อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

จากปากชาวโรฮิงญา

Rohingya

                     
                          เจ้าหน้าที่พบตัวชาวโรฮิงญาที่อพยพเข้ามาทางจังหวัดสตูลเพิ่มอีก 4 คน ที่ถูกช่วยเหลือไว้ในหมู่บ้านมุสลิม หลังจากที่พลัดหลงอยู่ในป่าบริเวณเทือกเขาแก้ว เขตรอยต่อจังหวัดสงขลา-สตูล  ชี้ ยังมีชาวโรฮิงญาอีกนับ 200 ชีวิตที่ยังคงพลัดหลงอยู่ในป่า

          สืบเนื่องจากความคืบหน้าคดีมุสลิมโรฮิงญา 3 กลุ่ม ที่ได้รับการช่วยเหลือระหว่างถูกนำมาพักพิงไว้ในพื้นที่ ต.ปาดังเบซาร์ และ ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา เพื่อรอการผลักดันกลับสู่ประเทศพม่า หลังจากการลักลอบนำพาเข้ามาและให้ที่พักพิงโดย นายประสิทธิ์ หรือ เบต เหล็มเหล๊ะ อดีตรองนายกเทศมนตรี เมืองปาดังเบซาร์ และนายจามานาดิน สัญชาติพม่า ที่ยังคงหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่อยู่ ล่าสุดวานนี้ (16 มกราคม) เจ้าหน้าที่ก็ได้รับแจ้งจากเจ้าของปอเนาะเราฎอตุ้ลอูลูม ซึ่งอยู่บ้านม่วงค่าย ตำบลฉลุง ว่าพบชาวโรฮิงญาอีก 4 คนในสภาพอิดโรย จากการพลัดหลงอยู่ในป่าบริเวณเทือกเขาแก้ว เขตรอยต่อจังหวัดสงขลา-สตูล โดยเบื้องต้นเจ้าของปอเนาะเราฎอตุ้ลอูลูม ได้ให้การช่วยเหลือโดยนำอาหาร เสื้อผ้า และที่พักชั่วคราวให้แก่คนเหล่านั้นแล้ว

          หลังจากที่เจ้าหน้าที่เดินทางไปรับชาวโรฮิงญาเหล่านั้นมา ก็ได้สอบถาม นายมูฮัมหมัด อาลอ อายุ 26 ปี ซึ่งสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ และได้ความว่า เขากับเพื่อน ๆ ชาย หญิง และเด็ก อีกนับ 200 ชีวิต ได้ลงเรือเดินทางมาจากพม่า และได้มาขึ้นฝั่งที่จังหวัดสตูล เพราะต้องการจะเดินทางได้หาญาติที่มาเลเซีย จากนั้นได้แยกย้ายกันเดินตามป่าเขาเป็นเวลา 7 วัน โดยอาศัยเพียงผลไม้และน้ำประทังชีวิต ขณะที่กำลังหลงทางก็ได้ยินเสียง เสียงอาซานเชิญชวนละหมาด จึงได้เดินตามเสียงมาจนพบกับหมู่บ้านชาวมุสลิม ด้านคนอื่น ๆ ตอนนี้ก็กระจายกันพลัดหลงอยู่ในป่า

          ส่วนที่อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา วันนี้ครูและนักเรียน รวมทั้งผู้นำท้องถิ่น ก็ยังคงนำข้าวกล่อง น้ำดื่ม และเสื้อผ้า มามอบให้แก่ชาวโรฮิงญาที่ถูกควบคุมตัวที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองอำเภอสะเดา และในช่วงบ่ายวันนี้ มีรายงานว่า ผู้ที่ถูกออกหมายจับ 1 ใน 3 คน จะเข้ามอบตัวที่สถานีตำรวจภูธรปาดังเบซาร์

          ข้อมูลจากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดระนอง ระบุว่าจากสถิติชาวโรฮิงญาลักลอบเข้าประเทศไทย ที่จับกุมได้ตั้งแต่ปี 2549 - 2554 พบว่ามีจำนวนหลักพันคนขึ้นไปในแต่ละปี มีเพียงปี 2552 ที่มีเพียง 93 คน ซึ่งยังไม่นับรวมชาวโรฮิงญาที่เล็ดลอดการจับกุมไปได้ และข้อมูลจากจังหวัดอื่น

