ การเคารพสักการะ (worship) นี่ไม่ใช่เพียงการขอพร (prayer) เพราะการขอพร (prayer) คือการขอบางสิ่งบางอย่างจากพระผู้เป็นเจ้า แต่คนเหล่านี้กำลังนมัสการ (worship) พระเจ้าของเขา

เขาเริ่มบอกกับตนเองว่าเท่าที่ผ่านมาเขาไม่ได้ให้ความยุติธรรมกับศาสนาอิสลามเลยเขาอ่านหนังสือเล่มเล็ก ๆ เล่มเดียวที่ให้ข้อมูลที่บิดเบือนเกี่ยวกับอิสลามและไม่เคยคิดจะศึกษาอะไรเพิ่มเติม
เมื่อการนมาซวันศุกร์เสร็จสิ้นเขาจึงเดินเข้าไปหาอิหม่ามและถามว่า “คุณมีหนังสือที่เป็นคัมภีร์ไหม” อิหม่ามตอบว่าเรามีคัมภีร์ที่เรียกว่า อัล-กุรอาน และมีคำแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วย เขาถามอิหม่ามว่าเขาจะขออ่านหนังสือเล่มนั้นได้ไหม อิหม่ามตอบว่าได้ เขาจึงนำอัล-กุรอานฉบับนั้นกลับไปที่บ้าน นี่เป็นหนังสือที่เขาไม่เคยอ่านมาก่อนและรู้สึกสนใจมาก

เขาเริ่มอ่านบทแรกคืออัล-ฟาติฮะห์ จากนั้นเขาก็เริ่มอ่านบทอื่น ๆ และเริ่มเห็นชื่อต่าง ๆ เช่น อิบรอฮีม มูซา อีซา และอีกหลายชื่อที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ในอัล-กุรอานเรื่องราวของคนเหล่านี้มีบางอย่างที่แตกต่างไปจากที่เขาเคยอ่านมา เรื่องราวของคนเหล่านี้หลายเรื่องที่เขาเคยอ่านเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพฤติกรรมต่าง ๆ ที่น่ารังเกียจของพวกเขา แต่เรื่องราวของคนเหล่านี้ในอัล-กุรอานคือเรื่องราวของบุคคลที่มีคุณสมบัติอันดีเยี่ยม ที่เราสามารถนำมาเป็นตัวอย่างได้ เป็นบุคคลที่ปฏิบัติในสิ่งที่เขาสั่งสอนคนอื่นให้ปฏิบัติ

คืนนั้นเมื่อเขาอ่านเรื่องราวการกำเนิดของพระเยซูหรือนบีอีซา และเรื่องราวที่ชัดเจนเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของแมรี่หรือพระนางมัรยัม เมื่อเขาอ่านซูเราะห์อาลีอิมรอนจบเขาก็มอบหัวใจทั้งหมดให้กับอัล-กุรอาน เขาไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าการเป็นมุสลิมคืออะไร เขารู้เพียงว่าใครก็ตามที่ปฏิบัติตัวตามหนังสือเล่มนี้ เขาต้องการจะเป็นเหมือนผู้คนเหล่านั้น เขาอยากปฏิบัติตนเหมือนบรรดาผู้คนที่เป็นตัวอย่างของความดีงามในหนังสือเล่มนี้

เขาไม่เคยได้อ่านคัมภีร์เล่มใดที่กล้าท้าทายผู้อ่านว่า หากเราไม่เชื่อว่าหนังสือเล่มนี้เป็นสัจธรรมก็ให้หาข้อพิสูจน์มายืนยัน ทุกอย่างในหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวที่เป็นเหตุเป็นผล มีตรรกะ ชัดเจนและตรงไปตรงมา และเขาได้มอบหัวใจทั้งหมดให้กับอิสลาม ในขณะที่เขาอ่านอัล-กุรอานในคืนนั้นนั่นเอง…
สรุปความจากบางตอนในคำบรรยายเรื่อง How the Bible Led Me to Islam โดย Joshua Evans

ข้อมูลจาก https://www.youtube.com/watch?v=IYMKQKSV0bY






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น