อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เหตุโศกนาฎกรรมมุสลิมจีนอุยกูร์ กับความพยายามกลืนชาติพันธุ์ของรัฐบาลจีน



วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 บนท้องถนนในเมืองอูรุมชี (อูหลู่มูฉี) มณฑลซินเจียงอุยกูร์ เขตปกครองตนเองของจีน เจิ่งนองไปด้วยเลือดและน้ำตา เหตุจากรัฐบาลจีนส่งตำรวจล้อมปราบมุสลิมจีนชาวอุยกูร์ที่ออกมาร่วมชุมนุมอย่างสันติว่า “ก่อการจราจล” ซึ่งคร่าชีวิตมุสลิมอุยกูร์ราว 156 คนและบาดเจ็บกว่า 1,080 คน ตามรายงานจากแหล่งข่าวของจีน แต่รายงานจากสถาบันการศึกษา การอบรมและความร่วมมือเตอร์กิสสถานตะวันออกในเมืองอิสตันบูล รายงานว่ามุสลิมจีนอุยกูร์ บาดเจ็บและถูกจับกุมหลายพัน และเสียชีวิตมากกว่า 2,000 คน หลังจากเหตุการณ์ล้อมปราบ และทางการจีนได้ใช้นโยบายโดดเดี่ยวเมืองอูรุมชี ตัดขาดจากโลกภายนอกตลอดเวลา 10 เดือน

ในวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ก่อนเกิดเหตุ 2 สัปดาห์ คนงานชาวจีนฮั่นนับร้อยคนพร้อมทอนไม้และมีดบุกโรงงานและบ้านพักคนงานมุสลิมจีนอุยกูร์ ณ มลฑลกวางตุ้ง ที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของจีน เป็นเหตุให้มุสลิมอุยกูร์ตาย 300 คน และบาดเจ็บนับร้อย เหตุการณ์ผ่านมา 10 วัน ญาติของผู้เสียชีวิตต่างก็รอทางการจีนประกาศแจ้งถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ และนำคนผิดมาลงโทษ แต่ทว่าไม่มีความคืบหน้าจากทางการจีน จึงเป็นชนวนสาเหตุการชุมนุมประท้วงของคนนับหมื่นคนบนท้องถนนในเมืองอูรุมชี เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เรียกร้อง หาความเป็นธรรมและคำอธิบายจากทางการจีนถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นแล้วนำผู้กระทำผิดมาลงโทษและหยุดเลือกปฎิบัติได้แล้ว แต่ภาพและเนื้อหาข่าวที่ปรากฏเหมือนว่า มุสลิมอุยกูร์ ตามเข่นฆ่า จีนฮั่น !!

มณฑลซินเจียงหรือซื่อเดิมว่า เตอร์กีสถานตะวันออก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ทิศเหนือติดประเทศคาซัคสถาน รัสเซียและมองโกลเลีย ทิศใต้ติดเขตปกครองตนเองทิเบตของจีน และแค้วนแคชเมียร์ มีอินเดียและปากีสถานแบ่งเขตกันยึดครอง ทิศตะวันออกติดมณฑลชิ่งไห่และมณฑลกานซูของจีน ทิศตะวันตกติดประเทศคาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกีสถาน อัฟกานิสถานและปากีสถาน มีพื้นที่ประมาณ 1.66 ล้านตารางกิโลเมตร คิดเป็น 1 ใน 6 ของพื้นที่ประเทศจีน และเป็นเขตพื้นที่ปกครองตนเองที่ใหญ่ที่สุดของจีน นับว่าเป็นที่ตั้งทาง ภูมิศาตร์และยุทธศาสตร์สำคัญของจีน เพราะเป็นพื้นที่ทางออกของจีนทางเดียวที่เข้าสู่เอเซียกลาง อีกทั้งเป็นพื้นที่กันชนป้องภัยจากภายนอกประเทศ และนี้คือเหตุผลสำคัญที่ทางการจีนต้องกำราบ ปราบปราม กดขี่มุสลิมชาวอุยกูร์เชื้อสายเตริก์อย่างไร้มนุษยธรรม เพราะไม่ต้องการให้เตอร์กีสถาน แยกตัวเป็นรัฐอิสระเหมือนอย่างรัฐอิสลามที่แยกตัวออกจากอดีตสหภาพโซเวียต

