อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

ผู้ใดแสวงหาอัลลอฮฺ เขาก็จะได้พบพระองค์




ดังเรื่องราวของชายชาวออสเตรเลียคนหนึ่ง ซึ่งอัลลอฮฺได้ส่งบททดสอบไปให้เขาได้ใคร่ครวญชีวิตมากมาย แล้วชายคนนี้ก็ค้นพบสัจธรรม

รูวเบน หรือ อบูบักร(หลังเข้ารับอิสลาม) ได้เริ่มค้นหาสัจธรรมแห่งชีวิต ในช่วงปีหนึ่งที่เขาได้เข้ามหาวิทยาลัย ปีนั้นได้เกิดเหตุการณ์ต่างๆที่ทำให้เขาเสียใจอย่างมาก เช่นว่า พ่อแม่ของเขาหย่าขาดจากกันในปีนั้น สุนัขที่เขาเลี้ยงตาย เพื่อนของเขาเสียชีวิต และตัวเขาเองก็ได้ประสบอุบัติเหตุทางถนนสองครั้งซ้อนภายในหนึ่งสัปดาห์

เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้ทำให้เขามองหาจุดหมายในชีวิต เขาต้องการรู้คำตอบว่า เขาเกิดมาเพื่ออะไร เขามาอยู่บนโลกนี้ทำไม อะไรคือเป้าหมายของชีวิตมนุษย์ ฯลฯ

เขาเริ่มศึกษาศาสนาคริสต์นิกายต่างๆ ผู้คนมากมายต่างเข้ามาบอกเขาว่า พระเจ้ารักเขา แต่เขาไม่เข้าใจ หากพระเจ้ารักเขา เหตุใดสุนัขที่เขาเลี้ยงมาถึงต้องตายด้วย เขาพูดติดตลก พี่น้องผู้ศรัทธาที่มานั่งฟังเรื่องราวของเขาต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะ

เขามองหาสัจธรรมในไบเบิล ในนิกายต่างๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ค้างคาใจของเขาก็คือ ผู้คนนั้นมักจะตอบคำถามของเขาจากเหตุผลส่วนตัว จากความคิดเห็น มากกว่าจะเปิดไบเบิล แล้วชี้ให้เขาดูคำตอบของเรื่องนั้นๆ เขารู้สึกผิดหวัง จึงเดินทางค้นหาสัจธรรมในศาสนาอื่นๆต่อไป

เขาได้ศึกษาศาสนายูดาย แต่เขาก็ยังไม่ประทับใจกับศาสนานั้น

เขามีเพื่อนที่ทำงานพาร์ทไทม์ซึ่งนับถือศาสนฮินดู เขาจึงถามคำถามเพื่อนของเขาในเชิงว่า ทำไมพระเจ้าถึงต้องมีหัวเป็นช้างด้วยล่ะ เป็นหัวสิงโตหรืออย่างอื่นไม่ได้เหรอ แต่เขาก็ไม่ได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจเช่นเดิม

เขาเริ่มศึกษาศาสนาพุทธ และคิดว่าศาสนานี้จะต้องเป็นศาสนาที่ถูกต้อง แต่เมื่อศึกษาแล้ว เขาก็พบว่า มันไม่ใช่ศาสนาที่นับถือพระเจ้า เขาจึงเลิกล้มความคิดที่จะเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ

วันหนึ่ง เพื่อนคริสเตียนของเขาก็มาถามเขาว่า “บอกฉันมาซิ ว่านายศึกษาศาสนาไหนมาแล้วบ้าง”

แล้วเขาก็ร่ายรายชื่อไปทั้งหมด เพื่อนของเขาก็ถามว่า “อ้าว! แล้วอิสลามล่ะ นายไม่ลองศึกษาดูเหรอ”

เขาก็ตอบไปว่า “อิสลามเนี่ยนะ ศาสนาของพวกก่อการร้ายน่ะ ไม่เอาด้วยหรอก”

แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็พบว่าตัวเองเดินเข้าไปอยู่ในมัสยิด เห็นมุสลิมีนท่านหนึ่งก้มลงสุญูด ชั่ววินาทีนั้นเขาเดินสวมรองเท้าเหยียบไปบนพรม คิดในใจว่าจะไปเหยียบคอของมุสลิมีนท่านนั้น

ปรากฎว่ามีพี่น้องอีกท่านหนึ่งมาพบเขากำลังเดินเข้ามาในมัสยิด ก็เข้ามาถามไถ่เขาด้วยมารยาทที่ดีงาม ต้อนรับเขาอย่างจริงใจ ซึ่งเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน เขากล่าวติดตลกอีกว่า