          โดยแหล่งข่าวชาวโรฮิงญา เปิดเผยกับทีมข่าวว่า เป็นที่สังเกตว่าในช่วงนี้สถานการณ์กลุ่มโรฮิงญาอพยพออกจากพม่ามากขึ้น เพราะในอีก 2 ปี จะมีการเลือกตั้งใหม่ทำให้พม่ามีประชาธิปไตยเกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้ยังออกมาไม่ถึงครึ่ง ซึ่งปัญหาเกิดจากพม่าไม่ยอมรับชาวโรฮิงญาเป็นพลเมือง จึงถูกกดดันจากทหารพม่าให้อยู่ในประเทศอย่างยากลำบาก พวกเขาจึงอยากให้สหประชาชาติ เข้ามาดูแลความปลอดภัยให้อยู่ร่วมกันในพม่าได้โดยไม่ต้องหนีออกนอกประเทศ

          สำหรับ ชาวโรฮิงญา นั้น พวกเขาเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่นับถือศาสนาอิสลามในประเทศพม่า ที่ส่วนมากสืบเชื้อสายมาจากชาวอาหรับ เปอร์เซีย และปาทาน มีถิ่นอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ หรือที่สมัยโบราณเรียกว่ารัฐอาระกัน ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของพม่า ชาวโรฮิงญาในพม่านั้นถือเป็นชนกลุ่มน้อย ที่เรียกได้ว่าถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐบาลพม่ามากที่สุด แม้ว่าชาวโรฮิงญาเหล่านี้จะเกิดบนผืนแผ่นดินพม่า แต่พวกเขากลับถูกรัฐบาลพม่าปฏิเสธที่จะให้สัญชาติพม่า และถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายจากเหล่าทหาร พวกเขาถึงกับกล่าวว่าสิ่งที่ทหารพม่าได้กระทำกับพวกเขานั้นช่างราวกับพวกเขาไม่ใช่คน

          จากคำบอกเล่าของกลุ่มชาวโรฮิงญา ผู้ที่ถูกจับกุมได้ในประเทศไทย พวกเขาได้เผยความรู้สึกถึงประสบการณ์ในอดีตว่า นับตั้งแต่ที่ชาวโรฮิงญาถูกปกครองโดยรัฐบาลของพม่า พวกเขาเป็นชนกลุ่มน้อยเพียงกลุ่มเดียวที่ไม่เคยต่อสู้หรือเรียกร้องอะไรจากรัฐบาลหรือประเทศ แน่นอนว่าพวกเขาภูมิใจที่ได้เกิดที่รัฐอาระกัน มีความรักและความผูกพันต่อแผ่นดินเกิด แต่แผ่นดินที่พวกเขาเกิดกลับไม่ต้อนรับพวกเขาเลย สิ่งที่พวกเขาต้องการมีเพียง “สิทธิความเป็นคน” เท่าที่ประชาชนชาวพม่าคนหนึ่งจะพึงมีเพียงเท่านั้น ซึ่งพวกเขาก็ไม่เคยได้รับมัน กลับกันรัฐบาลพม่ากลับทำราวกับพวกเขาไม่มีตัวตนในประเทศ และรังเกียจพวกเขาเป็นที่สุด

          นอกจากกลุ่มทหาร พวกเขายังถูกชาวพม่าดูถูกเหยียดหยามและทำร้ายร่างกาย ไม่สามารถสมัครงานที่ไหนได้ พวกเขาไม่มีสิทธิในด้านที่ดิน การศึกษา หรือสถานพยาบาลใด ๆ ในพม่า ทั้งยังถูกกีดกันทางด้านการเดินทาง โดยเฉพาะการเดินทางข้ามเขตที่ไม่สามารถกระทำได้เลย แถมพืชพันธุ์ในหมู่บ้านก็ถูกทหารเข้ามาแย่งเก็บเกี่ยว หากใครขายของได้เงินก็จะถูกทหารเข้ามาแย่งยึดไป ทำให้พวกเขาต้องอยู่อย่างอดอยาก ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกินครบ 3 มื้อ บางครั้งพวกผู้ชายก็ต้องยอมอดข้าวเพื่อให้ลูกเมียได้กิน

