อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สืบเนื่องจากหะดีษกุร็อยบ์


โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย ...

ความจริงผมตั้งใจว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนเลยวันอีดไปสัก 2-3 วัน จะยุติการเขียนลงเฟสชั่วคราวเพื่อต้องการพักผ่อน ...
แต่มีพรรคพวกบางคนโทรศัพท์มาเล่าปัญหาที่เกิดจากหะดีษกุร็อยบ์ให้ฟัง และขอร้องให้ผมช่วยชี้แจงความจริงว่าเป็นอย่างไร .. ลงในเฟสวันนี้ ก่อนที่จะหยุดยาวอย่างที่ตั้งใจไว้ ...
ผมเป็นคนใจอ่อนและใจง่ายอยู่แล้ว จึงต้องรับปากเขาอย่างที่เห็นนี่แหละครับ ..
จากหลักฐานทั้งหมดเรื่องการถือบวชออกบวชที่ผมนำเสนอไป ล้วนบ่งชี้ว่า การดูเดือนเสี้ยวเป็นสิทธิของแต่ละเมืองหรือแต่ละประเทศ ...
ไม่จำเป็น(วายิบ) จะต้องไปตามการเห็นเดือนเมืองอื่นหรือประเทศอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศที่ห่างไกลกันมากๆอย่างเช่นประเทศไทยและประเทศซาอุดีอารเบีย ...
หลักฐานเหล่านั้น ชัดเจนจนยากที่จะโต้แย้งได้ ...
ทางออกสุดท้ายของผู้ที่พยายามจะถือบวชออกบวชตามประเทศซาอุดีอารเบียให้ได้ก็คือการอ้างว่า จุฬาราชมนตรี ไม่ใช่ผู้นำศาสนาอิสลามในประเทศไทย ..
บางท่านกล่าวในทำนองว่า ผู้นำที่เขายอมรับก็คือผู้นำทั้งทางอาณาจักรและศาสนจักร สามารถสั่งประหารคนได้, สามารถสั่งตัดมือตัดเท้าขโมยได้, สามารถสั่งทุกอย่างในเรื่องศาสนาได้ ฯลฯ ... เหมือนบรรดาคอลีฟะฮ์ในอดีตเท่านั้น ...
ผู้นำที่ไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จอย่างนั้น เขาไม่ยอมรับเด็ดขาด ...
ขอเรียนว่า ถ้าท่านต้องการผู้นำอย่างที่ว่ามานั้นจริงๆ แสดงว่า ...
ท่าน “เกิดผิดยุค” เสียแล้วละครับ ...
เพราะในสมัยปัจจุบัน ไม่ว่าประเทศไหนในโลก ระบอบการปกครองจะแบ่งการปกครองออกเป็น 2 ส่วน คือฝ่ายอาณาจักร (ฝ่ายบริหาร) และฝ่ายศาสนาจักร คือ ฝ่ายศาสนา เหมือนกันทั้งนั้น ...
หรือในบางประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ ก็ยังแบ่งแยกการปกครองออกเป็นหลายระดับชั้น ซึ่งผู้นำของแต่ละระดับชั้น ก็มีอำนาจสั่งการได้เต็มที่ภายในกรอบแห่งอำนาจของตนตามที่กฎหมายกำหนดให้ ...

ไม่มีผู้นำประเทศไหนที่มี “อำนาจเบ็ดเสร็จ” ไปเสียทุกเรื่องอย่างที่ท่านต้องการอีกแล้ว แม้แต่ในประเทศซาอุดีอารเบียเอง ...
ที่น่าหวั่นเกรงยิ่งกว่านั้นก็อย่างที่มีผู้เล่าให้ผมฟังและผมได้เกริ่นไปแล้วตั้งแต่ต้น คือ มีนักวิชาการ “ยุคใหม่” บางคน “แกว่งเท้าหาเสี้ยน” .. ด้วยการเปิดประเด็นใหม่อันเป็นประเด็นที่ไม่มีนักวิชาการคนใดในอดีตเคยกล้ากล่าวมาก่อน ...

นั่นคือการกล่าวหาว่า ถ้าวาญิบให้ตามผู้นำในเรื่องการถือบวชออกบวชจริง จากหะดีษกุร็อยบ์ที่ผ่านมาแสดงว่า ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. เองก็ฝ่าฝืนและมิได้ปฏิบัติตามผู้นำ .. คือท่านมุอาวิยะฮ์ .. ผู้เป็นคอลีฟะฮ์อยู่ที่เมืองชาม ...