“ผมต้องลุกไปห้องน้ำทุกๆห้านาที เพราะพี่น้องมุสลิมพยายามเติมน้ำชาให้ผมและร้องให้ผมดื่มมันอยู่ร่ำไป บิสกิตที่นำมาเสิร์ฟก็อร่อย ผมกลับไปที่มัสยิดอยู่เรื่อยๆก็เพราะบิสกิตนั่นเอง แต่ก็มีเหตุผลเรื่องศาสนาเข้ามาเกี่ยวด้วย”

แล้วพี่น้องผู้ร่วมฟังบรรยายในวันนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นอีกครั้ง

เขากล่าวว่า เขาประทับใจที่เมื่อใดก็ตามที่เขาถามคำถามเกี่ยวกับอิสลาม พี่น้องที่ตอบคำถามเขาก็จะหยิบอัลกุรอานออกมา แล้วเปิดให้เขาดูคำตอบ เขาเริ่มสงสัยว่าเหตุใดพวกเขาจึงไม่ตอบตามความเห็นส่วนตัวบ้าง พี่น้องท่านนั้นตอบว่า

“จะให้เราแสดงความคิดเห็นส่วนตัวได้อย่างไร ในเมื่อโองการเหล่านี้เป็นวจนะของพระผู้เป็นเจ้า”

เขาบอกอีกว่า ประโยคนั้นทำให้เขาต้องสะดุดและฉุกคิด

คืนหนึ่ง เขาได้คุยกับพี่น้องมุสลิมชาวออสซี่สองคนที่มัสยิด พวกเขาได้ให้อัลกุรอานแก่เขาเพื่อไปอ่านที่บ้าน คืนนั้นเขานั่งอยู่บนเตียง จุดเทียน และเปิดหน้าต่าง คืนวันนั้นเป็นคืนฤดูร้อนที่อากาศกำลังดี เขานั่งอยู่ตรงนั้นคิดในใจว่า

“นี่มันสวยงามและศักดิ์สิทธิ์จริงๆ”

คืนนั้นเขารู้สึกว่าได้ถึงเวลาแล้ว “ผมรู้สึกเหมือนยืนอยู่ตรงขอบหน้าผา ผมพร้อมแล้วที่จะโดดลงไปสู่อิสลาม เพียงแต่ต้องการใครสักคนให้ผลักผมลงไป”

เขากล่าวว่า “ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ผมเริ่มต้นอ่านอัลกุรอานและคิดว่า มันช่างสวยงามจริงๆ ผมรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ผมยังรู้สึกเหมือนขาดๆอะไรไปอยู่ ผมต้องการแรงผลักดันอีกสักหน่อย ผมขยับขึ้นนั่ง ถืออัลกุรอานอยู่ในมือแล้วพูดว่า ..

“โอ้ พระเจ้า โปรดประทานมาซึ่งสัญญาณหนึ่งเถิด ขอให้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนอย่างฟ้าผ่า (แต่คืนนั้นเป็นคืนฤดูร้อน) ถ้าพระองค์ให้มีฟ้าผ่า ผมก็เป็นบ่าวของพระองค์ ผมเป็นของพระองค์ แต่ถ้าฟ้าผ่านั้นมากเกินไป ขอให้เกิดเสียงดังเปรี้ยงหรืออะไรก็ได้ หรือจะเป็นแสงไฟวาบ หรืออาจจะเป็นเทียน ผมจะประทับใจมากเลยหากพระองค์ให้แสงเทียนสูงขึ้นสองเมตร เหมือนในหนัง!”

แล้วผมก็นั่งรออยู่อย่างนั้น…”

รูวเบนกล่าวต่อว่า “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ! ขนาดว่าผมไม่สามารถจะบอกว่าเสียงเอี๊ยดอ๊าดตามผนังนั้นเป็นสัญญาณ ผมนั่งอยู่ตรงนั้น รู้สึกผิดหวังและโกรธ

ผมก็ประมาณว่า ‘พระเจ้า ผมถามพระองค์ พระองค์เป็นผู้ทรงพลังอำนาจ ไม่เป็นไร ผมจะให้โอกาสพระองค์อีกครั้ง’

ผมคิดว่าผมขอมากไป ฟ้าผ่าในช่วงฤดูร้อนเนี่ยนะ! ‘โอเค อาจจะเป็นแสงไฟสะท้อนจากรถสักคันหนึ่งที่ผ่านไป – มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาใช่ไหม แต่อย่างน้อยผมจะได้รู้ว่านั่นเป็นสัญญาณสำหรับผม’ ผมลดสัญญาณลงมา”

“ ซุบฮานัลลอฮฺ” เขากล่าวพร้อมส่ายหัวอย่างครุ่นคิด

“ผมนั่งอยู่ตรงนั้นและคิดว่า ไม่เป็นไร.. ผมมองไปรอบด้าน ไม่มีอะไรเลย! ทุกอย่างเงียบเชียบ ผมแทบคิดว่าผมอยู่ในอวกาศ แม้แต่มดสักตัวยังไม่ทำซุ่มเสียง ขณะนั้น ความหวังผมพังทลายไปหมดสิ้น ผมคิดว่าตอนนั้นแหละ เวลาที่ใช่ เวลานี้ล่ะ แต่แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น!”