          ชาวมุสลิมโรฮิงญา กลุ่มนี้ยังเผยความรู้สึกอีกว่า ทุกคนรักบ้านเกิด ไม่มีใครที่ต้องการดิ้นรน หรือดั้นด้นเดินทางออกจากบ้านเกิด มีแต่ทุกคนดิ้นรนเพื่อที่จะอาศัยอยู่ในบ้านเกิดหรือถิ่นฐานที่ตนถือกำเนิด แต่จากความโหดร้ายที่พวกเราได้รับ มันสุดที่จะบรรยายให้เห็นหรือให้รับรู้ได้ หากไม่เจอด้วยตนเองยากที่จะบรรยายจริง ๆ

          และจากสภาพที่แร้นแค้น ไร้อนาคตจนถึงขีดสุด ทำให้คนเหล่านี้ตัดสินใจที่จะหาความหวังของชีวิต ละทิ้งแผ่นดินเกิดอพยพหนีไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ท่ามกลางการตามล่าของทหารพม่า ซึ่งหากพวกเขาถูกจับได้ก็จะถูกทำการทรมานอย่างหนักจนอาจถึงแก่ชีวิต จนถึงตอนนี้ มีชาวโรฮิงญาจำนวนมากที่ขึ้นเรืออพยพเข้ามายังประเทศไทย โดยเฉพาะทางฝั่งจังหวัดสตูล และระนอง เพื่อจะข้ามไปยังประเทศที่ 3 แต่เป็นที่น่าเศร้าใจ  หลังจากที่พวกเขาหนีการจับกุมและการทรมานของเหล่าทหารพม่ามาได้ แต่กลับต้องตกเป็นเหยื่อของแก๊งค้ามนุษย์ซ้ำอีก จนถึงขณะนี้ แม้ว่าพวกชาวโรฮิงญาผู้อพยพมาจะถูกกักขังอยู่ แต่สำหรับพวกเขาแล้ว ห้องคุมขังก็ไม่ต่างจากโรงแรมชั้น 1 ซึ่งพวกเขาจะได้มีอาหารครบ 3 มื้อ และได้รับน้ำใจจากประชาชนชาวไทย พวกเขาล้วนคิดว่าคนไทยนั้นช่างโชคดี ที่ได้เกิดบนผืนแผ่นดินที่เต็มไปด้วยความสุขนี้ ซึ่งต่างจากแผ่นดินที่เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ของพวกเขา

          สำหรับในตอนนี้ ระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังผลักดันเพื่อส่งตัวกลุ่มชาวโรฮิงญากลับพม่านี้ เจ้าหน้าที่ก็ได้พยายามค้นหาทางออกเพื่อแก้ไขปัญหาของพวกเขา และพยายามประสานกับองค์กรระหว่างประเทศให้เข้ามาช่วยเหลือชาวมุสลิมโรฮิงญาและร่วมหาทางออกร่วมกัน เพราะต่างก็ทราบดีว่า การที่ส่งตัวพวกเขากลับไปยังประเทศพม่านั้น ก็ไม่ต่างจากส่งพวกเขากลับไปยังนรกขุมเดิม พร้อมกับบอกว่า หากให้พวกเขากลับไปอยู่ที่รัฐอาระกัน ก็เหมือนกับไปรอคอยความตาย อยู่ไปก็อยู่อย่างไร้อนาคต ไม่มีสภาพความเป็นคน ไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหน เดินทางไปมาได้ก็เฉพาะภายในจังหวัดที่ตั้งถิ่นฐานอยู่เท่านั้น โดนกดดันจากทหารพม่าตลอดเวลา นอกจากนี้พวกเขายังโดนดูถูกเหยียดหยามจากชาวพม่า ที่ผ่านมาโดนทั้งทำร้ายร่างกาย รวมถึงถ่มน้ำลายใส่ก็มี

         และนี่คือชีวิตบางส่วนของ ชาวโรฮิงญา ที่วันนี้ของพวกเขาล้วนเผชิญกับโชคชะตาที่มากกว่าคำว่า..โหดร้าย นอกจากจะโดนรังแกจากทหารพม่าแล้ว ยังถูกดูหมิ่นจากคนร่วมชาติจากชาวพม่าด้วยกันเอง



✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น