อิสลามได้เผยแผ่เข้าสู่เตอร์กีสถานในสมัยคอลีฟะฮฺ อุษมาน บิน อัฟฟาน ( ฮ.ศ. 23 / ค.ศ.644 ) โดยท่าน อัลฮะกัม บิน อัมรฺ อัลฆิฟารียฺ กระทั้งอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรอิสลามในสมัยคอลีฟะฮฺ อับดุลมาลิก บิน มัรวาน ยุคอะมะวียฺ โดยแม่ทัพกุตัยบะฮฺ บิน มุสลิม( ฮ.ศ. 83 - 94 / ค.ศ.702- 712 ) และมุสลิมได้ผ่านการต่อสู้จากการรุกรานของจีนตลอดมา จนในปี ค.ศ. 1759 ราชวงศ์ชิงหรือราชวงศ์แมนจู ยึดครองเตอร์กีสถานตะวันออกได้ แต่ภายหลังมุสลิมเติร์กได้ยึดคืนกลับมาจากจีนได้ในช่วงสั้น ๆ และในที่สุดราชวงศ์แมนจูได้ยึดกลับคืนมาได้อีกครั้งจากการช่วยเหลือของอังกฤษ ใน ปี ค.ศ. 1876 และเปลี่ยนชื่อประเทศจากเตอร์กีสถานตะวันออก เป็นซินเจียง

หลังสงครามจีน/ญี่ปุ่น ครั้งที่ 2 ( ค.ศ. 1931-1945 ) สาธารณรัฐเตอร์กีสถานได้สถาปนาเป็นรัฐอิสลามแต่อยู่ได้ไม่ยาวนาน จนในปี ค.ศ. 1949 เหมาเจ๋อตุง ได้ยึดครองเตอร์กีสถานทั้งหมดและให้เป็นเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ในปี ค.ศ. 1955 ภายใต้กฎเหล็กของจีนคอมมิวนิสต์ โดยประกาศอย่างเป็นทางการว่า อิสลามเป็นสิ่งผิดกฏหมายและลงโทษทุกคนที่ปฎิบัติตามหลักอิสลาม ห้ามศึกษาศาสนาและปฎิบัติพิธีกรรมทางศาสนา สั่งปิดมัสยิด 2 หมื่น 8พันหลัง และปิดโรงเรียนสอนศาสนา 1 หมื่น 8 พันโรง สั่งเก็บหนังสือเกี่ยวกับศาสนามากกว่า 7 แสน 3 หมื่นเล่ม และบังคับให้เผาตามสถานที่ต่างๆ ห้ามบรรยายและปราศรัยศาสนา ยกเลิกองค์กรศาสนา ทำลายโครงสร้างศาสนา ยึดมัสยิดเป็นสโมสรของทหาร ศึกษาบทนิพนธ์ของเหมาเจ๋อตงแทนการศึกษาอัลกรุอ่าน บังคับสตีรมุสลิมแต่งงานกับชายจีนที่ไม่ใช่มุสลิมและให้ตัดผมสั้นนุ่งสั้นเลิกคลุมฮิญาบ ตลอดจนปิดโปสเตอร์ ป้ายโฆษณาชวนเชื่อตามหัวเมืองและหมู่บ้านต่อต้านศานาอิสลาม อย่างเช่น อิสลามคือฝิ่น(ยาเสพติด) อิสลามรับใช้ลัทธิล่าอาณานิคม อันเป็นสาเหตุให้มุสลิมอุยกูร์ลุกฮือขึ้นปกป้องศาสนาอิสลาม แผ่นดินและชาติพันธ์ของพวกเขานับตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1949 – ค.ศ.1968 รวมทั้งหมด 45 ครั้ง ถูกนำตัวไปประหารราว 3 แสน 6 หมื่นคน เหตุการณ์ครั้งร้ายแรงที่สุดในปี ค.ศ. 1966 ชาวมุสลิมอุยกูร์ออกมาร่วมชุมนุมเพื่อปฎิบัติละหมาดอีดิ้ลอัดฮา ทางการจีนส่งกองทัพมาปราบและฆ่าพวกเขาทั้งหมด

เตอร์กีสถานตะวันออกหรือมณทลซินเจียงตามชื่อใหม่ของจีน เป็นพื้นที่ทดลองอาวุธนิวเคลียร์ ฝังกากนิวเคลียร์และทดสอบอาวุธปรมาณูของจีน จนเป็นเหตุให้เกิดโรคประหลาดในบางพื้นที่ของมณฑลซินเจียง ซินเจียงเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และแหล่งแร่ เช่น ทอง สังกะสี และยูเรเนียม มีรายงานว่า มณทลซินเจียงเป็นพื้นที่คลังน้ำมันสำรองขนาดใหญ่ของจีนประมาณ 8 พันล้านตัน และเป็นพื้นที่ขนส่งน้ำมันจากกลุ่มประเทศมุสลิมในแถบเอเซียกลางเข้าสู่จีน ประชากรอุยกูร์เชื้อสายเติร์กประมาณ 9.23 ล้านคน จากการสำรวจเมื่อ ค.ศ. 1990 จัดเป็นชนกลุ่มใหญ่ของเขตปกครองตนเองแห่งนี้ แต่ปัจจุบันคาดว่าจำนวนประชากรมุสลิมจีนอุยกูร์เพิ่มขึ้นราว 25 ถึง 35 ล้านคน และภาษาอุยกูร์เป็นภาษาเตอร์กิกเขียนแบบพยัญชนะอาหรับ มุสลิมอุยกูร์ส่วนใหญ่ทำการเกษตร เช่น การปลูกฝ้าย และอุตสาหกรรมการทอพรม และทอไหม