“ผมนั่งอยู่ตรงนั้น ผิดหวังอย่างมาก คิดว่า ผมคงจะควรอ่านอัลกุรอานต่อไป

ผมมองลงไปที่อัลกุรอาน แล้วก็เปิดหน้าต่อไป โองการต่อมานั้นกระทบกระเทือนจิตใจผมเป็นที่สุด: สำหรับผู้ที่ถามหาสัญญาณทั้งหลาย ข้าไม่ได้ประทานลงมาเพียงพอแล้วดอกหรือ? มองไปรอบๆสิ มองไปยังฟากฟ้า ต้นไม้ น้ำ นี่คือสัญญาณแก่ผู้ที่มีความรู้”


إِنَّ فِي خَلْقِ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضِ وَاخْتِلاَفِ اللَّيْلِ وَالنَّهَارِ وَالْفُلْكِ الَّتِي تَجْرِي فِي الْبَحْرِ بِمَا يَنفَعُ النَّاسَ وَمَا أَنزَلَ اللّهُ مِنَ السَّمَاء مِن مَّاء فَأَحْيَا بِهِ الأرْضَ بَعْدَ مَوْتِهَا وَبَثَّ فِيهَا مِن كُلِّ دَآبَّةٍ وَتَصْرِيفِ الرِّيَاحِ وَالسَّحَابِ الْمُسَخِّرِ بَيْنَ السَّمَاء وَالأَرْضِ لآيَاتٍ لِّقَوْمٍ يَعْقِلُونَ
“แท้จริงในการสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และสับเปลี่ยนกลางคืนและกลางวัน และเรือที่วิ่งอยู่ในทะเล พร้อมด้วยสิ่งที่อำนวยประโยชน์แก่มนุษย์

และน้ำที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้หลั่งลงมาจากฟากฟ้า แล้วทรงให้แผ่นดินมีชีวิตชีวาขึ้น ด้วยน้ำนั้นหลังจากที่มันตายไปแล้ว และได้ทรงให้สัตว์แต่ละชนิด แพร่สะพัดไปในแผ่นดิน

และในการให้ลมเปลี่ยนทิศทาง และให้เมฆซึ่งถูกกำหนดให้บริการ(แก่โลก) ผันแปรไประหว่างฟากฟ้าและแผ่นดินนั้น แน่นอนล้วนเป็นสัญญาณนานาประการแก่กลุ่มชนที่ใช้ปัญญา”

[ซูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ :164]

“ผมนั่งอยู่ตรงนั้น กระวนกระวายอย่างมาก ผมปิดอัลกุรอาน แล้วดึงผ้าห่มมาปิดตัวผม ผมตื่นเต้นจนแทบเสียสติ เพราะนี่ล่ะ นี่ล่ะ(สัญญาณ) คุณเข้าใจไหม?”

“ในเช้าวันรุ่งขึ้น ผมเดินทางไปมัสยิดโดยตรง และบอกพวกเขาว่าผมอยากจะเข้ารับอิสลาม เพราะผมได้รับสัญญาณของผมแล้ว ผมได้รับมันแล้ว ทั้งๆที่มันไม่ใช่สัญญาณของผมหรอก ผมไม่ควรจะยโสโอหังถือว่าผมมีสัญญาณ ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่สิ่งรอบตัวผมนี้หรือ ที่เป็นสัญญาณทั้งหลาย ว่าพระผู้อภิบาลนั้นมีอยู่จริง!”

รูวเบน หรือ อบูบักร เข้ารับอิสลาม ในวันแรกของรอมฎอน รายล้อมด้วยสักขีพยานมากมาย

และนี่เป็นเพียงเรื่องราวมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอๆรอบๆตัวเรา เพียงแต่เราทั้งหลายจะใส่ใจใคร่ครวญมันหรือไม่ ก็เท่านั้น

การที่ท่านได้มาอ่านเรื่องราวของมุสลิมใหม่ท่านนี้ ก็ถือเป็นกำหนดการณ์หนึ่งของอัลลอฮฺ ที่พระองค์ได้คำนวณไว้แล้ว แน่นอน ทุกๆอย่างนั้นเกิดขึ้นด้วยพระประสงค์ของพระองค์ และจะเป็นไปตามที่พระองค์ประสงค์อย่างแม่นยำ

อัลลอฮุอักบัร นี่ไม่ใช่สัญญาณสำหรับกลุ่มชนผู้มีความรู้หรอกหรือ

ขออัลลอฮฺตอบแทนความดีที่มาของเรื่องราวดีๆ :
Zimmerinhere@ Youtube.com, great-message.blogspot.ca

จุด คิด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น