พูดแบบนี้กระมัง สุภาษิตจีนถึงได้กล่าวว่า “ลูกวัวเพิ่งเกิดจะไม่กลัวเสือ” ...
เพราะ .. เศาะหาบะฮ์ทุกท่าน พวกเราชาวซุนนะฮ์ยอมรับกันแล้วว่า เป็นคน “อาดิล” คือเป็นผู้มีคุณธรรม, ยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในคำสั่งของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ...
และการปฏิบัติตามผู้นำสำคัญอย่างไร ? หะดีษที่ผ่านมาคือสิ่งยืนยัน .. ซึ่งท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. เองในฐานะเป็นเศาะหาบะฮ์ท่านหนึ่งก็ซาบซึ้งดีที่สุดในเรื่องนี้ ...
อย่าลืมว่า ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. คือผู้ซึ่งรายงานหะดีษที่ว่า .. ผู้ใดที่แยกตนเองออกจากกลุ่มชน (ส่วนใหญ่ - ที่ปฏิบัติตามผู้นำในเรื่องที่ถูกต้อง) แม้เพียงคืบเดียว เขาผู้นั้นก็ต้องตายเยี่ยงพวกญาฮิลียะฮ์ ..
แล้วอย่างนี้จะให้เราเข้าใจว่า ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. พร้อมที่จะตายในสภาพของพวกญาฮิลียะฮ์ .. ด้วยการปฏิเสธและไม่ยอมปฏิบัติตามผู้นำ .. คือท่านมุอาวิยะฮ์ กระนั้นหรือ ? ...

หรือจะให้เข้าใจว่า ผู้ที่กล่าวหาท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. เองนั้นแหละเป็น “ผู้อวิชา” คือ ไม่รู้และไม่เข้าใจอะไรเลย ? ...

เพราะฉะนั้น การกล่าวหาเศาะหาบะฮ์ -- ไม่ว่าท่านใด – ว่า ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้นำ จึงถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก, มิใช่เป็นเรื่องเล็กน้อยดัง “ลูกวัวเพิ่งเกิด” กล่าวหาพล่อยๆ ...
ชะรอย “ลูกวัวเพิ่งเกิด” พวกนี้คงจะเคยชินกับสิ่งที่มีบางคนในสมัยนี้ “ป้อน ความเข้าใจผิดๆ” ให้ว่า การฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามผู้นำเป็นเรื่องธรรมดา, ไม่ใช่เป็นความผิดร้ายแรงอะไร ...
แสดงว่าทั้ง “ผู้ป้อน” และ “ผู้ถูกป้อน” ไม่รู้เรื่องอะไรพอๆกัน .. (คำว่า “ไม่รู้” นี่ ภาษาอาหรับเรียกว่าอะไรผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน) ...
ดูแต่เมื่อครั้งที่ท่านคอลีฟะฮ์อุมัรฺ อิบนุลค็อฏฏอบ ร.ฎ. สั่งปลดท่านคอลิด บิน อัล-วะลิด ร.ฎ. ออกจากการเป็นแม่ทัพในปี ฮ.ศ. 17 แล้วแต่งตั้งให้ท่านอบูอุบัยดะฮ์ บินอัล-ญัรฺเราะฮ์ ร.ฎ. เป็นแม่ทัพแทน .. นัยว่า เพื่อความเหมาะสม ...
แม้จะมองว่า ตนเองไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ท่านคอลิด บินอัล-วะลีด ร.ฎ. ก็ยอมรับคำสั่งปลดกลางอากาศนั้นโดยดุษฎี เพราะท่านเข้าใจความสำคัญของการ “ฏออัต” ผู้นำดีว่ามีความสำคัญเพียงไร ...

ถ้าเป็นในสมัยนี้ก็คงมีการปฏิวัติกันไปแล้ว เพราะท่านคอลิด บินอัล-วะลีด เป็นนักรบที่มีฝีมือเข้มแข็งมาก และยังมีอิทธิพลในกลุ่มทหารใต้บังคับบัญชามิใช่น้อย ...

อย่าลืมว่า ในเรื่องของการถือศีลอดและการออกอีด ที่บางท่านกล่าวหา ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ.ว่า ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามผู้นำ คือท่านมุอาวิยะฮ์ ร.ฎ.นั้น ...

ข้อเท็จจริงก็คือ ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. เอง ขณะนั้นพำนักอยู่ที่เมืองมะดีนะฮ์, ส่วนท่านคอลีฟะฮ์มุอาวิยะฮ์ ร.ฎ. พำนักอยู่ที่เมืองชาม ซึ่งเป็นคนละเมือง (ซึ่งถ้าเป็นในสมัยนี้ก็คนละประเทศ) กัน ...

ที่เมืองชาม มีท่านคอลีฟะฮ์มุอาวิยะฮ์เป็นผู้นำ, แต่ที่นครมะดีนะฮ์ มีท่านมัรฺวาน บิน อัล-หะกัม (หรือท่านสะอีด บิน อัล-อาศ .. คนใดคนหนึ่ง) เป็นผู้นำ ...