นโยบายของรัฐบาลจีนในปัจจุบันนี้ พยายามเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรมุสลิมในเขตซินเจียง โดยการสนับสุนนจีนเชื้อสายฮั่นย้ายถิ่นฐานเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมกับมุสลิมอุยกูร์เชื้อสายเติร์กในมณฑลซินเจียง ตัวเลขอย่างเป็นทางการของจีนเมื่อ ค.ศ. 2001 ชาวฮั่นอาศัยอยู่ในซินเจียงสูงถึง 40 เปอร์เซ็น จากเดิมมีเพียง 6 เปอร์เซ็นเท่านั้น ยกเลิกการใช้ภาษาอุยกูร์ในโรงเรียน สถาบันการศึกษา เผาทำลายหนังสือ และทำลายวัฒนธรรมค่านิยมความเชื่อของพวกเขา ตลอดจนเข้มงวดในการก่อสร้างมัสยิด ทางการจีนพยามยามทำลายเมืองคาชการ์ ซึ่งเป็นเมืองอารยธรรมเก่าแก่ ที่มีมุสลิมอุยกูร์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ ด้วยการขับไล่พวกเขาออกจากพื้นที่ประมาณ 2 แสนคน โดยรัฐบาลจีนอ้างว่า เพื่อให้เป็นพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจ แต่แท้ที่จริงเป็นความพยายามกลืนชาติพันธ์เสียมากกว่า

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2553 นายโจว เสียวชาย ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน ระบุว่า ธนาคารกลางจะแสดงบทบาท ในการส่งเสริมให้ซินเจียงพัฒนาแบบก้าวกระโดดมีเสถียรภาพ และความสงบอย่างยั่งยืน ทำให้มีคำถามว่า มุสลิมอุยกูร์จะได้รับผลดีต่อชิวิตและความเป็นอยู่ที่ดีจากการพัฒนาเศรษฐกิจในมณฑลซินเจียงหรือไม่ ? นาย นิโคลัส เบเกอร์ลิน นักวิจัยจาก ฮิวแมน ไรท์ส วอต์ช กลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนในฮ่องกง กล่าวว่า “เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชาวฮั่นกับชาวอุยกูร์เป็นปัญหาสำคัญที่ขึ้นอยู่กับการเลือกปฏิบัติ มันจะแทรกอยู่ทุกระดับชนชั้นของสังคม ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ความคิดในการร่างนโยบายใหม่นี้ ไม่ได้เพื่อชาวอุยกูร์ ค่อนข้างแน่ว่า พวกเขาไม่ได้รับผลจากนโยบายใหม่นี้เลย” ปัจจุบันมุสลิมอุยกูร์มีความรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม การเยียดผิว และอคติต่อพวกเขา รับรู้ได้ในขณะที่หางานทำ เนื่องจากชาวฮั่นส่วนมากเป็นเจ้าของธุรกิจการค้า และรัฐวิสาหกิจอยู่ภายใต้การควบคุมของชาวฮั่น ย่อมจะรับคนงานและเจ้าหน้าที่ที่มีเชื้อสายฮั่นด้วยกัน มุสลิมอุยกูร์ไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นที่จบจากรั้วมหาวิทยาลัยแล้วมีงานทำ พูดง่ายๆก็คือ จบการศึกษาหางานทำไม่ได้ราว 80 กว่าเปอร์เซ็น คูรมุสลิมอุยกูร์คนหนึ่งพูดว่า “เราเหมือนคนแปลกหน้าในแผ่นดินของเรา เหมือนชาวอินเดียแดนที่อยู่ในสหรัฐฯ” หรือว่า โศกนาฎกรรมมุสลิมอุยกูร์ ต้องโศกาดูรกันอีกนานแสนนาน !!?


ที่มาบทความ - http://satabunmuslim.com/index.php…





ชุดรูปภาพที่ทางการจีนนำตัวประชาชนชาวมุสลิมอุยกูร์จากประเทศไทยกลับไปรับโทษเเละดำเนินคดีในประเทศจีน

ซึ่งสอดคล้องกลับเเหล่งข่าวของเราที่เป็นอดีตนายทหารกองทัพอากาศไทยที่เปิดเผยว่า ทางการจีนมีการตกลงกับรัฐบาลไทยให้ส่งตัวชาวอุยกูร์อย่างลับๆที่สนามบินดอนเมือง โดยมีเจ้าหน้าที่จีนมารับตัวถึงสนามบิน ทั้งยังทำการซ้อมทรมานเเละเอาถุงดำปิดหัวชาวอุยกูร์ก่อนที่จะออกเดินทางเยี่ยงนักโทษอีกด้วย เเละนี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการชุมนุมประท้วงบุกทำลายสถานฑูตไทยในตุรกี

สำนักข่าวบัส - BAS News Agency

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น