อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

จำเป็นต้องอ่านบิสมิลลาฮฺก่อนอ่านฟาติหะฮฺ


กรณีการอ่านบิสมิลลาฮฺก่อนอ่านฟาติหะฮฺถือว่าเป็นรุก่นในละหมาด

 เพราะ   "บิสมิลลาฮฺ" ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟาติหะฮฺ

ตามหลักฐานดังนี้



حَدَّثَنَا عَلِيُّ بْنُ حُجْرٍ السَّعْدِيُّ، حَدَّثَنَا عَلِيُّ بْنُ مُسْهِرٍ، أَخْبَرَنَا الْمُخْتَارُ بْنُ فُلْفُلٍ، عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ، حوَحَدَّثَنَا أَبُو بَكْرِ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ، - وَاللَّفْظُ لَهُ - حَدَّثَنَا عَلِيُّ بْنُ مُسْهِرٍ، عَنِ الْمُخْتَارِ، عَنْ أَنَسٍ، قَالَ بَيْنَا رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ذَاتَ يَوْمٍ بَيْنَ أَظْهُرِنَا إِذْ أَغْفَى إِغْفَاءَةً ثُمَّ رَفَعَ رَأْسَهُ مُتَبَسِّمًا فَقُلْنَا مَا أَضْحَكَكَ يَا رَسُولَ اللَّهِ قَالَ ‏"‏ أُنْزِلَتْ عَلَىَّ آنِفًا سُورَةٌ ‏"‏ ‏.‏ فَقَرَأَ ‏"‏ بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ ‏{‏ إِنَّا أَعْطَيْنَاكَ الْكَوْثَرَ * فَصَلِّ لِرَبِّكَ وَانْحَرْ * إِنَّ شَانِئَكَ هُوَ الأَبْتَرُ‏}‏ ‏"‏ ‏.‏ ثُمَّ قَالَ ‏"‏ أَتَدْرُونَ مَا الْكَوْثَرُ ‏"‏ ‏.‏ فَقُلْنَا اللَّهُ وَرَسُولُهُ أَعْلَمُ ‏.‏ قَالَ ‏"‏ فَإِنَّهُ نَهْرٌ وَعَدَنِيهِ رَبِّي عَزَّ وَجَلَّ عَلَيْهِ خَيْرٌ كَثِيرٌ هُوَ حَوْضٌ تَرِدُ عَلَيْهِ أُمَّتِي يَوْمَ الْقِيَامَةِ آنِيَتُهُ عَدَدُ النُّجُومِ فَيُخْتَلَجُ الْعَبْدُ مِنْهُمْ فَأَقُولُ رَبِّ إِنَّهُ مِنْ أُمَّتِي ‏.‏ فَيَقُولُ مَا تَدْرِي مَا أَحْدَثَتْ بَعْدَكَ ‏"‏ ‏.‏ زَادَ ابْنُ حُجْرٍ فِي حَدِيثِهِ بَيْنَ أَظْهُرِنَا فِي الْمَسْجِدِ ‏.‏ وَقَالَ ‏"‏ مَا أَحْدَثَ بَعْدَكَ ‏"‏  


            จากท่าน อนัส (บินมาลิก) รายงานว่า
" ขณะที่ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม อยู่กับพวกเราในวันหนึ่ง ท่านได้งีบหลับไปชั่วครู่ หลังจากนั้นท่านได้เงยศีรษะของท่านขึ้นมาแล้วยิ้ม พวกเราถามว่า อะไรทำให้ท่านหัวเราะหรือ โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ ท่านตอบว่า ซูเราะห์หนึ่งได้ถูกประทานลงมาให้ฉันสักครู่นี่เอง 

แล้วท่านก็อ่าน บิสมิ้ลลาฮิรเราะห์มานนิรร่อฮีม อินนาอะอ์ฏอยนากัลเกาษัร ฟะศ็อลลิลิร๊อบบิก่าวันฮัร อินน่าซานิอะกะฮุวัลอับตัร 

 หลังจากนั้นท่านได้ถามว่า พวกเจ้าทั้งหลายรู้ไหมว่า อัลเกาษัร คืออะไร พวกเราตอบว่า อัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์เท่านั้นที่รู้ดียิ่ง ท่านกล่าวว่า มันคือแม่น้ำซึ่งองค์อภิบาลของฉันผู้ทรงเกียรติและสูงส่งสัญญาจะมอบให้แก่ฉัน ซึ่งมีความดีอย่างมากมาย มันคือแหล่งน้ำที่ประชาชาติของฉันจะกลับไปพบกับฉันในวันกิยามะห์ ณ.ที่นี้ ภาชนะของมันมีจำนวนเท่ากับดวงดาว ขณะนั้นจะมีคนกลุ่มหนึ่งถูกกันออกจากพวกเขา (ไม่ให้เข้ามาหาฉันที่แหล่งน้ำ) ดังนั้นฉันจึงกล่าวว่า โอ้องค์อภิบาลของฉันพวกเขาคือประชาชาติของฉัน พระองค์กล่าวว่า เจ้าไม่รู้หรอกว่าพวกเขาได้ทำสิ่งใหม่ในศาสนาหลังจากเจ้าจากพวกเขามา"