ผู้นำเมืองชามและผู้นำนครมะดีนะฮ์ในขณะนั้น จึงเป็นคนละคนกัน ...

ก่อนอื่น ผมจะขออธิบายเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ในสมัยนั้นสักเล็กน้อย เพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจข้อเท็จจริงได้แจ่มแจ้งขึ้น ...
ท่านมุอาวิยะฮ์ บินอบีย์ซุฟยาน ร.ฎ. ปฐมแห่งราชวงศ์อุมัยยะฮ์ ได้รับตำแหน่งเป็น “คอลีฟะฮ์” หรือ “ผู้นำโลกมุสลิม” โดยสมบูรณ์ ในเดือนรอบีอุลอาคิรฺ ปี ฮ.ศ.41 หลังจากที่ท่านอัล-หะซัน บิน อะลีย์ บินอบีย์ฏอลิบ ร.ฎ. ได้สละตำแหน่งให้แก่ท่าน ...
(จากหนังสือ “ตารีค อัฏ-ฏ็อบรีย์” เล่มที่ 3 หน้า 168) ...

ศูนย์กลางของโลกอิสลามในสมัยของท่านมุอาวิยะฮ์ ร.ฎ.ก็คือ “แคว้นชาม” หรือซีเรียในปัจจุบัน และท่านมุอาวิยะฮ์ ร.ฎ. ก็พำนักอยู่ที่นั่นตลอดมา ...
ส่วนท่านอัล-หะซัน บินอะลีย์ บิน อบีย์ฏอลิบ ร.ฎ. พำนักอยู่ที่เมืองกูฟะฮ์ซึ่งเป็นเมืองหรือจังหวัดหนึ่งในประเทศอิรักปัจจุบัน ...
หลังจากสละตำแหน่งให้ท่านมุอาวิยะฮ์แล้ว ท่านอัล-หะซันก็เดินทางออกจากเมืองกูฟะฮ์ไปยังเมืองมะดีนะฮ์ และสิ้นชีวิตที่นั่นในวันที่ 7 เดือนศอฟัรฺ ปี ฮ.ศ. 50 ...

ท่านมุอาวิยะฮ์ได้แต่งตั้งให้บุคคลต่างๆเข้าดำรงตำแหน่ง “ผู้นำ” (اَلْوَالِىْ) ในเมืองที่สำคัญๆ ดังนี้ ...
1. เมืองกูฟะฮ์ .. ในช่วงแรก ท่านมุอาวิยะฮ์ได้แต่งตั้งให้ท่านอับดุลลอฮ์ บินอัมรฺ บินอัล-อาศ เป็นเจ้าเมืองกูฟะฮ์แทนท่านอัล-หะซัน บินอะลีย์ ร.ฎ., ต่อมาก็ได้ถอดท่านอับดุลลอฮ์ออกจากตำแหน่ง แล้วแต่งตั้งท่านอัล-มุฆีเราะฮ์ บินชุอฺบะฮ์ เป็นเจ้าเมืองแทน

2. เมืองบัศเราะฮ์ .. ในช่วงแรก ได้แต่งตั้งให้ท่านบุชรฺ บิน อบีย์อัรฺฏออ์ เป็นเจ้าเมือง, ต่อมาก็ได้ถอดท่านบุชรฺออกและแต่งตั้งผู้นำคนใหม่คือท่านซะมุเราะฮ์ บินญุนดุบ และท่านอับดุลลอฮ์ บินอัมรฺ บินฆ็อยลานเป็นเจ้าเมืองต่อมาตามลำดับ ...

3. เมืองมะดีนะฮ์ .. ในปี ฮ.ศ. 42 ได้แต่งตั้งให้ท่านมัรฺวาน บิน อัล-หะกัมเป็นผู้ปกครองเมืองมะดีนะฮ์ จนถึงปี ฮ.ศ. 49 ก็ถอดท่านมัรฺวานออก แล้วแต่งตั้งให้ท่านสะอีด บินอัล-อาศ เป็นเจ้าเมืองมะดีนะฮ์ต่อไป ...

4. เมืองมักกะฮ์ .. ในปี ฮ.ศ. 42 ได้ถอดท่านคอลิด บินอัล-อาศ บินฮิชาม ซึ่งเป็นเจ้าเมืองคนเก่าออก แล้วแต่งตั้งให้ท่านอับดุลลอฮ์ บินอัล-หาริษ บินเนาฟัล เป็นผู้ครองเมืองมักกะฮ์ต่อไป ...

5. เมืองมิศรฺ หรือประเทศอียิปต์ในปัจจุบัน ได้แต่งตั้งให้ท่านอัมรฺ บินอัล-อาศ ร.ฎ.เป็นเจ้าเมือง จนเมื่อท่านอัมรฺ สิ้นชีวิต ก็ได้แต่งตั้งให้ท่านอับดุลลอฮ์ บุตรของท่านอัมรฺ เป็นเจ้าเมืองมิศรฺแทนบิดา ...

จะเห็นได้ว่า แม้ “ศูนย์กลางอำนาจ” ของอิสลามในขณะนั้นคือแคว้นชาม, .. และท่านมุอาวิยะฮ์ซึ่งเป็น “คอลีฟะฮ์” หรือผู้นำสูงสุดของโลกอิสลามจะพำนักอยู่ที่นั่นก็จริง ...

แต่ท่านมุอาวิยะฮ์ก็ได้แต่งตั้งและมอบหมายให้บุคคลอื่นๆ ทำหน้าที่เป็นเจ้าเมืองในเมืองสำคัญทั้งหลายที่เป็นเมืองขึ้นของแคว้นชามแทนตัวท่าน ดังกล่าวมาแล้ว ...

และเมืองต่างๆเหล่านั้น ตามแผนที่โลกในปัจจุบัน ก็ล้วนกลายเป็นประเทศไปแล้ว .. หรือไม่ก็เป็นจังหวัดสำคัญที่รวมอยู่ใน “ประเทศอื่น” ทั้งสิ้น ...

แคว้นชาม ก็คือประเทศซีเรีย, จอร์แดน, เลบานอน และปาเลสตินในปัจจุบัน ..

เมืองกูฟะฮ์และเมืองบัศเราะฮ์ ก็เป็นเมืองสำคัญของประเทศอิรักในปัจจุบัน ...

เมืองมะดีนะฮ์และมักกะฮ์ ขณะนั้นก็ตั้งอยู่ในแคว้นหิญาซ ซึ่งอยู่ห่างจากแคว้นชามมาก, และประเทศสะอุดีอาระเบียในปัจจุบันก็คือส่วนหนึ่งของแคว้นหิญาซ ...

เมืองมิศรฺ ก็คือประเทศอียิปต์ในปัจจุบัน ...

สรุปแล้ว เมืองต่างๆในอดีต จึงมี “ผู้นำ” เป็นของตนเองอยู่แล้วทั้งสิ้น ...

ทีนี้ เรามาว่ากันถึงเรื่องของการดูเดือนเพื่อกำหนดวันถือศีลอดและวันออกอีด ว่า ถ้าจะว่ากันตามหลักฐานแล้ว จะเป็นอำนาจหน้าที่ของใคร ? ...

เป็น “อำนาจหน้าที่” ของคอลีฟะฮ์ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของโลกอิสลาม, .. หรือเป็น ”สิทธิ” ของผู้นำในแต่ละเมือง (ในขณะนั้น) หรือแต่ละประเทศ (ในขณะนี้) ? ...

จากเนื้อหาของหะดีษกุร็อยบ์ และจากคำพูดของท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ.ที่อ้างเหตุผล –ในการปฏิเสธที่จะตามการเห็นเดือนของท่านมุอาวิยะฮ์ที่เมืองชาม -- ว่า ...

เป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม! ...

ข้ออ้างดังกล่าวนี้ จึงน่าจะเป็นหลักฐานชี้ชัดว่า การดูเดือนเพื่อกำหนดวันถือศีลอดและออกอีด -- ตามคำสั่งของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลับฮิวะซัลลัม -- นั้น ...

เป็นสิทธิและหน้าที่ของ “อะมีรฺ” หรือผู้นำของแต่ละเมือง, มิใช่เป็นอำนาจเบ็ดเสร็จหรืออำนาจรวบยอดของผู้ดำรงตำแหน่ง “คอลีฟะฮ์” ที่อยู่ต่างเมือง! ...

และผู้เป็นคอลีฟะฮ์ ก็ “ไม่มีสิทธิ์” ไปบังคับ “อะมีรฺ” หรือผู้นำในเมืองขึ้นใดๆของตน ให้ถือศีลอดและออกอีดตามการเห็นเดือนในเมืองที่คอลีฟะฮ์พำนักอยู่ได้ ...

ดังนั้น การที่ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. ซึ่งอยู่ที่เมืองมะดีนะฮ์ ได้ยืนยันที่จะดูเดือนเสี้ยวในเมืองของตนเอง, เพื่อจะได้กำหนดวันออกอีดของตนเอง, โดยปฏิเสธที่จะตามการเห็นเดือนของท่านมุอาวิยะฮ์ที่เมืองชาม .. จึงเป็นการกระทำไปตาม “สิทธิ” อันพึงมีพึงได้ของตน ตามคำสั่งของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ...

มิใช่ท่านฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามผู้นำ, . อย่างที่ “ผู้ไม่รู้” บางคนกล่าวหาท่านพล่อยๆชนิดไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ...



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น