(มุสลิม/หมวดที่4/บทที่14/ฮะดีษเลขที่ 0790)



ซึ่งอัล-กุรอาน สูเราะฮฺ อัล-ฟาติหะฮฺ  มีทั้งหมด 7 อายะฮ์ รวม  بِسْمِ الله الرحمن الرحِيْمِ ด้วย ดังนี้

بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَٰنِ الرَّحِيمِ ( 1 ) 

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

الْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعَالَمِينَ ( 2 ) 

การสรรเสริญทั้งหลายนั้น เป็นสิทธิของอัลลอฮฺผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก

الرَّحْمَٰنِ الرَّحِيمِ ( 3 ) 

ผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

مَالِكِ يَوْمِ الدِّينِ ( 4 ) 

ผู้ทรงอภิสิทธิ์แห่งวันตอบแทน

إِيَّاكَ نَعْبُدُ وَإِيَّاكَ نَسْتَعِينُ ( 5 ) 

เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกข้าพระองค์เคารพอิบาดะฮฺ และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกข้าพระองค์ขอความช่วยเหลือ

اهْدِنَا الصِّرَاطَ الْمُسْتَقِيمَ ( 6 ) 

ขอพระองค์ทรงแนะนำพวกข้าพระองค์ซึ่งทางอันเที่ยงตรง

صِرَاطَ الَّذِينَ أَنْعَمْتَ عَلَيْهِمْ غَيْرِ الْمَغْضُوبِ عَلَيْهِمْ وَلَا الضَّالِّينَ ( 7 ) 

(คือ) ทางของบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงโปรดปราณแก่พวกเขา มิใช่ในทางของพวกที่ถูกกริ้ว และมิใช่ทางของพวกที่หลงผิด



             ฉะนั้นเมื่อไม่อ่านบิสมิลลาฮฺก่อนฟาติหะฮฺ การละหมาดนั้นถือว่าใช้ไม่ได้นั่นเอง ส่วนกรณีอิมามไม่อ่านบิสมิลลาฮฺก่อนอ่านฟาติหะฮฺ การละหมาดของอิมามใช้ไม่ได้ ส่วนกรณีที่เป็นมะมูมนั้นถือว่าละหมาดใช้ได้ ซึ่งอยู่ในกรณีเดียวกันกับอิมามไม่มีน้ำละหมาด แล้วเกินนำละหมาด เช่นนี้มะมูมละหมาดใช้ได้ ส่วนอิมามต้องละหมาดใหม่

               สำหรับกรณีอ่านบิสมิลลาฮฺ แต่อ่านเสียงค่อยนั้น เป็นอีกกรณีหนึ่ง การอ่านบิสลาฮฺเสียงค่อยเช่นนี้เป็นแบอย่างจากท่านรสูลุลลอฮ์ ศ้อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม นั้นเอง

حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ الْمُثَنَّى، وَابْنُ، بَشَّارٍ كِلاَهُمَا عَنْ غُنْدَرٍ، قَالَ ابْنُ الْمُثَنَّى حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ جَعْفَرٍ، حَدَّثَنَا شُعْبَةُ، قَالَ سَمِعْتُ قَتَادَةَ، يُحَدِّثُ عَنْ أَنَسٍ، قَالَ صَلَّيْتُ مَعَ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم وَأَبِي بَكْرٍ وَعُمَرَ وَعُثْمَانَ فَلَمْ أَسْمَعْ أَحَدًا مِنْهُمْ يَقْرَأُ ‏{‏ بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ‏}

                  จากท่านอนัส (บินมาลิก) รายงานว่า
 "ฉันเคยละหมาดพร้อมกับท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ท่านอบูบักร์,ท่านอุมัร และท่านอุสมาน โดยฉันไม่ได้ยินผู้ใดจากท่านเหล่านี้ อ่าน บิสมิ้ลลาฮ์ฮิรเราะห์มานนิรรอฮีม (ด้วยเสียงดัง)"
(มุสลิม/หมวดที่4/บทที่13/ฮะดีษเลขที่ 0786)



والله أعلم بالصواب

✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น